เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - ตอนที่ 138
บทที่ 138 คุณหลบผมทำไม
เหมือนอย่างที่เพ้ยส้าวอีพูดไว้จริงๆ สำหรับซูย้าวนั้นคือความลับ แต่สำหรับคนอื่นกลายเป็นเรื่องเล็กๆไปแล้ว
เรื่องของพ่อ ลี่เฉินซีกลับ…..รู้เรื่อง!
ราวกับมองออกถึงความประหลาดใจของแววตาเธอ เขาที่นั่งอยู่ตรงนั้น ได้เอียงสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง ในขณะเดียวกันก็พูดขึ้น “บริษัทซูซื่อได้ล้มละลายแล้ว ความปรารถนาของคุณได้บรรลุไปแล้วหนึ่งอย่าง เหลืออีกหนึ่งอย่าง ก็คือการแก้แค้นสินะ!”
เมื่อพูดถึงการแก้แค้น ย่อมจะต้องมีความเกี่ยวข้องกับซัวฉ่ายลี่
ซูย้าวจ้องมองเขาอย่างมึนๆ ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
“คุณคิดที่จะทำอะไร” ลี่เฉินซีก็ได้ถามขึ้น
ค่อยๆสลัดหลุดจากความชั่วร้าย หันหลังแล้วเดินมาที่ข้างโต๊ะ จากนั้นก็เปิดปิ่นโตออก สีสันของซุปโสม ชวนลิ้มลอง กลิ่นก็หอมชวนเชย
เธอตักใส่ถ้วยแล้วหยิบช้อนมาวาง ส่งยื่นให้เขา เมื่อลี่เฉินซีรับไป เขาก็ใช้ภาษามือพูดขึ้น “แก้แค้นอะไรกัน ฉันรู้แค่ว่าพ่อป่วยหนักและเสียชีวิต ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับใครทั้งนั้น”
รูม่านตาลี่เฉินซีหดขึ้น แล้วจ้องขึ้นกะทันหัน
เธอใบ้ต่อไปอีก “อีกอย่างเวลาก็ผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว ให้รื้อฟื้นเรื่องเก่าๆมันก็ไม่มีประโยชน์ ฉันไม่หวังอะไรอีก บริษัทซูซื่อก็ล้มละลายไปแล้ว ปล่อยให้มันเป็นแบบนี้เถอะ!”
“…..”
วินาทีนั้นทำให้ลี่เฉินซีถึงกับพูดไม่ออก
ซูย้าวยังใบ้ภาษามือต่ออีก “สิ่งที่ฉันต้องการที่สุด ก็คือการมีชีวิตที่เรียบๆสงบ เหมือนอย่างตอนนี้ก็ดีอยู่แล้ว ความแค้น แก่งแย่ง อะไรพวกนั้นมันไม่เหมาะกับฉัน”
“…..”
เขาไม่ใช่ต้องการผู้หญิงที่ใสซื่อบริสุทธิ์หรอกเหรอ เธอกำลังส่งเคราะห์เขาอยู่นี่ไง
อีกอย่าง ซู้ย้าวก็พูดออกมาจากใจจริงๆ
เรื่องการเสียชีวิตของพ่อ เธอก็ไม่อยากจะทำอะไรกับซัวฉ่ายลี่อีกแล้ว ต่อให้มีพยานหลักฐาน แล้วให้ตำรวจรื้อฟื้นคดีใหม่ นำตัวซัวฉ่ายลี่ไปขึ้นศาล จากนั้นมองเธอเดินเข้าคุก แล้วมันจะเกิดประโยชน์อะไร
ความแค้นที่แท้จริง ความทุกข์ทรมานที่แท้จริง ใช่ว่าตายแล้วทุกอย่างจะจบ แต่คือการอยู่ที่เหมือนตายทั้งเป็นต่างหาก
เธอมีวิธีการของเธอ เพียงแต่ว่าตอนนี้ยังไม่ขั้นนั้น!
ดวงตาประกายวับของลี่เฉินซีจ้องมองใบหน้าที่เรียบเฉยของเธอ บนใบหน้าของซูย้าว เขาไม่รู้สึกถึงความเสแสร้งของเธอ เพียงแต่เขาแค่รู้สึกแปลกใจ แต่เมื่อคิดๆดูแล้ว ก็ปล่อยไปตามที่เธอต้องการ
เขาพยักหน้า “ก็ได้! คุณจะทำอะไรก็ตามใจ บริษัทซูซื่อล้มละลายไปแล้ว ถ้าหากคุณอยากจะฟื้นฟูบริษัทซูซื่อ ก็บอกผมนะ”
ทันใดที่คำพูดซึ้งๆของเขาได้เปล่งออกมา ซูย้าวก็เกิดความสงสัยขึ้นในใจ ไม่อยากจะเชื่อว่า คำพูดเมื่อสักครู่นั้น จะออกมาจากปากของลี่เฉินซี!
เขาเปลี่ยนไปเป็นคนอ่อนโยนเอาใจใส่ตั้งแต่เมื่อไหร่…..
ลี่เฉินซีทานซุปไปสองสามคำ ก็เกิดรอยพับบนหว่างคิ้วของเขา “ซุปนี้คุณไม่ใช่เป็นคนทำนิ”
เธอพยักหน้าขึ้น
“ต่อไปขอให้คุณเป็นคนทำนะ” เขาพูดขึ้น
ซูย้าวหมดคำจะพูด ครั้งก่อนที่เธอทำมา แต่ไม่มีโอกาสเอาให้เขา และตัวเองก็เอากลับไปทานที่บ้าน
“อีกอย่าง ครั้งต่อไปพาเจิ้งเอ๋อมาด้วยนะ” ลี่เฉินซีได้พูดต่อ
ซูย้าวชะงักงัน จากนั้นก็พยักหน้า
มองเขาทานซุปจนหมดถ้วย เธอรับถ้วยมา แล้วก็ปิดปิ่นโต เก็บตะเกียบและจัดเก็บของเรียบร้อย แล้วทำท่าหยิบกระเป๋าเพื่อที่จะออกไป
เฉินลี่ซีจึงคิ้วเข้มขมวดขึ้นทันที ไม่รีรอให้เธอจากไป ได้พูดด้วยเสียงโทนต่ำขึ้น “คุณรีบร้อนกลับไปจริงๆ หรือว่าคุณต้องการจะหลบผม”
แนะนอนว่าต้องการจะหลบคุณสิ!
ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวหานฉ่ายหลิงมา จะให้เธอทำอย่างไร เป็นถึงภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย แทนที่จะทำตัวสง่าผ่าเผย แต่กลับต้องมามีความรู้สึกด้อยค่า ต่ำต้อยเหมือนกับเมียน้อยที่ไร้ตัวตน และสัมผัสถึงสามคำ‘ไม่คู่ควร’
“ผมบอกให้คุณอยู่ต่อ!” เขาพูดอย่างเย็นชา
เดิมทีควรเป็นห้องที่อบอุ่นราวกับฤดูใบไม้ผลิ แต่กลับถูกเขาบังคับอย่างเยือกเย็นเหมือนเข้าไปอยู่ในดินแดนหิมะ ซูย้าวที่ไม่อาจขัดขืนจึงยืนอยู่ข้างๆ และเว้นช่วงระยะห่างกับเขาพอสมควร
ลี่เฉินซีเอนพิงอยู่ที่โซฟา สายตาที่เยือกเย็นกวาดมองเธอ สำรวจดูผู้หญิงที่แต่งงานกับเขา อีกทั้งคลอดลูกชายให้กับเขา คิ้วที่ขมวดแน่นไม่มีการผ่อนคลาย
นี้วมือที่เรียวยาวเคาะอยู่บนโซฟา อย่างไม่มีจังหวะ
ห้องที่มีขนาดใหญ่ เหมือนกับจมดิ่งลงไปสู่ความอ้างว้าง ความเงียบงัน ราวกับว่าสามารถได้ยินเสียงลมหายใจของคนทั้งสอง ความรู้สึกนี้ยิ่งทำให้ซูย้าวรู้สึกอึดอัด!
ท่ามกลางสายตาที่มองสำรวจของลี่เฉินซี ทำให้ซูย้าวถอนหายใจเบาๆ
ยกมือใบ้ขึ้น “คุณพักผ่อนดีๆนะ ฉันกลับบ้านก่อน!”
จากนั้นหันหลังแล้วเดินออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว
เขามีหานฉ่ายหลิงอยู่ทั้งคน ไม่ว่าเธอจะทำอย่างไร เขาก็จะไม่มีทางหวั่นไหวกับเธอ ไม่ใช่หรอ
เมื่อกลับมาถึงบ้าน เจี่ยงเวินอี๋ยังไม่ได้กลับไป กำลังเล่นอยู่กับหลานตัวน้อยอยู่ที่ห้องรับแขก และป้อนแอปเปิลให้กับเขา
เจิ้งเอ๋อทานจ๊วบๆอยู่ในปาก ทานเข้าไปไม่น้อย แต่เหมือนกับว่ายังทานไม่พอ สายตายังคงมองไปทางห้องครัว ปากน้อยๆงึมงำ‘เค้……’ เขาต้องการอยากจะทานเค้ก
เจี่ยงเวินอี๋จึงได้บอกพี่เลี้ยง “รีบไปเอาเค้กสตอเบอรี่มา!”
ซูย้าวเพิ่งจะเปลี่ยนรองเท้าเสร็จ เมื่อได้ยินเสียงจึงได้รีบเดินเข้ามา แล้วก็ส่ายหน้าให้กับแม่สามี จากนั้นอุ้มเจิ้งเอ๋อขึ้น แล้วประคองส่วนหัวของลูกไว้ จากนั้นใช้มือไบ้อธิบายให้กับเจี่ยงเวินอี๋ “ถ้าเจิ้งเอ๋อทานเค้กตอนนี้ เดี๋ยวจะไม่ทานข้าวอีก!”
“ไม่ทานข้าวก็ไม่ทานสิ! เมื่อเขาหิวเขาก็จะทานเองแหละ!” เจี่ยงเวินอี๋โมโห แล้วก็ผลักซูย้าวออก แล้วก็แย่งเด็กน้อยมาจากอ้อมกอดของเธอ
อาจเป็นเพราะใช้แรงเยอะไปหน่อย จึงทำให้เจิ้งเอ๋อร้องไห้ขึ้น จนเจี่ยงเวินอี๋ถึงกับปวดใจ
“ดูซิ เป็นแม่ประสาอะไร ตอนไม่กลับมาก็ทุกอย่างราบรื่น พอกลับมาเท่านั้นแหละ เรื่องเยอะเลย!”
เจิ้งเอ๋อเริ่มหัดพูดได้แล้ว แต่ก็ยังอ้อๆแอ้ๆ พูดออกมาได้ไม่ชัดเจน เพราะซูย้าวไม่สามารถพูดได้ ดังนั้นที่ลูกพูดได้ล้วนมาจากหานฉ่ายหลิงและพี่เลี้ยงเป็นคนสอน
คำแรกที่พูดได้ของลูกส่วนใหญ่จะเป็นคำว่า‘แม่’ แต่คำแรกของเจิ้งเอ๋อกลับเป็น‘น้า’ และก็เป็นคำแรกที่พูดอยู่ในอ้อมอกของหานฉ่ายหลิง
ชั่วโมงนั้น เหมือนกับมีดเล่มหนึ่ง ได้ปักเข้ามาในทรวงอกของซูย้าว
ลูกชายของตัวเอง แต่กลับไม่สามารถสอนให้ลูกตัวเองพูดได้ อีกทั้งยังต้องทนเห็นเขามีความใกล้ชิดกับผู้หญิงคนอื่น ความรู้สึกนั้น จะมีใครเข้าใจบ้างไหม
แต่ในเวลานี้ ซูย้าวทำเพื่อลูกจริงๆ แม้ว่าเจี่ยงเวินอี๋จะไม่เข้าใจก็ตาม “เฉินซีเป็นคนที่ฉันเลี้ยงมา ตั้งแต่เล็กจนโตฉันก็เลี้ยงมาแบบนี้ ก็ไม่เห็นเป็นอะไรนิ! ทำไมเธอถึงเรื่องเยอะเช่นนี้”
เจี่ยงเวินอี๋พลางพูดฉอดๆ พลางหยิบเค้กมาจากมือพี่เลี้ยง แล้วใช้ซ่อมตักขึ้นมาป้อนให้กับเจิ้งเอ๋อ เด็กน้อยมักจะชอบทานของหวาน แม้แต่เจิ้งเอ๋อก็ไม่เว้น โดยเฉพาะวิปครีม ชอบกินจนเลอะปากเลอะจมูกไปหมด
เจี่ยงเวินอี๋มองหลานตัวน้อยที่กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ “หลานรักของย่า ชอบทานใช่ไหม อย่างนั้นก็ทานเยอะๆนะ !”
ซูย้าวหมดคำจะพูด
ไม่รู้ว่าอีกสักพักท้องของลูกจะเกิดความอึดอัดไม่สบายหรือเปล่า…..
ขณะที่เธอกำลังเป็นกังวลเกี่ยวกับตัวลูกนั้น ก็มีเสียงเปิดประตูดังขึ้น จากนั้นเสียงตกใจของพี่เลี้ยงได้ดังขึ้น “คุณลี่ ท่านกลับมาได้อย่างไร”
ซูย้าวตกใจ ลี่เฉินซีกลับมาแล้วเหรอ!
จริงๆด้วย ชายหนุ่มที่เปลี่ยนรองเท้าเสร็จแล้ว ได้เดินตรงเข้ามาด้วยขาที่เรียวยาว สวมใส่ชุดสูท พักอยู่ที่โรงพยาบาลไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ก็ออกมาแล้ว แต่ใบหน้าที่สง่างามยังคงเหมือนเดิม ไม่มีอะไรผิดปกตินอกจากดูอ่อนเพลียเล็กน้อยเท่านั้น
เจี่ยงเวินอี๋ที่ตื่นตระหนกยิ่งกว่า “เฉินซี ลูกไม่นอนพักโรงพยาบาล กลับมาทำไม ร่างกายลูก…..ยังไม่ดีขึ้นเลยนะ!”
“ผมไม่เป็นไรครับ” เขาพูดเสียงเบาๆ แต่สายตากับชำเลืองมองไปทางซูย้าว ด้วยแววตาที่เย็นชาประกายด้วยแสงที่ไม่สามารถอธิบายได้ เพียงพูดขึ้น “กลับมาพักฟื้นที่บ้านก็เหมือนกัน มีซูย้าวคอยดูแลผม ไม่ดีเหรอครับ”