เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - ตอนที่ 271
บทที่ 271 มันแปลกๆไหม
‘เกิดเหตุไฟไหม้กะทันหันในคืนนี้ที่บ้านพักอาศัยแห่งหนึ่งในชุมชนชิ่งหลิง ไฟลุกโชนอย่างรวดเร็ว โชคดีที่ได้รับการช่วยเหลือได้ทันเวลา ไม่พบผู้เสียชีวิต ส่วนสาเหตุเพลิงไหม้ในครั้งนี้ ยังอยู่ในระหว่างการสืบสวน……’
ข่าวภาคค่ำในทีวีรายงานเกี่ยวกับเหตุเพลิงไหม้ที่พักอาศัยในชุมชน โม่หว่านหว่านนั่งขัดสมาธิอยู่บนโซฟา มือถือกล่องไอศกรีม ตักกินทีละคำอย่างเอร็ดอร่อย ทันใดนั้นก็เหลือบไปเห็นเวลาใกล้จะเที่ยงคืนแล้ว จึงรีบวางของในมือลง หยิบรีโมทมาลดระดับเสียงทีวีลง
หล่อนลุกขึ้นวิ่งไปที่หน้าต่าง แล้วมองลงไปข้างล่าง
ความสูงร้อยเมตรกว่า ทำให้เห็นทุกอย่างที่อยู่ด้านล่างเล็กเกินไป มองเห็นได้แค่เพียงเงาลางๆเท่านั้น ยากเกินกว่าที่จะระบุตัวตนได้ว่าใครเป็นใคร
หลังจากที่คิดๆอยู่นั้น หล่อนก็หยิบโทรศัพท์ออกมา กดหมายเลขโทรออก แต่กลับได้ยินเสียงกริ่งที่ดังมาจากด้านหลัง
โม่หว่านหว่านสะดุ้งเล็กน้อย ประตูห้องก็ถูกเปิดออก ซูย้าวก้าวเข้ามาในห้อง และกดวางสายโทรศัพท์ในมือ
“เฮ้ ทำไมถึงกลับมาช้าจัง?” โม่หว่านหว่านเดินเข้าไปหา พร้อมทั้งขมวดคิ้วเข้าหากัน “เจอลี่เฉินซีอีกแล้วเหรอ? คนที่อยู่ชั้นล่างเมื่อกี๊ ใช่เขาไหม?”
ซูย้าวส่ายหัว ด้วยความอ่อนเพลีย หล่อนถอดรองเท้าส้นสูงออก และไม่ได้เปลี่ยนรองเท้าลำลอง หล่อนเดินเท้าเปล่า ตรงไปนั่งบนโซฟา
“แล้วคนนั้นเป็นใครกันล่ะ?” โม่หว่านหว่านจี้ถามไม่หยุด
“เพ้ยส้าวหลี่” ซูย้าวตอบกลับไป
โม่หว่านหว่านตกใจ “เพ้ยส้าวหลี่? เขามาส่งเธอเหรอ?”
“อืม”
“โอ้แม่เจ้า ดูเหมือนเขาจะมีใจให้เธออยู่นะ!” โม่หว่านหว่านนั่งขัดสมาธิ และยังจู้จี้ต่อเหมือนกับมนุษย์ป้า
ซูย้าวเงยหน้าพิงโซฟาอย่างอ่อนเพลีย ยกมือกุมขมับ “เหนื่อยละ พรุ่งนี้ยังต้องไปรับโม่ป่ายกับซีซีที่สนามบินอีก!”
.”งั้นฉันไปด้วย” โม่หว่านหว่านพูด ไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นมา ดวงตาเป็นประกาย ทันใดนั้นก็เอ่ยขึ้น “เธอไม่รู้สึกแปลกใจบ้างเหรอ? เธอกลับประเทศครั้งนี้เซียวเอนก็ไม่ได้ว่าอะไร แถมยังปล่อยโม่ป่ายกับซีซีไปอีก ทำไมใจกว้าง……”
ซูย้าวลืมตาขึ้น ดวงตาสวยๆคู่นี้มองไปมาและพิจารณาอย่างซับซ้อนด้วยความรวดเร็ว แล้วพูดขึ้น “ฟังจากที่เธอพูด ฉันก็แค่พนักงานคนหนึ่งของจู้สือกรุ๊ป ผู้บริหารระดับสูงของเซียวเอน จะจับครอบครัวฉันไปเพื่ออะไร
“เธอเนี่ยนะแค่พนักงาน? โม่หว่านหว่านถามกลับอย่างเยือกเย็น แล้วยักไหล่ยิ้มเผยอ “เธอเป็นต้นเงินต้นทองของจู้สือมากกว่าน่ะสิ ถึงยังไงฉันก็ยังรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับเรื่องนี้ ย้าว เธอเองก็ระวังๆตัวให้ดีล่ะ!”
โม่หว่านหว่านปิดโทรทัศน์ แล้วลุกขึ้นเดินกลับห้องนอน
เมื่อเดินผ่านซูย้าว จึงตบไหล่หล่อนเบาๆ อย่างปลอบประโลม เป็นการย้ำเตือน
ถึงแม้ว่าหล่อนจะไม่พูด ซูย้าวเองก็รู้สึกว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติ
หลายปีมานี้ เพื่อเลี้ยงชีพ และเพื่อให้ลูกสาวของเธอได้มีชีวิตที่ดีที่สุด ซูย้าวต้องติดต่อระหว่างบริษัทขนาดใหญ่นับหมื่นบริษัท เดินอยู่บนเส้นทางของธุรกิจ วนเวียนจากบริษัทหนึ่งไปอีกบริษัทหนึ่ง เธอเป็นผู้ประกอบการการตลาดระหว่างธุรกิจห้างสรรพสินค้า ทั้งยังสามารถควบคุมการผลิตรวมไปถึงกระแสทิศทางการเงิน เธอรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเธอ รอบคอบและระมัดระวังมากอย่างที่สุด
แต่ก็เป็นไม่ได้ที่จะยืนอยู่ริมหาดโดยที่รองเท้าไม่เปียก
สุดท้าย บริษัทคู่แข่งก็มองแผนการตลาดของพวกเขาออกอีกครั้ง แม้ว่าธุรกิจจะประสบผลสำเร็จ แต่เธอเองก็ถูกเปิดเผยอย่างทะลุปรุโปร่ง และในครั้งนี้คู่แข่งก็คือเซียวเอน
ตอนนี้ประธานของจู้สือกรุ๊ปเป็นบุคคลที่โดดเด่นเช่นกัน เขามีพลังที่แฝงไปด้วยความลึกลับ เหมือนมีหมอกหนาที่คอยปกคลุมอยู่ด้านหลังของเขา ทำให้ผู้คนไม่สามารถเข้าถึงหรือมองออกได้
การเข้าไปข้องเกี่ยวกับเซียวเอน เป็นความผิดพลาดของซูย้าว ที่เธอรู้สึกเสียใจมากที่สุด
เพราะการที่เข้าถึงได้ยาก เซียวเอนจึงพึงพอใจในความสามารถของเธอมาก เขาจ้างเธอให้ทำงานในจู้สือกรุ๊ป เพื่อให้เธอทำงานเบื้องหลัง และใช้ความสามารถของเธอทำประโยชน์ให้บริษัทมากขึ้น
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ซูย้าวก็กลายเป็นเหมือนหุ่นเชิดในกำมือจู้สือ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะดึงเชือกอย่างไร เธอก็ได้เพียงแต่ทำตามสิ่งที่ได้รับมอบหมายเท่านั้น ไม่อาจละเลย หรือขัดต่อสิ่งที่ได้รับมอบหมายได้
ความแกร่งของเซียวเอนนั้น เกินกว่าที่เธอจะจินตนาการได้ เธอเองก็ไม่กล้าที่จะเข้าไปยุ่ง และไม่สามารถไปยุแยงได้ด้วย เธอทำได้เพียงแค่ยอมจำนวนไปก่อนเท่านั้น
นั่นเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้เธอไม่ได้พบเจอลูกชายเป็นเวลานานกว่าห้าปี
ในเวลานี้เธอกลับไม่เข้าใจ จู่ๆเซียวเอนกลับยอมให้เธอกลับบ้านได้ ทั้งยังยอมให้ซีซีตามไปด้วยอีก
นี่มันหมายความว่ายังไงกันนะ?
แต่ไม่ว่ามันจะสื่อถึงอะไรก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่มั่นใจได้เลยก็คือ เซียวเอนจะพูดถึงเรื่องงานเท่านั้น ไม่พูดถึงความสัมพันธ์
หรือต่อให้พูดถึงความสัมพันธ์ ยังไงก็ไม่มีทางเป็นซูย้าวแน่
เธอสามารถมองออกได้ว่าในหัวใจของชายผู้นั้น ไม่ใช่ผู้หญิงทั่วไปจะควบคุมได้ และในสายตาของเซียวเอนก็ไม่เคยมองสิ่งไหนนอกเหนือจากผลประโยชน์เลย
เธอสะบัดหน้าเบาๆ เพื่อสลัดความคิดเหล่านี้ออกจากหัว แล้วเดินกลับไปที่ห้องนอน คิดว่าอาบน้ำน่าจะช่วยให้ดีขึ้นมาหน่อย พอหลังจากอาบน้ำเสร็จ ก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา
ปกติในเวลานี้ เพื่อไม่ให้เสียเวลาไปแม้แต่น้อย ซูย้าวจะต้องไปห้องหนังสือ นำโน๊ตบุ๊คออกมาเริ่มทำงานอย่างแน่นอน แต่ในตอนนี้ เธอกลับไม่มีกะจิตกะใจจะทำ
พรุ่งนี้ลูกสาวของเธอจะกลับมาแล้ว เธอต้องพักผ่อนให้เพียงพอจะได้ไม่โทรม เพื่อพรุ่งนี้เธอจะได้ไปรับซีซี
นอนพลิกตัวอยู่บนเตียงไปมา ไม่ว่ายังไงก็นอนไม่หลับ
เธอจึงสวมเสื้อคลุม แล้วไปที่ห้องนั่งเล่น เพื่อดื่มไวน์แดง หลังจากดื่มเสร็จเธอก็ออกจากห้องไป
ชั้นบนสุดของโรงแรมโซฟีเชีย เธอได้เหมาเอาไว้หมดแล้ว นอกจากเธอและโม่หว่านหว่าน ก็ไม่มีใครอื่น เธอจึงเดินออกไปที่ดาดฟ้าโดยไม่คิดอะไรมาก
ในคืนที่เดือนมืด สายลมยามค่ำคืนพัดผ่านเล็กน้อย จากบนตึกสูง
อากาศเริ่มหนาวเล็กน้อย ซูย้าวกระชับเสื้อคลุมแน่นขึ้น ยืนอยู่ริมรั้วบนดาดฟ้า มองทิวทัศน์ของเมืองทั้งเมืองยามค่ำคืน แม้แต่อาคารสำนักงานของบริษัทลี่ซื่อที่อยู่ไกลๆ ก็มองเห็นได้
ไม่รู้ว่าในเวลานี้ ชายคนนั้นยังหมกอยู่ในที่ทำงานหรือเปล่านะ…….
อาจเป็นเพราะหัวใจของเธอมัวเอ้อระเหย เหม่อลอยหรืออะไรสักอย่าง ซูย้าวยืนอยู่ตรงนี้และจมอยู่ในความคิดของเธอ ทันใดนั้นเองก็มีเสียงดังขึ้นจากด้านหลังเธอ ทำให้เธอตกใจ
“นี่ก็ดึกแล้ว ยังไม่นอนอีกเหรอ?”
เสียงทุ้มต่ำของผู้ชายที่น่าดึงดูดดังขึ้น แต่ในยามค่ำคืนก็แฝงไปด้วยความน่ากลัวเช่นกัน
ซูย้าวตกใจจนหน้าซีดเผือด หันไปรอบๆ มองหาต้นเสียงด้วยความหวาดกลัว “นั่นใครน่ะ?”
เสียงถามหาใคร นั้นสั่นเครือ แสดงให้เห็นว่าเธอกลัวจริงๆ
น้ำเสียงที่อ่อนโยนกลับดังขึ้นที่ด้านข้างของเธอเบาๆ ดูเหมือนจะหยอกล้อด้วยความขี้เล่น “ใจเสาะขนาดนี้ ค่ำๆมืดๆยังจะกล้าขึ้นมาที่นี่อีก?”
ในตอนนั้นเอง ซูย้าวได้ยินเสียงนั้นอย่างชัดเจน และมองไปที่ร่างสูงใหญ่ใต้แสงจันทร์อันมืดมิด หัวใจที่ตึงเครียดของเธอก็ผ่อนคลายลงทันที
มีเพียงความขุ่นเคืองเล็กน้อยที่ถูกทำให้ประหลาดใจ และตอบกลับไปด้วยความเย็นชา “ลี่เฉินซี คุณขึ้นมาที่นี่ได้ยังไงกัน?”
ต้องรู้ไว้ว่า ชั้นบนสุดของโรงแรมนี่ถูกเธอเหมาเอาไว้แล้ว และชั้นล่างก็มียามตลอด 24 ห้ามไม่ให้แขกหรือบุคคลอื่นเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต
ทางที่จะขึ้นมาบนดาดฟ้าได้นั้น ก็สามารถขึ้นได้จากชั้นล่างเพียงทางเดียวเท่านั้น
เขาคงไม่ได้ปีนขึ้นมาใช่ไหม!
นี่มันสูงหลายร้อยเมตรจากพื้นดินเลยนะ!
ลี่เฉินซีก้าวออกมาจากเงามืด เผยร่างที่สูงโปร่งหล่อเหลาในคืนอันเยือกเย็น ดวงตาอันลึกล้ำของเขาจ้องมองมาที่เธออย่างลึกซึ้ง
“น่าแปลกใจเหรอ?”
ซูย้าวขมวดคิ้วเข้าหากัน “น่าแปลกใจ นั่นไม่ใช่ประเด็นหรอกค่ะ”
“แล้วมันคืออะไรล่ะ?”
เธอถอนหายใจ ดูแล้วพรุ่งนี้คงได้เปลี่ยนยามชั้นล่างคนใหม่แน่ เธอเงยหน้ามองเขา แล้วพูดว่า “นี่ก็ดึกแล้ว ประธานลี่มาที่นี่ มีธุระอะไรหรือเปล่าคะ?”
“แล้วเธอมองฉันตอนนี้ เหมือนมีธุระ หรือไม่มีล่ะ?” เขาก้าวเข้ามาใกล้เธอ ก้มหน้าลงจ้องมองด้วยแววตาเป็นประกายเหมือนกับแสงจากดวงดาว
ซูย้าวก้มหน้าหลบสายตา “ถ้ามีธุระอะไร รอถึงตอนเช้าแล้วค่อยคุยกันและกันนะคะ!”
เมื่อพูดจบ เธอก็พยายามจะหลีกออกไป
ขณะที่เธอเดินผ่านเขา ลี่เฉินซีก็คว้าแขนเธอเอาไว้ แม้ไม่ได้ออกแรงมาก แต่ก็พอที่จะขัดจังหวะฝีเท้าของเธอได้ ไม่รอให้เธอขัดขืนจากความตกใจ เขาก็จับเธอแน่นขึ้นเล็กน้อย มือใหญ่ก็พลันรัดร่างของเธอเอาไว้ในอ้อมแขน ดวงตาทอประกายจ้องมองมาที่เธอ “ทำไมต้องทำงานให้ จู้สือด้วย?”