เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - ตอนที่ 197
บทที่ 197 ฉันต้องการได้เธอ
อาหารเป็นพิษจากแป้งมัน
เนื่องจากอาการเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากที่ทานเข้าไป และด้วยเวลาที่ทันท่วงที ดังนั้นหลังจากที่ถูกส่งไปโรงพยาบาลก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง
และเพราะซูย้าวกำลังตั้งครรภ์ การตรวจจึงต้องแตกต่างจากโม่หว่านหว่าน โดยจำเป็นต้องตรวจให้ละเอียด เพื่อให้แน่ใจว่าทารกในครรภ์ไม่ได้รับผลกระทบอะไร
หลินโม่ป่ายคอยอยู่ช่วยทุกขั้นตอน อีกทั้งยังดูแลนายน้อยเป็นอย่างดี ทุกคนต่างเห็นท่าทางที่ดูจะไม่สบายใจและเป็นกังวลของเขา
หลังจากที่ตรวจร่างกายเสร็จ ซูย้าวก็ถูกส่งตัวกลับไปยังห้องผู้ป่วย และนอนให้น้ำเหลือกับโม่หว่านหว่าน พยาบาลที่เข้ามาเปลี่ยนยาเอ่ยขึ้น “น่าอิจฉาคุณซูจังเลยนะคะ!”
โม่หว่านหว่านที่อยากจะพูดหยอกเธอก็เอ่ยถามกลับ “ทำไมต้องอิจฉาเธอด้วยล่ะ”
พยาบาลมองไปที่ซูย้าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและหัวเราะออกมาอย่างเย้ยหยัน “ก็หน้าตาสะสวย ถึงจะเป็นใบ้หูหนวก ก็ยังมีผู้ชายมากชอบ!”
หยุดไปชั่วขณะ ไม่รอให้โม่หว่านหว่านไปตอบกลับ อีกฝ่ายก็พูดขึ้นมา “ด้านหนึ่งเป็นคุณผู้หญิงที่แต่งงานกับผู้ชายร่ำรวยที่สุดในประเทศ ส่วนอีกด้านหนึ่งกิ๊กกั๊กกับคุณหมอหลินที่ทั้งหล่อและเก่ง!น่าอิจฉาจริงๆเลยนะคะ!”
คำพูดสุดท้าย เธอกัดฟันพลางพูดออกมาด้วยความโกรธ ท่าทางดูเกลียดชังและรังเกียจ มันชัดเจนอย่างไม่ต้องสงสัย
“พูดบ้าอะไรของเธอ นี่คือวิธีที่เธอปฏิบัติกับคนไข้งั้นเหรอ” โม่หว่านหว่านผลุดตัวขึ้น ในใจเต็มไปด้วยความโกรธ
พยาบาลมองเธออย่างเย็นชา “งานพยาบาลอย่างพวกเราเป็นงานบริการ ทุกวันต้องรักษาคนมากมาย มีทั้งคนดี คนชั่ว หรือแม้กระทั่งฆาตกร!เราก็ทำแบบนี้กับทุกคนนั่นแหละ ถ้าคุณไม่ต้องการรักษา ก็ไม่ต้องมาสิ”
พูดจบเธอก็หัวเราะเย้ยหยัน ก่อนจะเดินออกไป
โม่หว่านหว่านที่แพ้ไปอย่างไม่เต็มใจก็ยิ่งทวีความโกรธมากขึ้น “อะไรกัน!มีคนแบบนี้ได้ยังไง!”
ซูย้าวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พลางหันไปส่ายหัวให้เธอเป็นเชิงว่าไม่จำเป็นต้องโกรธ
ตั้งแต่แต่งงานกับลี่เฉินซีมา เรื่องอื้อฉาวของเธอก็มีมาไม่หยุดหย่อน ไม่ว่าเธอจะแสนดีแค่ไหนก็ตาม แต่คนที่ปั้นน้ำเป็นตัวก็มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง
ในแวดวงนี้ ถึงจะไม่ได้เป็นคนมีชื่อเสียงโด่งดัง แต่กลับต้องใช้ชีวิตเหนื่อยกว่าบุคคลสาธารณะเสียอีก
เนื่องด้วยการรักษาที่ทันท่วงที จึงทำให้ร่างกายของทั้งสองคนสามารถฟื้นฟูตัวเองได้ค่อนข้างเร็ว โดยเฉพาะโม่หว่านหว่าน เธอไม่ได้ตั้งครรภ์ยิ่งไม่มีอาหารที่ต้องหลีกเลี่ยง เธอจึงพานายน้อยไปกินอาหารฟาสต์ฟู๊ด
ซูย้าวที่อยู่ในห้องและอยู่ให้น้ำเกลืออย่างเงียบๆ ส่งวีแชทเตือนให้โม่หว่านหว่านว่าอย่าให้ลูกกินมากจนเกินไป ทันใดนั้น กึก เสียงประตูห้องคนไข้ก็เปิดออก
เธอคิดว่าโม่หว่านหว่านคงจะลืมของ จึงเงยหน้าขึ้น แต่กลับพบว่าเป็นเพ้ยส้าวหลี่
แสดแดดส่องผ่านเข้ามาในห้องจากทางหน้าต่าง สาดไปที่ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ที่ข้างประตู อาจเป็นเพราะใบหน้าที่หล่อเหลากระทบกับแสงจึงทำให้เกิดเงาตื้นลึกบนใบหน้าของเขา เขามองเธอด้วยสายตาที่นุ่มนวล ริมฝีปากค่อยๆคลี่ยิ้ม
ซูย้าวลุกขึ้นนั่งที่ขอบเตียง ที่มือซ้ายของเธอยังคงมีเข็มปักอยู่ เธอหน้าซีดแต่กลับทักทายเขาได้อย่างไม่แสดงอาการใดๆ
ชายหนุ่มก้าวมาข้างหน้า โน้มตัวมาจัดเข็มที่หลังมือของเธอให้ตั้งตรงด้วยท่าทีที่เป็นมิตร เอ่ยขึ้นด้วยเสียงทุ้มที่ดูมีเสน่ห์ยิ่งกว่าใบหน้าเสียอีก “กินอะไรเข้าไปถึงได้อาหารเป็นพิษได้เนี่ย ทำไมสะเพร่าอย่างนี้”
เขาเอ็ด แต่แฝงไปด้วยความเป็นห่วง
แต่เพ้ยส้าวหลี่รู้ดี ว่าสิ่งที่เธอไม่ต้องการมากที่สุดก็คือความห่วงใยจากเขา
ดังนั้นในเวลานี้ สายตาที่ไม่ใยดีของซูย้าวจึงเป็นเหมือนสายน้ำที่พยายามเลี่ยงจากเขา
“ได้ยินมาว่าเธอย้ายออกจากบ้านตระกูลลี่แล้ว เกิดอะไรขึ้นเหรอ” แต่เพ้ยส้าวหลี่กลับไม่ใส่ใจ และตั้งคำถามในสิ่งที่เขาสนใจ
ซูย้าวหุบยิ้มที่มุมปาก พลางใช้ภาษามืออธิบาย “ไม่มีอะไร”
“รู้ทั้งรู้ แต่ยังมาบอกว่าไม่มีอะไรอีก เธอคิดว่าฉันจะเชื่อเหรอ” เขามองไปที่เธอ ริมฝีปากบางโค้งงอเป็นส่วนโค้งที่ชวนมอง
เธอหลบสายตา แสร้งทำว่าไม่ใส่ใจ
เพ้ยส้าวหลี่ลากเก้าอี้มานั่งต่อหน้าเธอ ฝ่ามือใหญ่จับมือของเธออย่างเป็นธรรมชาติ มือของเธอเย็นเฉียบ ทั้งๆที่อากาศร้อนระอุ แต่มือของเธอกลับเย็นราวกับน้ำแข็ง
“เย็นขนาดนี้เชียว…” น้ำเสียงของเขาที่ไม่รู้อะไร และยังคงคิดว่าต้องเกิดอะไรขึ้นระหว่างคนสองคน
ซูย้าวรู้สึกว่ามันไร้สาระและชักจะเลยเถิดกันไปใหญ่ จึงรีบชักมือกลับทันที
เขาเพียงแค่ยิ้มและไม่ได้ทำอะไร “เขาอยากจะหย่ากับเธอแล้ว ใช่ไหมล่ะ!”
ทันทีที่พูดประโยคนี้ออกมาก็เสียดแทงใจของเธอเข้าเต็มๆ เธอลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ จนถึงทุกวันนี้ เธอก็ยังคงไม่ชินกับคำว่า ‘หย่า’ ที่มาจากปากของคนอื่น
เธอยิ้มออกมาจางๆ ราวกับว่าไม่สะทกสะท้านใดๆ พลางใช้ภาษามือเอ่ย“สายข่าวของประธานเพ้ย ไวขนาดนี้เชียว”
“อันที่จริง ฉันพอจะเดาได้ ตั้งแต่ที่เธอเก็บกระเป๋าออกมาจากบ้านแล้ว” เขาเอ่ย
ซูย้าวอึ้งไปชั่วขณะ เขารู้เรื่องที่ตัวเธอเก็บข้าวของออกจากบ้านตระกูลลี่…ได้ยังไงกันนะ
เป็นไปได้ไหมว่าเขาจะส่งคนมาจับตาดูเธออยู่!
ความรู้สึกขนลุกขนพองค่อยๆคืบคลานเข้ามาในก้นบึ้งของหัวใจ นี่มันอะไรกัน!
จากนั้นเพ้ยส้าวหลี่ก็อธิบายอีกครั้ง “ฉันไม่ได้จับตาดูเธอนะ แค่ฟังจากหว่านหว่านก็แค่นั้น”
โม่หว่านหว่านงั้นเหรอ!
ซูย้าวยิ้มออกมาอย่างเย็นชา หากให้พูดว่าคนที่เธอไว้ใจมากที่สุดคือใคร คำตอบของเธอก็คือโม่หว่านหว่าน ต่อไปนี้เธอจะไม่เล่าเรื่องของตัวเองให้ใครฟังง่ายๆอีกเด็ดขาด
“ถ้าจะพูดในผิดใจกัน อย่างนั้นแล้วประธานเพ้ยไม่จำเป็นต้องทำหรอกค่ะ!” ซูย้าวใช้ภาษามือตอกกลับ
เพ้ยส้าวหลี่มองเธออย่างลึกซึ้ง ผู้หญิงคนนี้มักเป็นเช่นนี้เสมอ ราวกับเม่นตัวน้อยที่ปกคลุมไปด้วยหนามแหลม โดยจะจู่โจมทันทีโดยไม่ให้โอกาสใครหน้าไหนทั้งนั้น
อีกทั้งเธอยังฉลาดมากอีกด้วย
ทั้งคำพูดและการกระทำของคนอื่น เธอมองออกจนหมดเปลือก
แต่ถึงกระนั้น ผู้หญิงที่ฉลาดเช่นนี้ กลับตกอยู่ในกำมือของคนคนหนึ่ง โดยที่เธอเองก็เต็มใจให้เป็นอย่างนั้น
หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีต่อมา ซูย้าวก็ตกตะลึง
เธอจ้องมองเขาด้วยความรู้สึกที่ว่างเปล่าไปชั่วขณะ
ไม่ใช่เพราะถูกดึงดูดด้วยเสน่ห์ของเพ้ยส้าวหลี่ แต่กลับตกตะลึงกับสีหน้าของเขาและข้อเท็จจริงที่เดาได้
เพ้ยส้าวหลี่เองก็มองสีหน้าของเธอออก ที่ริมฝีปากของเขายกยิ้มขึ้น เขาไม่ปล่อยให้เธอเสียเวลาจึงตอบกลับไป “จริงๆ ฉันรู้มาจากโม่หว่านหว่าน”
เป็นโม่หว่านหว่านจริงๆ…
“เพราะเธอเป็นพนักงานที่บริษัทของเราเรียบร้อยแล้ว เธอไม่รู้เรื่องเหรอ เธอทำงานได้เดือนหนึ่งแล้ว เมื่อวานนี้เพิ่งจะได้เงินเดือนไปเอง!” เขาพูด
ดูก็รู้ว่าต้องเป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอน
เพียงแต่ซูย้าวไม่อยากจะเชื่อ โม่หว่านหว่านเองก็รู้อยู่แก่ใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างกรุ๊ปเพ้ยซื่อและบริษัทลี่ซื่อ แต่เธอยังกล้าไปสมัครงานกับกรุ๊ปเพ้ยซื่ออีก
งานก่อนหน้านี้ของเธอก็คือที่บริษัทLG แต่ตอนนี้กลับวิ่งแจ้นไปทำงานที่กรุ๊ปเพ้ยซื่อ ยัยนี่คิดจะทำอะไรกันแน่…
“ค่าจ้างสูง ฉันว่าฉันก็ไม่ได้เลวร้ายกับเธอนะ” เพ้ยส้าวหลี่พูดออกมาเบาๆ แต่
สีหน้าของซูย้าวดูอ่อนโยนขึ้นหลังจากที่ขมวดคิ้วอยู่นาน เมื่อได้คำตอบที่เจาะจงมากขึ้น เธอก็ใช้ภาษามือตอบกลับ “ไม่ใช่หว่านหว่านที่เป็นคนบอกกับคุณ แต่เป็นคุณต่างหากที่ได้ยินตอนที่เธอคุยกันเพื่อนร่วมงาน”
“เธอนี่ฉลาดสุดๆ!” เพ้ยส้าวหลี่พูดออกมาตามความรู้สึก เขาลุกขึ้นยืน ร่างสูงที่ดูน่าเกรงขามกั้นเธอไว้พร้อมกับสายตาที่ดูล้ำลึก “ฉันล่ะชอบความฉลาดของเธอจริงๆ ซูย้าว ผู้หญิงอย่างเธอเนี่ยแหละ ที่ฉันอยากได้!”
“……”
นี่มันคำสารภาพแบบไหนกันเนี่ย
“เธอบอกว่าผู้เฒ่าจันทรากับคุณยายเมิ่งเป็นคู่รักกันใช่ไหม” จู่ๆเพ้ยส้าวหลี่ก็พูดขึ้นโดยมีนัยยะบางอย่าง “คนหนึ่งผูกด้ายแดง ส่วนอีกคนก็ลบล้างเป็นผุยผง”
ในที่สุดเวลาก็ล่วงเลยไป ฝุ่นสีแดงกลับกลายเป็นความผันผวนในชีวิต
เขาเชื่อว่าแม้ต้นร้ายแต่ปลายจะดีเสมอ เพียงแค่คอยคำนึงหา เชื่อว่าจะได้ผลในสักวัน และยิ่งไปกว่านั้น เขามั่นใจแล้วว่าต้องเป็นผู้หญิงคนนี้
“ฉันรู้ว่าเธอกำลังกังวลเรื่องอะไร แต่มาอยู่อพาร์ทเม้นท์แบบนี้ ยังไงคนคนนั้นก็ตามหาเธอเจออยู่ดี ถ้าเธออยากหาที่เพื่อจะซ่อนลูกชายล่ะก็ ทำไมไม่มาหาฉันล่ะ!”
นี่คือจุดประสงค์หลังในการมาเยือนของเพ้ยส้าวหลี่
อยากให้เธอเป็นฝ่ายพาลูกไปหาเขา ซูย้าวยิ้มเยาะในใจ นี่เขาคิดสบประมาทเธอมากเกินไปแล้ว
แต่การเฝ้ามองภาพที่ชายคนนั้นเดินจากไป บางที เพ้ยส้าวหลี่อาจไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นจริงๆ