เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - ตอนที่ 106
บทที่ 106 เขายังรักลูกอยู่
บ้านที่ค่อนข้างใหม่ สิ่งแวดล้อมที่แปลกตา
เพราะว่าเข้ามาพักอาศัยอย่างรีบร้อน จึงได้แต่ตกแต่งตามบ้านตัวอย่าง แต่ไม่มีห้องเด็กอ่อน ซูย้าวจึงได้แต่ซื้อเตียงเด็กอ่อนกลับมาจากห้างสรรพสินค้า แล้วก็ซื้อของเล่นอีกเล็กน้อย แล้วให้ลูกนอนด้วยกันกับตัวเอง
เมื่อเทียบกับความคฤหาสน์ที่หรูหราฟู่ฟ่าของตระกูลลี่แล้ว ที่นี่ก็เป็นเพียงแค่‘บ้านคนทั่วไป’อย่างง่าย ๆ เท่านั้น แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ สามารถได้อยู่ร่วมกันกับลูกชายได้ สำหรับซูย้าวมาพูดแล้วก็ถือได้ว่าดีมากแล้ว
โม่หว่านหว่านช่วยเธอเก็บกวาดบ้านจนเรียบร้อย แล้วกะว่าจะอยู่ที่นี่อีกไม่กี่วัน แต่ปรากฏว่ากลับได้รับโทรศัพท์ของผู้อำนวยการ ให้เธอไปดูงานที่เมือง D
เธอก็ทำได้แค่บ่นพึมพำและทอดถอนใจ หลังจากที่ทอดถอนใจในโชคชะตาไปรอบหนึ่งแล้ว ก็เก็บข้าวของอย่างหงอย ๆ แล้วก็รีบไปสนามบิน
หลังจากที่โม่หว่านหว่านจากไปแล้ว ซูย้าวก็เหมือนกับว่าจะไม่มีเรื่องอะไรให้ทำ นอกจากดูแลเจิ้งเอ๋อ เวลาที่เหลือ ก็คือยุ่งกับการทำงาน
เกือบจะอยู่ต่อหน้าคอมพิวเตอร์ไปสิบกว่าชั่วโมง เพราะว่าคุ้นชินมานานแล้ว เพราะฉะนั้นจึงพูดไม่ได้ว่าน่าเบื่อ
อีกวันหนึ่ง อานโล๋ได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว เธออุ้มลูกแล้วไปรับมารดากลับบ้าน
นี่เป็นสิ่งที่ซูย้าวรอคอยมานาน ในที่สุดก็ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับมารดาได้ ภาพแบบนี้ มันวนเวียนอยู่ในหัวสมองของเธอมาไม่รู้ตั้งกี่ร้อยรอบ ในตอนที่กำลังจะเป็นจริงนั้น กลับยังรู้สึกเหมือนกับว่าเป็นเหมือนความฝันครั้งหนึ่ง
ร่างกายของอานโล๋นั้นอ่อนแอมาก หมอแนะนำว่าให้เธอนั่งรถเข็นสักช่วงหนึ่ง รอให้กล้ามเนื้อที่ช่วงขาฟื้นตัวได้พอประมาณแล้ว ค่อยลงไปเดินอีกครั้ง
ซูย้าวช่วยเตรียมรถเข็นไฟฟ้าไว้ให้มารดา และจะได้สะดวกต่อการเคลื่อนไหวของเธอ
หลังจากที่ทำเรื่องเสร็จแล้ว ก็เข็นมารดาออกมาจากโรงพยาบาล พอเพิ่งจะเดินมาถึงหน้าลิฟต์ ก็เจอเข้ากับโอวหยางเช่อที่กำลังเดินเข้ามาอย่างหน้าระรื่น
ชายหนุ่มผิวขาวใส ใส่เสื้อกาวน์สีขาวไว้ทั้งตัว รองเท้ากีฬาสบาย ๆ ผมสั้นที่ข้างหูหยิกอยู่เล็กน้อย ท่าทางที่หล่อเหลาราวกับพระเอกที่กำลังถ่ายทำซีรี่ย์อยู่ มองเห็นซูย้าวจากที่ไกล ๆ ก็โบกมือให้เธอ และยิ้มอย่างสดใส
“ซูย้าว!”
โอวหยางเช่อเดินก้าวยาว ๆ เข้ามาใกล้ บนใบหน้าหล่อเหลายังคงมีรอยยิ้มอ่อนโยนอยู่ และจ้องมองอานโล๋ที่นั่งอยู่บนรถเข็น แล้วก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นอย่างสงสัยว่า “ท่านนี้คือ……”
ไม่รอให้ซูย้าวใช้ภาษามืออธิบาย อานโล๋ก็เปิดปากพูดขึ้นก่อนก้าวหนึ่งว่า “ฉันเป็นแม่ของเธอ”
“อ๋อ ที่แท้เป็นคุณน้าเองเหรอครับ!” โอวหยางเช่อรีบกล่าวทักทาย ท่าทางอ่อนน้อมดูมีมารยาท ซึ่งทัศนคติแรกที่ให้คนนั้นช่างดีมากจริง ๆ
และแล้ว เขาก็พูดเสริมขึ้นอีกประโยคว่า “คุณน้าดูอ่อนเยาว์จังเลยครับ! ถึงว่าซูย้าวถึงได้สวยธรรมชาติขนาดนี้ ที่แท้เป็นเพราะว่าคุณแม่ก็สวยขนาดนี้นี่เอง!”
อานโล๋ยิ้มขึ้นเล็กน้อย แล้วความรู้สึกดีที่มีต่อโอวหยางเช่อก็เพิ่มขึ้นเป็นเท่าในทันที
แล้วเขาก็มองไปทางซูย้าว “คิดได้หรือยัง ว่าจะมาผ่าตัดเมื่อไหร่?”
เธออึ้งไปเล็กน้อย ช่วงนี้ค่อนข้างยุ่งมาก ยังไม่ค่อยได้คิดเรื่องของตัวเองสักเท่าไหร่เลย
อานโล๋กลับถามขึ้นว่า “ผ่าตัดอะไร?”
โอวหยางเช่ออยากจะอธิบาย แต่ทำยังไงได้โทรศัพท์กลับดังขึ้นมาซะก่อน เขาเพียงแต่พูดว่า‘ขอโทษ’คำหนึ่ง แล้วก็หมุนตัวไปรับโทรศัพท์
และทางด้านประตูลิฟต์ก็เปิดออกพอดี ซูย้าวจึงเข็นแม่ก้าวเข้าไปในพื้นที่ลิฟต์ จากประตูลิฟต์ที่ปิดลง ก็ได้บอกลากับโอวหยางเช่อ จริง ๆ แล้ว
พอลงมาถึงข้างล่างแล้ว อานโล๋ก็ยังคงกังวลอยู่ แล้วถามต่อว่า “ย้าวย้าว ผ่าตัดอะไร? ตกลงร่างกายลูกเป็นอะไรกันแน่?”
ดูออกว่ามารดาร้อนใจ เธอก็รีบหยุดฝีเท้าลง แล้วนั่งลงมาและใช้ภาษามืออธิบายว่า “ร่างกายหนูไม่ได้ไม่สบาย แต่เป็นการผ่าตัดที่เกี่ยวกับเส้นเสียง และหมอโอวหยางคนเมื่อกี้ ก็เป็นหมอเจ้าของไข้ของหนู”
อานโล๋เข้าใจแล้ว “ที่แท้เป็นแบบนี้นี่เอง งั้นก็รีบทำการผ่าตัดเถอะ! ย้าวย้าว แม่หวังว่าหนูจะรีบกลับมามีเสียงได้อีกครั้ง”
สายตาของเธอเหม่อลอยเล็กน้อย แล้วก็ก้มหน้าลง เพื่อแสดงว่าเข้าใจแล้ว
ยังไม่ทันได้เข็นมารดาจากไป ก็พบเข้ากับหลินโม่ป่ายที่ลงตึกมาพอดี
ในชั่วขณะที่เห็นอานโล๋นั้น หลินโม่ป่ายก็อดไม่ได้ที่จะอึ้งไปเล็กน้อย หลังจากที่หยุดนิ่งไปครู่หนึ่งแล้ว ก็ก้าวเท้าเดินเข้ามาทักทาย จากนั้นก็ขยับไปคุยกับซูย้าวที่อื่น
“คุณน้าร่างกายแข็งแรงดีแล้วเหรอ?” เขาถามขึ้น
รู้จักกับซูย้าวมาหลายปีขนาดนี้ หลินโม่ป่ายนั้นเข้าใจดี ตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนที่คุณท่านซูเสียชีวิตไปแล้ว ก็มีข่าวลือออกมาว่าอานโล๋เป็นโรคประสาทไปแล้ว แล้วก็โดนส่งตัวไปอยู่โรงพยาบาลประสาทและสถานพักฟื้น
พอเวลาผ่านมาหลายปี ไม่รู้ว่าโดยรวมแล้วเกิดอะไรขึ้น ถึงแม้ว่าจะไม่รู้ความจริง แต่ว่าส่วนใหญ่ก็พอจะเดาออกได้บ้าง
ซูย้าวใช้ภาษามือพูดขึ้นว่า “ค่อยยังชั่วแล้ว หมอบอกว่าสามารถกลับไปพักฟื้นต่อที่บ้านได้แล้ว”
“ย้าวย้าว……” เขาคว้ามือของซูย้าวมาจับไว้ทีหนึ่ง ใบหน้าที่สะอาดหมดจดนั้นเกิดปฏิกิริยาที่ร้อนใจขึ้นมา “ผมได้ยินหว่านหว่านบอกว่าคุณออกมาจากบ้านตระกูลลี่แล้วเหรอ?”
หลินโม่ป่ายก็ไม่ใช่คนโง่ ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้บริษัทซูซื่อได้มีข่าวระเบิดออกมาติด ๆ แล้วอยู่ ๆ ซูย้าวก็ยินยอมมารักษาเส้นเสียง แล้วหลายวันมานี้อานโล๋ก็มารักษาตัวที่โรงพยาบาลอีก ในระหว่างนี้ตกลงมันเกิดอะไรขึ้น ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้มีส่วนร่วมด้วย แต่ว่าก็พอจะเดาได้เกือบหมดแล้ว
เขาอยากจะกอดเธอไว้มาก แล้วพูดคำว่า‘ลำบากแล้ว’อีกคำ แต่ว่าพอคำพูดมาถึงข้าง ๆ ปากแล้ว แต่กลับไม่รู้ว่าจะเริ่มเปิดปากพูดยังไง
“อืม ฉันซื้อบ้านที่แถวถนนเหออี้แล้ว ตอนนี้อาศัยอยู่ที่นั่นไปก่อน” เธอใช้ภาษามือพูดขึ้น
เขาจ้องมองเธอ แววตาลึกซึ้ง “ไว้ผมเลิกงานแล้ว จะไปเยี่ยมคุณนะ ถ้ามีอะไรที่ต้องการ ก็ส่งวีแชทมาบอกผมนะ ตอนเลิกงานแล้วผมจะเอาไปให้”
ซูย้าวพยักหน้า แล้วส่งที่อยู่ทางวีแชทให้กับเขา
จ้องมองหญิงสาวที่หมุนตัวจากไป แล้วหลินโม่ป่ายก็ทอดถอนใจ แผ่นหลังที่บอบบาง บุคลิกที่มีสไตล์และความสามารถเป็นที่หนึ่ง ยังจำท่าทางในความทรงจำได้ แต่ว่าเธอในตอนนี้ ได้เปลี่ยนไปแล้ว
ซูย้าวคนเมื่อก่อนนั้นฉลาดมาก หลักแหลม มีสมองและความกล้าหาญ แต่ว่าเธอนั้นไม่เคยใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อให้ตัวเองได้อะไรมาก่อน เธอแค่เป็นคนที่จิตใจดีงามคนหนึ่ง เป็นเด็กสาวที่บริสุทธิ์และไม่มีอะไรมาแปดเปื้อน
แต่ว่าตอนนี้ เธอได้เปลี่ยนไปแล้ว
รู้จักเอาสมองของตัวเอง และกลยุทธ์ของตัวเองมาใช้คิดแผนการเพื่อให้ได้แม่ของตัวเองกลับคืนมา และเพื่อที่จะปกป้องบริษัทซูซื่อไว้ถึงกลับคิดวิธีเพื่อให้ได้มันมา และแม้กระทั่งเพื่อคนที่รักแล้วยังถึงกับยึดมั่นต่อแม่น้ำแค่สายเดียว
เธอเปลี่ยนเป็นแกร่งขึ้นแล้ว หรือพูดอย่างถูกต้องแล้วคือ กลับคืนสู่เนื้อแท้ที่แท้จริงแล้ว
ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เปลี่ยนเป็นคนชั่ว แต่ว่าพอหลินโม่ป่ายมองเห็นอยู่ในสายตาแล้ว กลับรู้สึกปวดใจอย่างสุดซึ้ง
เขาแค่อยากจะแอบก่นด่าตัวเองอยู่ในใจ แม้แต่ผู้หญิงที่ตัวเองรักก็ยังปกป้องไว้ไม่ได้ ยังจะถือว่าเป็นผู้ชายอะไร!
โบกรถกลับบ้านพร้อมกับแม่ ตลอดทาง อานโล๋คอยมองดูลูกสาวที่อยู่ข้างกาย แล้วยิ้มขึ้นเล็กน้อย และอยู่ ๆ ก็พูดขึ้นว่า “โม่ป่ายยังมีความรู้สึกกับลูก แม่ดูออก ว่าเขายังรักลูกมาก”
ซูย้าวอึ้งไปเล็กน้อย แล้วหัวคิ้วก็ขมวดกันขึ้นมา
“ลูกกับโม่เป่ยเป็นคู่กิ่งทองใบหยกกันมาตั้งแต่เด็ก เด็กอย่างเขานี่แม่วางใจ แล้วเขาก็ดีกับลูกมาก ถึงแม้ว่าจะไม่มีเบื้องหลังและความสามารถแบบลี่เฉินซี แต่ว่าเขาเป็นผู้ชายที่เชื่อถือได้อย่างแน่นอน ลองพิจารณาดูหน่อยเถอะ!” อานโล๋พูดอย่างยิ้มแย้มขึ้น
ซูย้าวเปลี่ยนสายตาไปมองยังท้องฟ้า ขนตาที่ยาวหรี่ลงเล็กน้อย และบดบังความคิดในดวงตาได้เป็นอย่างดี
ความรู้สึกที่หลินโม่เป่ยมีต่อเธอ เธอสามารถรับรู้ได้ เพียงแต่ว่า มันไม่มีทางเป็นไปได้แน่…….
ทางด้านบริษัทลี่ซื่อ ในขณะที่หวางอี้เอาเอกสารหลายฉบับวางลงบนโต๊ะ และพูดพร้อมขึ้นว่า “ตามที่คุณรับสั่งมา ตอนนี้ได้พูดคุยกับบริษัทTPและโรงพยาบาลในเมืองแล้ว คืนนี้โม่หว่านหว่านจะต้องบินไปเมือง D และคืนนี้หลินโม่ป่ายก็ต้องไปดูงานที่อิหร่านครับ”
“อืม” ลี่เฉินซีจับปากกาขึ้นมาแล้วเซ็นชื่อตัวอักษรสามตัวที่งดงามราวกับมังกรและหงส์ลงไปในช่องเซ็นชื่ออย่างรวดเร็ว ในชั่วขณะที่วางปากกาลงนั้น ก็พูดขึ้นอีกว่า “หลังจากที่เสร็จงานจากทางด้านอิหร่านแล้ว ก็ให้เขาไปซีเรียต่อโดยตรงเลย!”
หวางอี้อึ้งไปเล็กน้อย “ซีเรียเหรอครับ?”
หลินโม่ป่ายเป็นแค่หมอคนหนึ่ง ไปดูงานต่างประเทศไปเป็นแพทย์ไร้พรมแดน แล้วถ้าได้เข้าสู่สงครามตะวันออกกลาง แล้วหากว่าเกิดเรื่องอะไรเข้า ถ้างั้นก็……
“ทำไม?” ลี่เฉินซีเงยหน้าขึ้น สายตาที่เยือกเย็นแฝงไว้ด้วยความโหดเหี้ยมอย่างที่ไม่ต้องสงสัย
หวางอี้จะไปกล้าขัดขืนได้ที่ไหน รีบพยักหน้าติดต่อกัน “ครับ ผมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้เลยครับ!”
แต่ว่าก็ถูกอยู่ หลินโม่ป่ายกล้าลองดีมาแย่งภรรยากับBOSS ส่งเขาไปตะวันออกกลางก็ถือได้ว่าปรานีแล้ว!
ในท่ามกลางสายตาที่วุ่นวายของหวางอี้ ลี่เฉินซีก็เซ็นเอกสารเสร็จหลายฉบับแล้ว แล้วก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว คว้าเสื้อคลุมและกุญแจรถขึ้นมา แล้วก้าวเดินก้าวยาว ๆ ราวกับดาวตกออกไปเลย
“ท่านประธานลี่ คุณจะไปไหนครับ? กลางคืนยังมีนัดทานข้าวอีกนัดหนึ่งด้วยนะครับ!” หวางอี้รีบร้อนเดินตามออกมา