เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - ตอนที่ 151
บทที่ 151 ฉันจะไปเรียกเมียนายให้
ทุกคนยิ้มไปหัวเราะไป ปาร์ตี้กันเฮฮา และงานเลี้ยงยังคงดำเนินต่อไป
หานฉ่ายหลิงถูกซูหยวนลากมาอีกทาง เมื่อได้ยินคำพูดถากถางของเธอ คิ้วก็บีบเข้าหากันอยางรู้สึกไม่พอใจ “คุณอยากพูดอะไรกันแน่?”
“ฉันจะพูดอะไรได้? ตอนแรกนึกว่าคุณคือคนที่พี่เฉินซีรัก แต่คิดไม่ถึงเลยว่ามันจะเป็นอย่างนี้! ขนาดคนใบ้คุณยังสู้ไม่ได้ หานฉ่ายหลิง คุณก็มีปัญญาแค่นี้แหละ!”
ความสามารถในการยุยงคนอื่นของซูหยวนเหนือไปอีกขั้น ยี่สิบปีมานี้ไม่มีอะไรที่เธอทำไม่ได้ และเธอก็สามารถเรียนรู้วิธีการค่อนขอดและเสียดสีคนอื่นได้อย่างมีว่องไว
หานฉ่ายหลิงจัดเป็นประเภทผู้หญิงหวานๆ บวกกับได้รับการอบรมสั่งสอนที่ดีมาตั้งแต่เด็กจนโต แต่ไหนแต่ไรจึงเหมือนกับนางฟ้า จะยอมให้อีกฝ่ายพูดให้ร้ายกันแบบนี้ได้ยังไง
ทันใดนั้น หน้าตาสวยหวานก็พลันถอดสี แต่กลับฝืนพูดออกมาว่า “เฉินซีชอบใคร นั่นมันก็เป็นเรื่องของเขา เรื่องของฉันกับเขามันจบไปแล้ว คุณมาพูดเรื่องพวกนี้ ยังจะมีความหมายอะไร?”
“ไม่มีความหมายเหรอ? เรื่องของพวกคุณจบแล้วจริงๆงั้นเหรอ?” ซูหยวนเห็นช่องโหว่ จึงใช้ถ้อยคำสารพัดจงใจพูดให้ทุกอย่างดูกำกวม “ถ้าคุณไม่ได้รักเขาแล้วจริงๆ ก็คงไม่ทำตัวเหมือนปลาสเตอร์ตามติดพี่เฉินซีไม่ยอมปล่อยทั้งวันอย่างนี้หรอก!”
“คุณ………”
หานฉ่ายหลิงโกรธจนกำมือทั้งสองข้างแน่น ดวงตาถลึงด้วยความเดือดดาล
ซูหยวนกลับไม่รู้สึกหวาดหวั่นเลยสักนิด “ฉันพูดแทงใจดำล่ะสิ! คุณจะเสแสร้งถือตัวไปทำไม? ฉันบอกแล้วไง ว่ามาร่วมมือกันจัดการซูย้าวด้วยกันดีกว่า เป็นไง?”
“คุณซู ฉันไม่รู้นะว่าระหว่างคุณสองพี่น้องมีเรื่องเข้าใจผิดหรือขัดแย้งอะไรกันแน่ แต่ฉันคิดว่าคุณซูย้าวเป็นคนที่ดีมาก กลับกันเป็นคนต่างหาก!”
หานฉ่ายหลิงจงใจหยุดพูดต่อ สายตาเย็นยะเยือกมองมาที่เธออย่างดูแคลน และสุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่เดินจากไปในทันที
ซูหยวนยักไหล่อย่างไม่สนใจ ถึงยังไงบริษัทซูซื่อก็ล้มละลายแล้ว ชื่อของเธอก็ป่นปี้ ก่อนหน้านี้ก็เกือบได้เข้าคุก ชื่อเสียงมันหายไปตั้งนานแล้ว จนเธอไร้ทางเลือกแล้ว เพราะงั้นเธอถึงไม่แคร์อะไรไง!
อยู่สังสรรค์กับลี่เฉินซีได้สักพัก ซูย้าวก็แยกตัวออกมาแล้วเดินไปที่โซนอาหารอเมริกัน เธอหยิบแก้วแชมเปญจากมือบริกร จากนั้นก็ยกขึ้นจิบนิดๆ ต่อด้วยตักเค้กเข้าปากคำสองคำ
งานอะไรแบบนี้ ไม่เหมาะกับเธอเอาซะเลย
ต่อให้จะพูดได้หรือพูดไม่ได้ ซูย้าวก็ไม่ชอบงานเลี้ยงแบบนี้ แต่เพราะเติบโตมาในสังคมแบบนี้ ยังไงก็คงเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี
มีแค่โซนอาหารอเมริกันที่ถือได้ว่าค่อนข้างสงบ เธอจึงนั่งลงบริเวณนั้น ใบหน้าที่ต้องยิ้มเกร็งอยู่ตลอดเวลา ก็ค่อยๆผ่อนคลายลง
ในตอนที่เธอกำลังเอร็ดอร่อยอยู่กับการกิน ทันใดนั้นหานฉ่ายหลิงก็เดินพรวดพราดเข้ามา
“ซูย้าว!” อีกฝ่ายเองก็ถือแก้วแชมเปญอยู่ในมือ จากนั้นก็นั่งลงข้างๆเธอพร้อมด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ “ฉันดูออกนะ ว่าความสัมพันธ์ของคุณกับเฉินซีในช่วงนี้เหมือนจะดีขึ้นเยอะเลย!”
ตาสวยของซูย้าววูบไหวเล็กน้อย อย่างนั้นหรือ?
“คนในมองไม่ออกแต่คนนอกมองปราดเดียวก็รู้แล้ว และในฐานะที่ฉันเป็นคนนอกฉันถึงได้มองออกไง อีกอย่างเฉินซีก็เป็นผู้ชายที่ดีคนหนึ่ง คุณควรรีบคว้าเขาเอาไว้นะ” เธอพูดออกมา
ซูย้าวมองเธอด้วยสายตาแอบคาดเดา ผ่านไปนานถึงได้พยักหน้าลง บ่งบอกว่ารับทราบแล้ว
ทั้งสองนั่งกินอาหารอยู่ด้วยกัน พร้อมทั้งคุยกันสัพเพเหระ ราวกับนึกอะไรขึ้นมาได้ หานฉ่ายหลิงจึงพูดขึ้นมาว่า “การที่ข่าวลือพวกนั้นระหว่างฉันกับเฉินซีไม่ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกคุณ มันทำให้ฉันสบายใจมากเลยนะ”
“…….”
นิ้วมือของซูย้าวที่จับส้อมอยู่พลันชะงัก
“ไม่งั้นฉันคงไม่รู้ว่าต้องเผชิญหน้ากับคุณยังไง! สื่อพวกนั้นก็จริงๆเลย เมาท์กันไปทั่ว ลือกันให้แซด ฉันกับเฉินซีจบกันไปตั้งนานแล้วแท้ๆ มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน? คุณว่าไหม!”
ตลอดบทสนทนามีแค่หานฉ่ายหลิงพูดอยู่คนเดียว ซูย้าวเพียงแค่ยิ้มตอบบ้างเป็นบางครั้ง รู้สึกอึดอัดอยู่นิดๆ
ผ่านไปสักพัก หานฉ่ายหลิงก็เห็นแขกอาวุโสคนหนึ่ง เธอจึงถือแก้วแชมเปญขึ้นมาแล้วเดินเข้าไปหา ซูย้าวถึงได้ผ่อนคลายลงสักที ความอึดอัดเมื่อสักครู่ มันทำให้เธอบรรยายความรู้สึกออกมาได้ยากจริงๆ
หานฉ่ายหลิงกับแขกท่านนั้นคุยกันอยู่สักพัก จากนั้นสายตาของเธอก็แอบชำเลืองมองไปยังที่ไกลๆ ตรงนั้นมีร่างสูงใหญ่ของผู้ชายคนหนึ่ง โดดเด่นท่ามกลางผู้คน มองไปแค่แวบเดียวก็สะดุดตา
เธอมองอยู่สักพัก จากนั้นก็เห็นบริกรคนหนึ่งเดินผ่านมา เธอจึงเดินตามบริกรคนนั้นไป
เมื่อมาถึงบริเวณทางเดิน หานฉ่ายหลิงก็เดินไปขวางบริกรเอาไว้
จากนั้นก็กระซิบอะไรบางอย่างข้างหู
บริกรชะงักนิ่งไป บ่งบอกชัดเจนว่ากำลังตื่นตระหนก จากนั้นก็ส่ายหน้าปฏิเสธ “คุณหาน แบบนี้ไม่ได้นะครับ ถ้าประธานลี่สืบรู้ล่ะก็ ผมได้จบเห่แน่!”
“มีฉันอยู่ทั้งคน เขาไม่มีทางสืบรู้หรอก! คุณเองก็รู้เรื่องข่าวลือพวกนั้นระหว่างฉันกับเขา ฉันกับเขาก็แค่อยากลองเล่นอะไรใหม่ๆแค่นั้นเอง!” หานฉ่ายหลิงยิ้มออกมาจางๆ จากนั้นก็หยิบอะไรบางอย่างออกมา พร้อมกับธนบัตร จากนั้นก็ยัดเข้ากระเป๋าของบริกร
“แค่นี้เอง!”
บริกรครุ่นคิดครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายก็ตอบตกลง เขาเดินออกมาจากห้องครัวพร้อมกับแก้วเหล้าที่วางอยู่บนถาด เมื่อเดินมาหยุดอยู่ข้างๆหานฉ่ายหลิง ก็ถามออกมาว่า “แน่ใจนะครับว่าเป็นวิสกี้แก้วนี้?”
“อืม!” เธอพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ลี่เฉินซีชอบดื่มเหล้า เธอรู้ดี
บริกรถอนหายใจออกมา แล้วยกถาดเดินเข้าไปในห้องโถง
ในใจเอาแต่บ่นออกมาไม่หยุด คนที่นี่ชอบเล่นอะไรแปลกๆ ถึงขั้นแอบวางยากันเลยหรือไง เห้อ……..
ลี่เฉินซีพูดคุยอยู่กับเหล่าประธานบริษัททั้งหลาย ข้างๆมีลู่ส้าวหลิงอยู่ด้วย จากนั้นหานฉ่ายหลิงก็เดินเข้ามาอย่างได้จังหวะเวลา เธอยิ้มแล้วพูดว่า “ส้าวหลิงก็มาด้วยเหรอ!”
“ก็วันนี้ผมเป็นเจ้าภาพ จะไม่มาได้ยังไง?” ลู่ส้าวหลิงวางท่าโอ่อ่า แล้วพูดหยอกล้อขึ้นมาว่า “หานฉ่ายหลิงวันนี้สวยจังเลย ให้เกียรติเต้นรำกับผมสักเพลงได้ไหม?”
เธอยิ้มออกมา แล้วพูดว่า “หยุดเลย คุณไปหาคนอื่นเถอะไป!”
ลู่ส้าวหลิงยักไหล่ ในระหว่างนั้นบริกรก็ยกถาดเดินเข้ามาพอดี บนนั้นมีแก้ววางอยู่หกใบ แต่มีแก้วแชมเปญอยู่แค่ใบเดียว เขาจึงยื่นมือออกไปจะหยิบโดยไม่หยุดคิด
แต่สุดท้าย ก็มือไม่ไวเท่าลี่เฉินซี ที่ยื่นออกไปหยิบแก้วแชมเปญ นั้นไปเสียก่อน ลู่ส้าวหลิงจึงทำได้แค่ให้บริกรไปเอาแชมเปญมาให้อีกแก้ว
หานฉ่ายหลิงเดินเข้าไปอยู่ข้างๆลี่เฉินซี แล้วพูดเสียงนุ่มขึ้นมาว่า “เรื่องเงินกู้น่ะ ยังดีที่ได้คุณช่วยเอาไว้ ถ้าไม่ได้คุณ ฉันก็คงไม่รู้ว่าควรต้องทำยังไง!”
เขายิ้มออกมาบางๆ แล้วยกแก้วขึ้นมา “คุณพูดคำนี้มาหลายรอบแล้วนะ เราเป็นเพื่อนกัน ก็ควรช่วยเหลือกัน ไม่เป็นอะไรหรอกน่า”
ทันใดนั้นลู่ส้าวหลิงก็พูดแทรกว่า “เราก็เป็นเพื่อนกันนะ คราวหน้าถ้ามีเรื่องอะไรมาหาผมก็ได้ ผมก็ช่วยคุณได้เหมือนกัน!”
ลี่เฉินซียกริมฝีปากขึ้นนิดๆ จากนั้นก็ยกแก้วขึ้นดื่มรวดเดียว
หานฉ่ายหลิงจ้องแก้วของเขาเขม็ง จากนั้นริมฝีปากสีแดงสดก็กระตุกขึ้นเล็กน้อย มือเล็กนุ่มค่อยๆวางลงบนแขนของเขา “ไม่ว่ายังไง ก็ต้องขอบคุณอยู่ดี เฉินซี เชิญดื่มกับฉันสักแก้วนะ!”
ลี่เฉินซีแกะมือเธอออกอย่างแนบเนียน จากนั้นก็หยิบขึ้นมาอีกแก้ว แล้วดื่มพร้อมกันกับเธอ
แต่น่าแปลกใจ คนที่คอแข็งมาตลอดอย่างลี่เฉินซี คืนนี้เพิ่งดื่มเหล้าลงท้องได้ไม่กี่แก้ว ก็รู้สึกหนักหัวแข้งขาอ่อนแรง สายตาก็เปลี่ยนเป็นพร่าเลือน ความรู้สึกเมานิดๆตีตื้นขึ้นมา
แม้แต่ลู่ส้าวหลิงที่อยู่ข้างๆยังหลุดขำ “นี่ อย่าบอกนะว่านายเมาแล้ว?”
ลี่เฉินซียันโต๊ะข้างๆเอาไว้ คิ้วคมเข้มขมวดแน่น เส้นเลือดบริเวณลำคอปูดโปนขึ้นมา หัวสมองเริ่มเลือนราง จนทำให้เขาเกิดความรู้สึกแปลกๆ
ลู่ส้าวหลิงเองก็เริ่มจับสังเกตได้ จึงพูดว่า “เมาจริงเหรอ? นายรอนี่ก่อนนะ ฉันจะไปเรียกเมียนายให้!”
พูดจบ ก็ตรงไปยังโซนอาหารอเมริกันทันที
ด้านหานฉ่ายหลิงก็ใช้มือเล็กๆจับแขนเขาอย่างสบจังหวะ แล้วประคองเขาเอาไว้ “เฉินซี คุณเมาแล้ว เดี๋ยวฉันช่วยประคองคุณไปพักก่อนนะ!”
เขาพยักหน้า แล้วเดินตามเธอออกไปข้างนอก
ในตอนที่ลู่ส้าวหลิงพาซูย้าวมาถึง ก็ไม่เห็นเงาของลี่เฉินซีกับหานฉ่ายหลิงแล้ว
“เฉินซีเมา ฉ่ายหลิงน่าจะพาออกไปสูดอากาศ เราออกไปตามหากันเถอะ!”
ลู่ส้าวหลิงพูดพร้อมกับ พาซูย้าวเดินออกมาข้างนอกโรงแรม
ไม่มีใครรู้เลยว่า ในระหว่างที่ทั้งสองคนเดินออกไปข้างนอก ขณะเดียวกันภายในลิฟต์ที่ปิดลง หานฉ่ายหลิงได้บอกคนให้เปิดห้องรอไว้แล้วเรียบร้อย
พื้นที่ในลิฟต์ไม่ได้กว้างมากนัก ลี่เฉินซีจึงรู้สึกหายใจติดขัด ร่างกายร้อนรุ่มจนทนไม่ไหว อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น ทำเขาหอบหายใจ
ร่างกายนุ่มนิ่มของหญิงสาวข้างกาย รวมไปถึงเสียงเล็กๆน่ารัก จึงเป็นเหมือนยาช่วยชีวิต ที่ทำให้เขาแทบอยากจะไขว่คว้าเอาไว้อย่างบ้าคลั่ง……..