เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - ตอนที่ 205
บทที่ 205 ถึงเวลาที่ต้องคิดบัญชี
การช่วยเหลือเป็นไปอย่างฉุกละหุก ซูย้าวใจหายใจคว่ำ อกสั่นขวัญแขวน
โชคดีที่อานโล๋สุดท้ายแล้วก็สามารถผ่านพ้นมาได้ สัญญาณชีพจรของเธอค่อยๆกลับมาเป็นปกติและคงที่
ซูย้าวที่กำลังตกใจกลัว ก็เบาใจลง
หลินโม่ป่ายเดินออกมาด้วยเหงื่อท่วมตัวจากความตึงเครียด จับมือของเธอ ดวงตาเปล่งประกาย “ไม่เป็นไรแล้วนะ น้าอานท่านอดทนมาก จะต้องผ่านไปได้อย่างแน่นอน จะต้องไม่เป็นอะไร!”
เธอพยักหน้า เพราะนี่เป็นความหวังสุดท้ายและแรงผลักดันที่มีอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจในเวลานี้ ได้แต่ภาวนาให้สวรรค์โปรดเมตตา ให้คุณแม่ผ่านพ้นขีดอันตราย
อานโล๋นอนสลบอีกครั้ง เครื่องตรวจวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจและอุปกรณ์ต่างๆที่อยู่รอบข้างต่างแสดงอาการของคุณแม่ว่าคงที่ พ้นขีดอันตรายชั่วคราว
หลินโม่ป่ายจูงมือของเธอ แทบจะเป็นการบังคับด้วยซ้ำเพื่อให้เธอเดินตามตัวเองลงมาจากตึกเพื่อไปทานอาหาร เมื่อเข้าไปที่ร้านอาหารแล้ว ซูย้าวกลับเหม่อลอยใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หรือจะพูดให้ถูกก็คือวิญญาณหลุดจากร่างไปแล้ว
เมื่อพนักงานนำอาหารมาเสิร์ฟ เธอก็แค่หยิบตะเกียบ แต่ไม่แตะไม่คีบอาหาร เอาแต่จ้องดูอาหารที่น่าทานอยู่ในจานอย่างไร้อารมณ์
หลินโม่ป่ายจึงใช้ตะเกียบเคาะขอบจาน เมื่อได้ยินเสียงดังขึ้น เธอถึงได้สติคืนมา
“คุณไม่ทานก็ไม่เป็นไร เพราะคุณเป็นผู้ใหญ่ อดอาหารสองสามวันก็คงไม่เป็นอะไร แต่ว่าในท้องคุณยังมีลูกน้อยอีกหนึ่งชีวิตนะ ทำไมถึงไม่คิดถึงลูกในท้องบ้าง”
เวลานี้เขาคงต้องใช้วาทศิลป์แบบนี้เท่านั้นในการเกลี้ยกล่อมเธอ โชคดีที่สวรรค์มีตา มอบอีกหนึ่งชีวิตน้อยๆให้เธอในท้อง
เมื่อนึกขึ้นได้ ซูย้าวจึงพยักหน้าด้วยใบหน้าที่ขาวซีด หยิบตะเกียบคีบอาหารใส่ถ้วย แล้วก็คลุกกับข้าวสวยแล้วก็คีบใส่ปาก แต่กลับทานแบบไม่มีชีวิตชีวาไร้ความรู้สึก คีบใส่ปากแล้วก็กลืน ทำอยู่อย่างนั้นราวกับกับหุ่นยนต์
แต่สถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่นาที เธอไม่สามารถทนความปั่นป่วนในกระเพาะของเธอได้ จึงได้รีบวิ่งเข้าไปอ้วกในห้องน้ำทันที
เมื่อรอเธอล้างทำความสะอาดช่องปากเรียบร้อยแล้ว หลินโม่ป่ายได้ให้พนักงานยกนมร้อนมาเสิร์ฟ “ดื่มของร้อนๆสักแก้วนะ! กระเพาะจะได้รู้สึกดีขึ้น”
เธอทำตามอย่างเชื่อฟัง ดื่มนมจนหมด ไม่เหลือสักหยด
“ไม่ว่าจะอย่างไร คุณจะต้องดูแลตัวเองให้ดี คุณน้าไม่มีทางเป็นอะไรอย่างแน่นอน ถ้าเห็นคุณซีดเซียวเช่นนี้ คุณน้าจะต้องเป็นห่วงมากแค่ไหน” เขากล่าว
ทันใดนั้นเธอก็สลัดทิ้งความทุกข์ที่มีอยู่ในใจ ซูย้าวพยักหน้า แล้วก็ตักอาหารทานทีละคำๆ
ไม่ว่าอย่างไร หลินโม่ป่ายก็อยู่เป็นเพื่อนเธอจนทานอาหารเสร็จ ถึงแม้ว่าระหว่างทานจะอ้วกไปถึงสองครั้งก็ตาม แต่อย่างน้อยๆเธอก็ได้ทานเข้าไปนิดหน่อย เพื่อเพิ่มกำลัง
เมื่อเธอกลับไปถึงที่โรงพยาบาล อานโล๋ยังคงนอนสลบอยู่ แต่อาการดูดีขึ้นเล็กน้อย อาจจะเป็นเพราะมาจากจิตใจของเธอ
เธอยังคงเป็นเหมือนเดิม ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เฝ้าคุณแม่อย่างเงียบๆ
หลายปีจากนี้ไป เมื่อหลินโม่ป่ายหวนคิดถึงภาพทรงจำเหล่านี้ ก็คงจะยังรู้สึกเจ็บปวด เธอกีดกันทุกคนออกจากตัวเอง นั่งเฝ้าคุณแม่อย่างดื้อรั้น เฝ้าญาติที่เหลือเพียงคนเดียวในโลกใบนี้ ราวกับการเฝ้าคุณแม่แบบนี้จะทำให้คุณแม่ปลอดภัย ยมทูตก็จะไม่มีทางมาหาเจอ
หลินโม่ป่ายยังมีงานที่ต้องจัดการ ไม่สามารถที่จะอยู่เป็นเพื่อนเธอนานได้ กำชับเพียงไม่กี่ประโยค จากนั้นก็ขึ้นตึกไปอย่างอาวรณ์
เขาจากไปได้ไม่นาน ในห้องผู้ป่วยก็มีคนมาเยือน
ซูหยวนย่างก้าวเข้ามาอย่างสง่างาม ในมือถือช่อดอกเบญจมาศสีเหลือง ใบหน้าบอบบางงดงามราวกับเทพธิดาผู้สูงศักดิ์ ยิ้มอย่างย่ามใจ สีหน้าเย่อหยิ่งโอหัง
เมื่อเข้ามาแล้ว เธอก็นำดอกเบญจมาศสีเหลืองโยนลงบนโต๊ะข้างเตียง จากนั้น กวาดสายตามองซูย้าวอย่างดูถูกเหยียดหยาม แล้วกระแอมขึ้น “คุณน้าป่วยหนักขนาดนี้ ในใจอึดอัดไหม ทุกข์ทรมานไหม”
นี่ไม่ใช่คำพูดไร้สาระเหรอ
นั่นเป็นคุณแม่บังเกิดเกล้าของซูย้าวเชียวนะ จะไม่ให้เธอทุกข์ใจได้อย่างไร!
ซูย้าวย่อมไม่สนใจเธออยู่แล้ว เมินเธอ เย็นชาใส่เธอ สักพักเธอก็คงจะจากไปเอง
เวลาแบบนี้เธอไม่มีอารมณ์ที่จะไปทะเลาะกับใคร เพียงแค่อยากอยู่เฝ้าคุณแม่อย่างสงบ และคอยอธิษฐานเงียบๆในใจเท่านั้น
“เธอจะต้องไม่รู้แน่ๆ ว่าทำไมคุณน้าถึงกลายมาเป็นแบบนี้ได้ ซูย้าวเธออยากรู้ไหมว่าทำไม” ซูหยวนกล่าวขึ้นทันใด
ดวงตาซูย้าวหม่นลง แต่อารมณ์ยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลง จับมือคุณแม่ไว้ไม่กระดุกกระดิก
ที่ใบหูยังคงดังกระทบด้วยเสียงของซูย้าว ไม่สูงไม่ต่ำเกินไป แต่ละคำกลับเจ็บจี๊ดสนั่นเข้ามาถึงในแก้วหู——
“ก็เป็นเพราะเธอไง! ซูย้าว ที่คุณน้าเป็นแบบนี้ก็เพราะเธอ!”
ซูย้าวตะลึงงัน เป็นเพราะตัวเองเหรอ
จากนั้น เธอจึงค่อยๆลุกยืนขึ้น ใบหน้าที่อ่อนแอ มองไปทางซูหยวนอย่างเยือกเย็น คล้ายกับกำลังตั้งคำถาม แต่ไม่จำเป็นต้องเอ่ยปาก ซูหยวนก็จะให้คำตอบออกมาเอง
“ คุณน้ารู้ว่าเธอกำลังตั้งท้องลูกอีกคน แล้วยังรู้ว่าเธอชอบพี่เฉินซีตั้งแต่เด็ก คลานขึ้นเตียงของเขาอย่างหน้าไม่อาย เพื่อเป็นผู้หญิงของเขา แม้แต่ตอนที่เขาบอกให้ไปทำแท้ง เธอก็ยังอาลัยอาวรณ์ไม่ตัดใจจากผู้ชายคนนี้ มีลูกแบบเธอ จะมีแม่คนไหนที่ไม่ปวดใจ”
แววตาซูย้าวค่อยๆหมองลง สีหน้าหดหู่ ซ่อนความแจ่มแจ้งที่อยู่ภายในใจเอาไว้
“เธอนี่มันร่านจริงๆ ตั้งท้องครั้งแล้วครั้งเล่า พี่เฉินซีบอกแล้วว่าไม่ต้องการ แต่เธอก็ยังจะหน้าด้านเก็บไว้ เพื่อจะได้ใช้ลูกเหนี่ยวรั้งผู้ชาย เป็นถึงลูกสาวของบริษัทซูซื่อ คุณน้าจึงรู้สึกว่าเธอได้เรื่องที่อับอายทำขายขี้หน้ามาก! ไอ้คนชั้นต่ำน่าขยะแขยง เป็นเพราะเธอที่ทำให้คุณน้าที่ดีๆต้องกลายมาเป็นแบบนี้ !”
“เรื่องราวมาถึงขั้นนี้ เห็นคุณน้าป่วยหนักขนาดนี้ สาแก่ใจเธอหรือยัง เธอต้องการเก็บลูกไว้ เพื่อจะได้อยู่ที่บ้านตระกูลลี่ และเพื่อใช้ต่อรองกับพี่เฉินซีใช่ไหม หึๆ อีชาติชั่ว!”
ซูหยวนระบายความอัดอั้นในใจของตัวเอง จึงด่าทอออกมาด้วยคำหยาบๆคายๆ
แต่ตั้งแต่ต้นจนจบซูย้าวก็ยังคงยืนอยู่ข้างๆอย่างเงียบๆ โดยไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ใดๆ
“ผู้หญิงชั้นต่ำอย่างเธอ เห็นแล้วฉันรู้สึกสะอิดสะเอียน! พี่เฉินซียิ่งไม่ต้องพูดถึง ไม่แปลกที่เขาไม่ยอมให้เธอเก็บลูกเอาไว้!”
ซูย้าวได้แต่ฟังคำด่าทอของอีกฝ่าย จนกระทั่งซูหยวนด่าพอใจ จากนั้นก็พูดมาอีกหนึ่งประโยค ‘ถ้าหากคุณน้าเป็นอะไรขึ้นมา ล้วนเป็นเพราะเธอ!’ แล้วก็จากไป
โดยที่ไม่รู้ว่าซูย้าวต้องใช้ความอดทนกล้าหาญมากแค่ไหน เพื่อข่มอารมณ์ร้อนและเสียงดุด่าที่มีอยู่ในใจของตัวเองเอาไว้
เพราะการตั้งครรภ์ของตัวเองอีกครั้ง เพราะลี่เฉินซีต้องการหย่า เพราะ…..คุณแม่รู้ว่าตัวเองนั้นแอบหลงรักเขามาโดยตลอด
ใช่สิ เธอมันคนหน้าด้านไร้ยางอาย ถึงได้ชอบผู้ชายคนหนึ่งมาตั้งหลายปี
เหอะๆ
ไม่รู้ว่าต้องเวลาผ่านไปนานแค่ไหน ซูย้าวขยับตัว เสียงหายใจสั่นดังขึ้น เธอหลับตาลงราวกับว่าเธอต้องการข่มความอัปยศและความเศร้าโศกที่มีอยู่ในใจของเธอที่ไม่สามารถอธิบายได้
การหย่าร้างกับลี่เฉินซีครั้งนี้ จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน!
เพื่อชายคนนี้ เธอต้องแบกภาระมากมายไว้ วันนี้ไม่อาจจะให้แม่ต้องมาอับอายเพราะเรื่องของตัวเองได้อีก
นอกจากนี้ ยังมีอีกหนึ่งคน
ถึงเวลาที่ต้องคิดบัญชีแล้ว ตลอดเวลาที่ผ่านมา เป็นเพราะเธอนั้นใจดีและเห็นแก่ความสัมพันธ์ในอดีตมากเกินไป ถึงได้อดทนแล้วอดทนอีก จนต้องมามีวันนี้ วันที่คุณแม่นอนป่วยอยู่บนเตียง เจ็บปวดใจแต่กลับไม่สามารถทำอะไรเพื่อคุณแม่ได้
ซูย้าวหยิบโทรศัพท์ออกมา แล้วนั่งอยู่หน้าเตียงคุณแม่อยู่นานสองนาน จนกระทั่งพลบค่ำ ถึงได้เดินมาที่ริมหน้าต่าง โดยที่สีหน้าไร้ความรู้สึก ถือโทรศัพท์ไว้แล้วก็ทำการพิมพ์ข้อความ
“ฉันมีเอกสารบางอย่าง ช่วยฉันนำไปให้ที่สถานีตำรวจในวันพรุ่งนี้ที”
โม่หว่านหว่านรีบตอบกลับปัจจุบันทันด่วน โดยข้อความตอบกลับไม่ถึงหนึ่งนาที “ได้สิ! ไม่มีปัญหา”
จากนั้น เธอก็ได้ส่งข้อความให้อีกคนหนึ่ง “ ทนายจิน คดีความเมื่อสิบสามปีก่อน ถึงเวลาต้องรื้อฟื้นคดีแล้วค่ะ!”
“ในที่สุดคุณก็คิดได้แล้ว ได้ครับ พรุ่งนี้ผมจะจัดการให้”