เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - ตอนที่ 143
บทที่ 143 เรียกอีกครั้ง
บทที่ซูย้าวลงมาด้านล่าง เป็นเวลาแปดโมงเช้า
เธอรู้ว่าเจี่ยงเวินอี๋ยังไม่ไป เธอตื่นสายขนาดนี้ และยังไม่ไดเตรียมอาหารเช้า ไม่รู้ว่าจะถูกแม่สามีดุยังไงอีก!
ยังไม่ทันได้กังวล เมื่อลงมาด้านล่าง ก็เห็นเจี่ยงเวินอี๋กำลังนั่งเหม่ออยู่บนโซฟา
ซูย้าวตกตะลึง แต่ไม่ได้รบกวน เดินตรงเข้าไปในห้องครัวทันที
แม่บ้านและพ่อบ้านมองเธอด้วยความลังเลเล็กน้อย เหมือนมีเรื่องต้องการจะพูดแต่ไม่พูด ท่าทางดูตื่นเต้น
เธอขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ว่านี่มันอะไรกัน?
ไม่รอให้เธอได้ถาม แม่บ้านและพ่อบ้านรีบหาข้ออ้างค่อยๆออกจากห้องครัวไป
กำลังหลบหน้าเธออยู่ชัดๆ ซูย้าวขมวดคิ้ว เธอไม่ใช่ผีสักหน่อย ทำไมต้องเป็นกันขนาดนี้ด้วย?
เป็นอะไรกันแน่?
ยังไม่ทันได้สงสัยอะไรมาก เจี่ยงเวินอี๋ที่นั่งเงียบอยู่ก็ลุกขึ้นมา เดินเข้ามาที่ห้องครัว แล้วจึงพูดขึ้น “ซูย้าว เธอไม่ต้องมาทำแล้ว! รีบขึ้นไปดูเจิ้งเอ๋อเถอะ!”
เจิ้งเอ๋อ?
เธออึ้งไป แล้วก็ฟังที่แม่สามีพูดต่อ “เมื่อคืนเจิ้งเอ๋อปวดท้อง เอาแต่ร้องไห้ไม่หยุด คุณหมอหลินฉีดยาให้ เมื่อเช้าเพิ่งหลับไป เมื่อทรมานมาก แล้วก็มีไข้ด้วย!”
อะไรนะ!
ซูย้าวตกใจ รีบวิ่งขึ้นไปชั้นบน
เมื่อมาถึงห้องเด็กทารก ลูกชายยังหลับอยู่บนเตียง ใบหน้าแดงก่ำนั้น หายใจติดขัด เหมือนกับเป็นหวัด
ซูย้าวอุ้มลูกชายขึ้นมาด้วยรัก ลูบหัวของเขาเบาๆ ร้อนจนลวกมือ!
เธอไม่รอช้า รีบเปลี่ยนเสื้อผ้า หยิบกระเป๋า แล้วอุ้มลูกชายออกมาด้านนอก
เพิ่งออกมา ก็เจอกับลี่เฉินซี
ร่างสูงใหญ่ใส่ชุดอยู่บ้านสีฟ้าอ่อน ท่าทางสบายๆจนดูขี้เกียจ เขายังรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย เห็นเธอรีบเดินอุ้มลูกชายออกมา จึงถามขึ้น “เจิ้งเอ๋อเป็นอะไรเหรอ?”
ซูย้าวไม่รู้จะตอบอย่างไร เพราะเธออุ้มลูกอยู่ จึงไม่สามารถจะตอบเขา รีบร้อนจนไม่รู้จะทำอะไรดี
ลี่เฉินซีเดืนเข้ามา ดูลูกชายของเขา แล้วยกมือไปแตะหน้าผากของหนูน้อย รู้สึกร้อนจนต้องหดมือกลับมา แล้วจึงรีบพูดขึ้น “รีบพาลูกไปโรงพยาบาล! ให้พ่อบ้านเตรียมรถ!”
ซูย้าวพยักหน้า แล้วรีบวิ่งอุ้มลูกลงจากบ้านไป
ลี่เฉินซีสั่ง พ่อบ้านไม่รอช้า รีบขับรถมารอรับที่หน้าบ้าน
เขาลงไปเห็นเจี่ยงเวินอี๋ จึงพูดขึ้น “เจิ้งเอ๋อตัวร้อน ทำไมไม่บอกผม?”
“แกนอนกับหล่อนอยู่ไม่ใช่เหรอ? ลูกร้องเสียงดังขนาดนั้น ไม่ได้ยินเลยรึไง?” เจี่ยงเวินอี๋ถามกลับ
ลี่เฉินซีขมวดคิ้วไม่รู้จะทำอย่างไร คงเป็นเพราะยาที่เขากินเมื่อคืน เขาแค่เหนื่อยมาก นอนกอดซูย้าวจนถึงเช้า ไม่ได้ยินอะไรเลย…
เจี่ยงเวินอี๋ถอนหายใจ “เฮ้อ ดังนั้นจะทิ้งลูกชายไว้ให้พวกแกดูแลไม่ได้ พวกแกยังเด็กเกินไป ไม่ระวังมากพอ!”
ซูย้าวรีบอุ้มลูกไปโรงพยาบาล รับคิวที่แผนกเด็ก ตรวจร่างกายครบหมดแล้ว แล้วอุ้มลูกไปให้ยาที่ห้องผู้ป่วยอีก
เจิ้งเอ๋องอแงมาทั้งคืน ถึงแม้ว่าตอนนี้จะทรมาน จึงนอนนิ่งอยู่ในอ้อนแขนของแม่ ไม่แม้แต่กระดุกกระดิก ดูออกจากใบหน้าซีดเซียวนั้น ปกติจะร่าเริง แต่ตอนนี้กลับซึม ทำให้ซูย้าวรู้สึกปวดใจ
เธออุ้มลูกชาย แล้วหอมหนูน้อยอยู่เรื่อยๆ เอาแต่โทษตัวเองในใจ ว่าวันหลังจะไม่เป็นเช่นนี้อีก คงเป็นเพราะลูกชายของเธอไม่ได้กินข้าวแน่ๆ
บทที่เจี่ยงเวินอี๋จะเอาเค้กให้ลูกชายเธอกิน น่าจะห้ามเอาไว้ เพราะเจิ้งเอ๋อกระเพาพชะไม่ค่อยจะดี กินของมั่วๆไม่ได้ จะทำให้ถ่ายท้อง!
หลินโม่ป่ายเดินผ่านด้านนอกห้องผู้ป่วยโดยบังเอิญ เห็นเธอที่นั่งอยู่ด้านใน จึงเคาะประตู แล้วเข้าไปในห้อง ถามขึ้นด้วยความห่วงใย “ซูย้าว ลูกชายเป็นอะไรล่ะ?”
ซูย้าววางเจิ้งเอ๋อลง สีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด พูดด้วยภาษามือ “เจิ้งเอ๋อไม่สบาย ถ่ายท้องแล้วก็มีไข้
“เป็นได้ยังไง?” หลินโม่ป่ายเดินไป ก้มลงไปดูหนูน้อยที่นอนอยู่บนเตียง ยื่นมือไปทางหนูน้อย แล้วพูดปลอบด้วยเสียงอ่อนโยน “หนูน้อย ทำไมป่วยล่ะครับ? กินเยอะไปใช่ไหมครับ?”
เจิ้งเอ๋อบึนปาก คงเป็นเพราะว่าตัวร้อน ทำให้ไม่อยากจะสนใจใคร
หลินโม่ป่ายลูบหัวเล็กๆของเขา แล้วพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “ไม่เป็นไรนะครับ กินยาเสร็จ เดี๋ยวไข้ก็ลดเอง เจิ้งเอ๋อไม่เป็นอะไรแน่นอน ไม่ต้องห่วง!”
ซูย้าวถอนหายใจ หวังเพียงแต่ว่าลูกจะหายดี ลูกของเธอ เธอไม่ระวังเอง ทำให้คนเป็นแม่อย่างเธอทรมานใจมาก
หลินโม่ป่ายยังมีธุระ ยังขอตัวก่อน
บทที่เขากลับมาอีกครั้ง ก็เป็นเวลาครึ่งชั่วโมงผ่านไปแล้ว
เขาเดินถือชานมเข้ามา ยื่นให้ซูย้าว “ยังไม่ได้ทานข้าวเช้าสินะ? กินอะไรรองท้องก่อน”
จากนั้น หยิบห่อน้ำแข็งขึ้นมา แล้วใช้ผ้าห่อน้ำแข็ง ประคบลงบนหน้าผากของเจิ้งเอ๋อ
“ประคบคลายความร้อน น่าจะทำให้ไข้ลดลงเร็วขึ้นหน่อย เจิ้งเอ๋อยังเด็ก หายไวอยู่แล้วว่า!” เขารีบพูดปลอบ
ซูย้าวพยักหน้าด้วยความรู้สึกใจชื้น แสดงความขอบคุณแก่เขา
หลินโม่ป่ายยิ้มเบาๆ “คุณกับผมไม่มีอะไรต้องเกรงใจกันแล้ว ! ผมยังจำได้ครั้งก่อนที่คุณอุ้มเจิ้งเอ๋อมาที่นี่ ยังตัวเล็กอยู่เลย ตอนนี้โตจนขนาดนี้แล้ว!”
ซูย้าวตอบด้วยภาษามือ “เจิ้งเอ๋อพูดได้แล้ว เดินได้แล้วด้วย!”
ถึงแม้จะยังเดินได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก
หลินโม่ป่ายรู้สึกตกใจมาก “ว้าว มีพัฒนาการเร็วมาก! ดูท่าอีกไม่กี่ปี ก็โตเป็นหนุ่มแล้ว ดูแลคุณแม่ได้แล้ว!”
เธอยิ้มเบาๆ เธอลูกชายโตขึ้นในทุกๆวัน และคิดว่านี่เป็นสิ่งที่แม่ทุกคนปรารถนา
ทั้งสองพูดคุยกันแค่ไม่เท่าไหร่ ประตูห้องผู้ป่วยก็ถูกเปิดขึ้นอย่างแรง ลี่เฉินซียืนที่หน้าประตูด้วยความเย็นชา กวาดสายตามองทั้งสอง แววตาเผยรอยยิ้มออกมา
เป็นรอยยิ้มที่แทบจะกลืนกินคนทั้งคนไปในนั้น
เขาค่อยๆเดินก้าวเข้ามา มองไปทางหลินโม่ป่าย ยืนเอามือล้วงกระเป๋าข้างหนึ่ง แล้วกล่าวเสียงเรียบ “ดูท่าคุณหมอหลินจะว่างมากนะครับ ที่ยังมีเวลามานั่งคุยกับผู้ป่วยในเวลางาน!”
หลินโม่ป่ายยืนขึ้นมา แล้วกล่าวด้วยความสุภาพ “ไม่ถือว่าคุยหรอกครับ แค่มาเจอเพื่อนเก่าเท่านั้น ยังไงก็ไม่ค่อยจะได้เจอ!”
“ไม่ค่อยเจอเหรอ?” ลี่เฉินซีเลิกคิ้วเบาๆ “ซูย้าวมาโรงพยาบาลก็เจอคุณเกือบทุกครั้ง!”
หลินโม่ป่ายยกมุมปากขึ้น พลางกล่าว “ท่านประธานลี่อยากจะมาอยู่กับซูย้าวและลูก หรือหาเวลาว่างมา ก็คงจะไม่ง่ายนะครับ!”
ในคำพูดนั้นแฝงไปด้วยคำตำหนิ ที่ลี่เฉินซีไม่เอาใจใส่ซูย้าว!
เขาพยักหน้าเบาๆ อย่างรู้ตัวไม่น้อย “อืมแต่ตอนนี้เธอและลูกมีผมแล้ว เชิญคุณหมอครับ!”
หลินโม่ป่ายยิ้ม ใช้สายตาแฝงด้วยความนัยหันมามองซูย้าว เหมือนเป็นการสั่งให้เธอดูแลเจิ้งเอ๋อดีๆ แล้วจึงเดินออกจากห้องผู้ป่วยไป
เมื่อในห้องเหลือเพียงสองคน ซูย้าวรู้สึกอึดอัดอย่างเห็นได้ชัด เธอนั่งจับมือลูกน้อย สายตามองต่ำลงบนพื้น
“เมื่อกี้คุยอะไรกับเขาบ้าง ทำไมร่าเริงจัง?” ลี่เฉินซีเข้ามาใกล้ แล้วถามขึ้น จนทำให้ซูย้าวนิ่งไป เธอไม่รู้จะตอบอย่างไรดี
บทที่เงียบนั้น หนูน้อยยังนอนตาโตอยู่บนเตียง เอียงคอมองลี่เฉินซี จากนั้นพูดออกมา “ปะป๊าๆ”
ลี่เฉินซีขมวดคิ้วแน่น มองลูกชายที่อยู่บนเตียง “เรียกว่าอะไรนะ?”
เจิ้งเอ๋อใช้ดวงตากลมโตคู่นั้นมองเขา ไม่พูดออกมาสักคำ!
ลี่เฉินซีนั่งลง แขนยาวๆนั้นเอื้อมลงไปอุ้มหนูน้อยขึ้นมา แล้วถาม “พูดอีกทีซิ!”
เจิ้งเอ๋อบึนปาก มีท่าทีไม่สนใจ เหมือนกับไม่อยากจะพูดแล้ว!
ท่าทางแบบนั้น ทำเอาลี่เฉินซีอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “พูดออกมาอีกครั้งเลย เจ้าเด็ก!”