เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - ตอนที่ 187
บทที่ 187 ก่อกวนพอหรือยัง
เสียงดังโครมครามในหัวตอนนี้ ลี่เฉินซีหลับตาลง พยายามสูดหายใจเข้าลึกๆ ผู้หญิงตรงหน้าคนนี้ เขาเคยรักสุดหัวใจ……
เขาออกแรงแขนมากขึ้น กอดเธอเอาไว้แน่น
หานฉ่ายหลิงตกอยู่ในท่วงทำนองที่เขามอบให้ เคลิบเคลิ้ม ซาบซ่านใจ สูดกลิ่นเฉพาะบนร่างกายของเขา ความรู้สึกนั้น ส่งผลกระทบไปทั่วทุกเซลล์ในร่างกาย
พักใหญ่ พิงเข้าไปในอ้อมอกของเขา เธอค่อยๆลืมตา
ดวงตาเรียวยาวที่น่าดึงดูดปรากฏประกายความนุ่มนวล เธอก็รู้ ความรักครั้งเก่าที่เขามีต่อตนเองยากที่จะลืมเลือน ความรู้สึกที่เหลืออยู่ยังไม่หมดไป
เพียงแค่มีความรู้สึกที่ยังเหลืออยู่ ทุกสิ่งทุกอย่าง ก็จะสำเร็จ
กลิ่นหอมอ่อนๆในอ้อมกอด ร่ำไห้ ท่าทางเศร้าใจ เฝ้ารอคอยอยู่ตลอดเวลา แล้วจะปล่อยมือไปได้อย่างไร
ลี่เฉินซีก็เป็นคน ในความรักของชายหญิง เขารู้ว่าตนเองรักใคร ยิ่งชัดเจนหลายปีมาแล้ว ในใจลึกๆใครกันที่มีผลต่อหัวใจมากที่สุด หยั่งรากฝังลึกจนขยับไม่ได้
เพียงแต่บางเรื่องทำได้ บางเรื่อง กลับทำไม่ได้
ดังนั้น หานฉ่ายหลิงกอดเขาอยู่พักใหญ่ แต่กลับไม่ได้รับการตอบโต้จากฝ่ายชายเลย ค่อนข้างงงงันไม่รู้จะทำอย่างไรดี จึงค่อยๆปล่อยเขา เงยหน้าขึ้น เห็นเพียงแค่ใบหน้าหล่อเหลาที่นิ่งเฉยของเขา แล้วสบเข้ากับดวงตาที่เย็นยะเยือกราวกับน้ำแข็ง
วินาทีนั้น ใจของเธอสั่นไหว
“เฉินซี……”
เธอไม่รู้จะทำอย่างไรดี ยิ่งกระวนกระวายใจ
ถ้าบอกว่าอย่างนี้ไม่ได้ งั้น……
“ก่อกวนพอหรือยัง?” เขาพูดนิ่งๆ ท่าทางเหมือนคนแก่ ที่กำลังมองเด็กที่ไม่รู้จักโตคนหนึ่ง
สายตาที่หลงใหล แล้วยังมาพร้อมกับความรู้สึกที่รักใคร่เอ็นดู มือใหญ่ๆขยี้ลงมาบนหัวเธอ แล้วก็ปล่อยเธอออก จูงมือของเธอ “ถ้าก่อกวนพอแล้ว พวกเรากลับกันเถอะ!”
“……”
เมื่อครู่หานฉ่ายหลิงเพิ่งเปิดเผยความรู้สึกที่แท้จริง คิดเอาไว้ว่าจะสามารถปลุกความรู้สึกในใจของเขาให้ตื่นขึ้นได้ จะสามารถใช้ประโยชน์จากเศษซากความรู้สึกที่เหลืออยู่นี้ มาทำลายแนวป้องกันเส้นสุดท้ายในใจของเขาได้ แต่……
วิธีนี้ได้ผลดีกับผู้ชายทุกคนชัดๆ ทำไมพอเป็นเขา จึงไม่เห็นผลล่ะ?
จนกระทั่งกลับถึงโรงแรม ในใจของหานฉ่ายหลิงก็ยังหวาดหวั่นไม่หาย กลุ้มใจที่คิดแล้วคิดอีกแต่ก็ยังคงไม่เข้าใจ
เวลาที่เหลือในออสเตรเลียไม่เยอะแล้ว เธอต้องรีบทำเวลา ถ้ารอจนกลับไป เขาต้องรีบกลับไปอยู่ข้างกายยัยใบ้แน่ๆ!
กลางคืน เธอนอนอยู่บนเตียง พลิกตัวไปมา
จู่ๆวีแชทในมือถือก็เตือนขึ้นว่าได้รับข้อความ ตอนแรกคิดว่าเป็นเขาที่ยังไม่นอนเหมือนกับตนเอง จึงจะเรียกตนเองให้ไปคุยกัน หยิบมือถือขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นดีใจ แต่ตอนที่เห็นเพ้ยส้าวหลี่สามคำนี้ สีหน้าก็อึมครึมขึ้นมาทันที
ไม่คิดว่าจะเป็นเขา!
“ซูย้าวท้องอีกแล้ว ถ้าเธอยังไม่พยายามอีก ก็ต้องบอกลาคนที่เธอชอบตลอดไปแล้วล่ะ”
เห็นวีแชทที่อีกฝ่ายส่งมา แต่ละตัวอักษรต่างก็สั่นสะเทือนใจของหานฉ่ายหลิง
ซูย้าวท้องอีกแล้ว? ทำไมไม่เคยได้ยินลี่เฉินซีพูดถึงเลย หรือว่ายัยใบ้นั่นยังไม่ได้บอกเขา?
ถ้าเป็นอย่างนี้ งั้นเธอก็ต้องพยายามให้มากกว่านี้หน่อยแล้ว!
หานฉ่ายหลิงกำมือถือแน่น สายตาไม่เป็นมิตร ราวกับมีดอาบยาพิษ อยากจะแทงเข้าไปที่หน้าอกของซูย้าว ต้องเอาชีวิตของเธอเท่านั้นถึงจะทดแทนความเจ็บช้ำได้!
ในประเทศตอนนี้ เป็นเวลากลางวัน
ช่วงนี้ซูย้าวอ่อนเพลียมาก ชอบขลุกตัวนอนอยู่บนเตียงบ่อยๆ ร่างกายค่อนข้างอืดอาด อาจจะเพราะตั้งท้องเป็นเหตุ
เพิ่งจะนอนลงไป ก็รู้สึกผะอืดผะอม วิ่งเข้าไปอาเจียนในห้องน้ำสักพัก จึงรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย
ยืนบ้วนปากอยู่ที่อ่างล้างหน้า จากในกระจก ไม่นึกว่าจะเห็นหนูเจิ้งเอ๋อที่พิงอยู่ข้างประตู ลูกชายกำลังมองเธอเงียบๆ ในดวงตาโตๆเป็นกังวล แววตาเป็นประกาย
มองออกว่า เจิ้งเอ๋อเป็นห่วงเธอมาก
เธอรีบบ้วนปาก แล้วเดินออกไป ลูบใบหน้าเล็กๆของเจิ้งเอ๋อ ยิ้มเล็กน้อย แสดงให้เขารู้ว่าแม่ไม่เป็นไร
แต่เจิ้งเอ๋อกลับเอามือเล็กๆจับแก้มของเธอ ครู่เดียว ก็โอบหลังคอของเธอ แล้วจุ๊บลงไปที่แก้มฟอดใหญ่
ซูย้าวยิ้ม อุ้มลูกชายกลับไปบนเตียง กล่อมเขานอนกลางวันไปด้วยกัน
แต่ลูกชายดื้อมาก ตอนนอนอยากจะให้คนอ่านหนังสือให้ฟัง แต่ซูย้าวพูดไม่ได้นี่นา สุดท้ายจึงต้องให้พี่เลี้ยงอุ้มออกไป
เธอนั่งถอนหายใจอยู่ตรงนั้น จับคอของตนเอง ถ้าลำคอออกเสียงได้ ก็คงไม่ต้องทำให้ลูกชายลำบากขนาดนี้
นึกถึงตนเองที่ยังต้องมีลูกอีกคน ไม่งั้นก็ไม่ต้องเป็นยัยใบ้อีกแล้ว
รอให้คลอดลูกอย่างปลอดภัยแล้ว เธอก็จะผ่าตัดลำคอทันที ต้องเอาเสียงกลับมาให้ได้
นอนกลางวันไปสองชั่วโมง ตอนที่ตื่นขึ้นมา เธอจัดการตนเองเล็กน้อย แล้วพาลูกชายไปเยี่ยมแม่
สถานพักฟื้นไม่ไกลจากบ้านตระกูลลี่ ด้วยการดูแลเป็นพิเศษของลี่เฉินซี อานโล๋ได้รับการรักษาอย่างน่าพอใจจากที่นี่ มีนักกายภาพบำบัดและพยาบาลเฉพาะทาง แล้วยังมีพี่เลี้ยงคอยดูแลทุกวัน บอกได้ว่าชีวิตดีมากๆ
อานโล๋กำลังกอดเจิ้งเอ๋อ ดีใจเป็นที่สุด แต่ตอนที่เห็นซูย้าว ก็ถอนหายใจขึ้นมาทันที “แกน่ะ จะให้แม่พูดยังไงดีล่ะ? ให้แกรักษาคอ จะได้รีบๆพูดได้สักที แกก็ดันไม่ฟัง! ชอบที่จะเป็นคนใบ้หรือไง?”
“……”
เรื่องที่ซูย้าวท้องอีกแล้ว เธอยังไม่ได้บอกแม่ กังวลว่าเธอจะคิดฟุ้งซ่าน ระยะนี้จึงปิดบังไปก่อน
“ตอนที่ฉันคลอดแกออกมา ก็แข็งแรงสมบูรณ์ แต่แกกลับทำให้ตัวเองกลายเป็นคนใบ้เสียได้ นี่มันนานแค่ไหนแล้ว? แกได้เสียงกลับมาแล้วจะเป็นยังไง? แกคิดว่าชีวิตนี้หมดหนทางที่จะพูดกับลูกของตัวเองสักประโยคแล้วเหรอ?”
อานโล๋เป็นแบบอย่างของคนปากร้ายใจดี ปากกำลังจู้จี้ตำหนิลูกสาว แต่ในใจกลับสงสารเธอกว่าใครทั้งนั้น
เห็นซูย้าวเป็นอย่างนี้ทุกวัน เธอที่เป็นแม่ ในใจจะทนไหวได้อย่างไร?
สุดท้ายแล้ว ก็ตำหนิติเตียนอยู่พักใหญ่ แล้วชี้ไปที่เธอพูดขึ้น “แกไปชอปปิ้งเถอะ! ดูสิแกแต่งตัวอะไร? เพิ่งจะอายุเท่าไหร่ ทำไมถึงไม่มีชีวิตชีวาเสียเลย! ไปซื้อเสื้อผ้าหน่อยไป!”
“……”
ซูย้าวถอนหายใจ ถ้าเธอพูดได้ คงโดนแม่ตำหนิอยู่ดี ยิ่งพูดไม่ออกเข้าไปอีก!
“ถ้าแกไม่มีเงิน แม่มี รอก่อน แม่จะหยิบบัตรเครดิตให้แก”
ปีนั้นอานโล๋ขายบ้านของตนเองไป เงินก้อนนั้นจึงไม่ได้แตะต้องเลย เก็บอยู่ในบัตร หลายปีแล้ว
ซูย้าวจะใช้เงินของแม่ได้อย่างไร รีบปฏิเสธทันที ใช้ภาษามือพูด “หนูมีเงิน แล้วยังมีเงินเยอะด้วย เฉินซีก็ให้เงินหนู!”
“งั้นยังไม่ไปชอปปิ้งอีก? ซื้อเสื้อผ้าให้ตนเองหน่อยได้ไหม? แกดูที่แกใส่มาสิ เหมือนกับคนเฒ่าคนแก่!” อานโล๋เริ่มบ่นอีกแล้ว
ซูย้าวหมดคำพูด ทำได้เพียงพยักหน้า ทิ้งลูกชายไว้กับแม่ที่นี่หนึ่งวัน แล้วตนเองก็ออกไป
ออกมาจากสถานพักฟื้นแล้ว เธอไปบริษัทโฆษณาแห่งหนึ่ง ก่อนหน้านี้เคยช่วยที่นี่วิเคราะห์การเงิน ครั้งนี้จึงมารับค่าตอบแทน
หลังจากได้รับเช็คแล้ว เธอก็ทำตามที่แม่บอก ไปที่ศูนย์การค้าทันที แม้จะเป็นเวลาห้าโมงกว่าแล้ว แต่ศูนย์การค้าเปิดบริการตลอด 24 ชั่วโมง
เสื้อผ้าเธอกลับไม่อยากซื้อเพิ่มเติม แค่อยากเปลี่ยนโน้ตบุ๊กใหม่สักเครื่อง ใช้ทำงานจะได้สะดวกมากขึ้น
เลือกซื้อเรียบร้อยแล้ว เพิ่งออกมา จู่ๆด้านข้างก็มีคนวิ่งเข้ามา คว้าแขนของเธออย่างแรง พูดด้วยความโมโห “นังตัวดีนังเด็กอกตัญญู! ฉันเลี้ยงแกมาจนโตเสียข้าวสุกจริงๆ!”
ก่นด่าด้วยความโมโหเต็มที่ ซูย้าวจ้องเขม็ง จึงจำซัวฉ่ายลี่ที่เข้ามาใกล้เธอได้
ไม่เจอกันหลายเดือน ซัวฉ่ายลี่ผอมลงไปเยอะ ก่อนหน้านี้ที่อ้วนท้วนสมบูรณ์ ตอนนี้จึงมีทรวดทรงมากขึ้น เพียงแค่หน้าตาที่ไม่เป็นมิตรและความโหดร้าย กลับไม่ลดลงสักนิดเลย
“นังแพศยา! บ้านตระกูลซูโดนแกทำลายอย่างโหดร้าย แกยังคิดจะมาถลุงเงินอยู่ที่นี่อีกนะ! แกมีเงินทำไมไม่ช่วยที่บ้านใช้หนี้บ้างล่ะ? เลี้ยงเสียข้าวสุกนังเด็กไร้ค่า!” ซัวฉ่ายลี่พูดจาเหลวไหลไม่มีเหตุผลกำลังดึงเธอเอาไว้ เสียงแหลมๆ ทำให้ดึงดูดผู้คนให้ล้อมรอบเข้ามาอย่างรวดเร็ว
“แกมันใจร้ายใจดำ เพื่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงานแม้แต่ครอบครัวตัวเองก็ยังไม่ปล่อย! บริษัทซูซื่อที่อยู่ดีๆ ไม่ได้ตั้งตัวก็โดนแกจัดการจนล้มละลาย ยังไงฉันก็ถือเป็นแม่ของแก ทำไมแกถึงทำกับฉันอย่างนี้!”
ซูย้าวไม่ได้ระวังตัว ก็โดนซัวฉ่ายลี่พุ่งเข้ามา คว้าข้อมืออย่างแรง อย่างไรก็ไม่ยอมปล่อย
เธออยู่ท่ามกลางฝูงชน กำลังดึงซูย้าว ออกแรงโยกสุดแรง คำพูดที่ชั่วร้าย ยิ่งดังขึ้นไม่หยุดหย่อน
“ก็รู้ว่าเป็นนังแพศยาที่บ้าผู้ชาย! บ้านตระกูลซูไม่มีลูกสาวหน้าด้านอย่างแก แกดูเอา ครอบครัวโดนทำลายจนเป็นยังไงแล้ว?”
“มาดูเลย! ทุกคนช่วยฉันตัดสินหน่อยว่าใครผิดใครถูก……”
ความสามารถในการแสดงของซัวฉ่ายลี่ยอดเยี่ยมขนาดนี้ น้ำมูกน้ำตาไหลสาธยายอยู่ท่ามกลางฝูงชน ทำให้คนไม่น้อยเลยพากันวิจารณ์ต่างๆนานา