เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - ตอนที่ 274
บทที่ 274 คุณนี่เกินจะเยียวยาแล้วจริงๆ
ห้องผู้ป่วยที่เงียบและว่างเปล่า ลี่เฉินซียืนอยู่ตรงนั้น สองมือกอดอกอย่างเป็นธรรมชาติ สายตาก้มต่ำมองดูเด็กน้อยบนเตียง
ตัวร้อน มีไข้สูง รอยฟกช้ำดำเขียวเต็มตัว รอยเก่ารอยใหม่นับไม่ถ้วน
ยังคงตัวร้อนอยู่ 39.5 องศาเซลเซียส
มีแผลในกระเพาะอาหาร มีอาการทางจิต
แขนผอมบางและมือที่มีร่องรอยของอาการบวมจากน้ำเหลือง อาจเกิดจากแผลเมื่อนานมาแล้ว
นึกภาพไม่ออกเลยว่า โรคเหล่านี้ที่แม้แต่ในตัวผู้ใหญ่เองยังยากที่จะเจอ แต่กลับเกิดขึ้นกับเด็กคนที่อยู่ข้างหน้าคนนี้
เขาเพิ่งจะอายุเท่าไหร่กันเชียว
เทียบกับลี่เจิ้งแล้ว อายุน่าจะน้อยกว่าหลายปีเลย!
หน้าตาน่ารัก ผิวพรรณขาวผ่อง ขนตายาวเส้นเล็กละเอียดและหนา ผมสั้นดำสนิท ยาวสั้นไม่เท่ากัน ดูก็รู้ว่าตัดเอง
เกิดอะไรขึ้นกับตัวเด็กคนนี้กันแน่ เขาเป็นใคร พ่อแม่อยู่ที่ไหน……
ในความทรงจำ คล้ายว่าในวันที่ภัตตาคารหลิงเตี่ยนเปิดร้าน เขาและเจิ้งเอ๋อพบกันโดยบังเอิญ ในตอนนั้นเขายังกินขนมเค้กที่ขโมยมาอย่างมูมมาม แถมยังเรียกพี่เจิ้งเอ๋อด้วยความเกรงใจ
แต่ไหนแต่ไร ลี่เจิ้งปฏิบัติกับคนอื่นอย่างเย็นชา คาดไม่ถึงว่าจะยอมรับเด็กคนนี้ แถมยังกินขนมเค้กที่เขายื่นไปให้อีก
ในความมึนงง คล้ายๆว่าเด็กนี้จะชื่อว่าเตียวเตียว
ตอนนั้นเขาเป็นคนพูดเอง
ถือว่าเป็นการพบกันโดยบังเอิญ ถึงอย่างไรนั้นก็คือหนึ่งชีวิต การพบกันเป็นพรหมลิขิต ลี่เฉินซีหันหลังกลับออกไป สั่งให้พยาบาลดูแลเขาให้ดี คิดแล้วคิดอีก สุดท้ายก็เดินไปที่ห้องทำงานหมอ
ตอนนี้หมอพอจะเข้าใจสถานการณ์แล้ว จึงเก็บอารมณ์จากการตำหนิเมื่อครั้งก่อน แล้วพูดขึ้นอย่างกระตือรือร้น “คุณลี่เป็นคนดีมากจริงๆ เด็กคนนี้อาการไม่ค่อยดี คงจะถูกทรมานมาเป็นเวลานาน บาดแผลบนร่างกายหนักมาก แต่ก็อยู่ในขอบข่ายที่รักษาได้ ส่วนในด้านจิตใจ….”
ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ นานแค่ไหนถึงจะรักษาให้ดีขึ้นได้
ครู่หนึ่ง หมอก็พูดขึ้นมาอีกว่า “ผมได้ติดต่อกับแผนกที่เกี่ยวข้องแล้ว รอให้ฝ่ายที่รับผิดชอบเข้ามา ผมจะย้ำให้เขาเชิญจิตแพทย์คอยแนะนำให้เด็กคนนี้ก็แล้วกันนะ! เฮ้อ….”
เด็กตัวเล็กขนาดนี้ ถูกกระทำเหมือนไม่ใช่คน เป็นเหตุการณ์ที่พบได้น้อยมาก แต่เรื่องสำคัญตอนนี้คือ นอกจากจะต้องรักษาร่างกายเด็กแล้ว ยังต้องยืนยันตัวตนเขาเพื่อให้ตำรวจสามารถเริ่มต้นการสืบสวน
“สถานการณ์แบบนี้ หลังจากหาพ่อแม่เจอแล้ว คงจะได้รับโทษตามกฎหมายสินะ?” ลี่เฉินซีถามขึ้น
หมอพยักหน้าตาม “แน่นอนอยู่แล้ว! ไม่เพียงแค่มีโทษปรับ แต่ต้องถูกตัดสินจำคุกด้วย ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่แท้ๆ หรือพ่อแม่บุญธรรม หรือไม่ว่าจะเป็นญาติก็ตาม ต้องได้รับโทษตามกฎหมาย”
เขาพยักหน้าอย่างโล่งใจ สายตามองทอดไกลอย่างมีความหวัง แล้วพูดอีกว่า “รักษาเด็กคนนี้ให้ดีนะ ค่าใช้จ่ายทั้งหมดผมรับผิดชอบเอง”
“คุณลี่เป็นคนดีจริงๆ! คุณวางใจเถอะ! เขายังเด็ก และยังเป็นผู้ป่วย ผมจะทำอย่างสุดความสามารถ”
หลังจากกำชับอีกรอบ เขาก็เดินออกจากห้องทำงานไป
พอนึกถึงเด็กยังให้น้ำเกลืออยู่ ตื่นขึ้นมาต้องหิวแน่ๆ จึงเดินลงจากตึกไปร้านสะดวกซื้อ
ในความทรงจำห้วงสั้นๆ เหมือนว่าเด็กคนนี้ชอบทานหวาน เมื่อออกมาจากร้านสะดวกซื้อ ก็แวะไปร้านเบเกอร์รี่ซื้อพวกขนมเค้กอีก
เมื่อกลับมาถึงโรงพยาบาล ก็ได้พบกับหานฉ่ายหลิงเข้าที่หน้าห้องฉุกเฉิน
ในตอนที่เธอมองเห็นเขา ก็ประหลาดใจมาก รีบก้าวเท้าเข้ามาหาอย่างไว แล้วถามว่า “เกิดเรื่องกับเจิ้งเอ๋ออีกแล้วใช่มั้ย? เป็นยังไงบ้างแล้ว?”
ใบหน้าตื่นตระหนกของหานฉ่ายหลิง กับท่าทางเป็นห่วงเป็นใยแบบนั้น ดูไม่เหมือนแสแสร้งแกล้งทำ
ลี่เฉินซีส่ายหน้าเล็กน้อย “ไม่ใช่เจิ้งเอ๋อหรอก แต่เป็นคนอื่น”
ในใจของเธอสั่นไหว พอรู้ตัวอีกทีก็ถามขึ้นอีก “แล้วเป็นใครกัน?”
“เด็กผู้ชายคนหนึ่ง”
ลี่เฉินซีพูดแล้วถือของเข้าไปในห้องผู้ป่วยที่อยู่ข้างๆ
“เด็กผู้ชายคนหนึ่ง?” หานฉ่ายหลิงนึกสงสัย จึงเดินตามเข้าไป พอได้เห็นเด็กผู้ชายร่างกายผอมบางนอนอยู่บนเตียง ใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยนั้นทำให้เธอคลายความกังวลใจลงได้
เขาวางของทีละชิ้นไว้บนโต๊ะ แล้วยืนอยู่ข้างเตียงผู้ป่วย ก้มตัวแล้วยื่นมือทาบที่หน้าผากเพื่อวัดอุณหภูมิ ก็ยังมีไข้ ยังต้องให้น้ำเกลืออยู่ พยาบาลจะเข้ามาเปลี่ยนยาและดูอาการเป็นระยะๆ
หานฉ่ายหลิงมองเขาด้วยใบหน้างุนงง มองเด็กที่นอนอยู่บนเตียง แล้วถามขึ้นมาว่า “เด็กคนนี้…..เป็นใครกัน?”
“ไม่รู้สิ บังเอิญไปเจอเข้า” เขาตอบแบบง่ายๆ ท่าทีเย็นชา เหมือนไม่ค่อยแยแสเท่าไหร่นัก
มีเพียงแต่หานฉ่ายหลิงที่มองเห็นความจริง ท่าทีที่ดูแลอย่างตั้งใจแบบนั้น ราวกับกำลังเผชิญหน้าอยู่กับลี่เจิ้งอีกคนหนึ่ง ดูแลเอาใจใส่ขนาดนี้ แม้แต่กับชาร์ลีเอง ก็ยังไม่เคยเห็นเป็นแบบนี้
มองดูเด็กยังคงหลับอยู่ การหายใจยังนับว่าสม่ำเสมอ ดูเหมือนว่ายังไม่มีอะไรเกิดขึ้นในตอนนี้ จึงหันหลังไป เจอหานฉ่ายหลิง จึงได้ถามไปว่า “ทำไมเธอถึงมาโรงพยาบาลล่ะ”
“ชาร์ลีไข้ขึ้น อาการหนักพอดู”เธอตอบ
ลี่เฉินซีเลิกคิ้ว “แล้วให้น้ำเกลือหรือยัง? ฉันจะไปดูหน่อย”
หานฉ่ายหลิงพยักหน้า ทั้งสองคนจึงออกจากห้องผู้ป่วยไป
ทว่าเด็กชายที่อยู่บนเตียงผู้ป่วย กลับลืมตาขึ้นมาในตอนนั้น
ในห้องผู้ป่วย มีเด็กชายคนหนึ่งนั่งอยู่บนเตียงขนาดใหญ่ หลังมือเล็กๆมีเข็มเจาะอยู่ ใบหน้าเจ็บปวด ท่าทางดูป่วยหนัก
เมื่อลี่เฉินซีเดินออกไป เด็กชายค่อยๆเงยหน้าขึ้น ชำเลืองตามองเขาครู่หนึ่ง สายตาที่เหลือจ้องมองหานฉ่ายหลิงที่เดินตามหลังไป
“ฮืม ทำไมถึงป่วยได้ล่ะ?” ลี่เฉินซีเดินเข้าไปใกล้ ยกมือลูบหัวอย่างเบามือ ฝ่ามือวางบนหน้าผาก “มีไข้ไหม?”
ชาร์ลีนั่งนิ่งๆอยู่ตรงนั้น ท่าทางไม่มีความสุข ดูเหมือนจะอึดอัดอย่างมากทีเดียว
“มีไข้ แถมยังไอด้วย!” หานฉ่ายหลิงรีบตอบ
เขาพยักหน้า “ให้น้ำเกลืออีกสักพักไข้ก็ลดลงแล้วล่ะ!”
หานฉ่ายหลิงแสดงท่าทีปลอบใจ มือเอื้อมไปจับไหล่ของเขาอย่างอ่อนโยน “ฉันอยู่ที่นี่ดูแลชาร์ลีก็พอแล้ว ที่บริษัทยังมีงานรออยู่สินะ? คุณรีบกลับไปเถอะ!”
ลี่เฉินซีมองดูชาร์ลีน้อยที่นั่งอยู่บนเตียง ใบหน้าเต็มไปด้วยความอมทุกข์ ทำให้ความมีชีวิตชีวาของเขาในวันเก่าหายไป ห้องผู้ป่วยอีกด้านหนึ่งยังมีเด็กชายที่ไม่สนิทที่ป่วยหนักอยู่
แค่ช่วงเวลาหนึ่ง ทำไมถึงมีเด็กป่วยได้มากขนาดนี้
เขาขมวดคิ้ว ผละตัวออกจากมือของเธอ พูดเพียงว่า “ไม่ยุ่งเท่าไหร่หรอก ยังพอได้ ฉันขึ้นไปดูเจิ้งเอ๋อก่อนนะ”
“อืม ถ้างั้นฉันไปส่งคุณนะคะ!” เธอรีบพูด
ลี่เฉินซีมองดูเธอแล้วพูดว่า “คุณอยู่ดูแลชาร์ลีก่อน”
“……ก็ได้ค่ะ”
เขาเดินไปถึงหน้าประตู ก็นึกอะไรขึ้นได้ จึงหันกลับมาพูดว่า “เดี๋ยวก็จะเที่ยงแล้ว ไปกินข้าวด้วยกันไหม!”
หานฉ่ายหลิงถึงกับตะลึง ใบหน้ามีความสุข พยักหน้าตอบ “ได้สิ! งั้นฉันจองร้านอาหารนะ!”
ลี่เฉินซีกวาดสายตามองเด็กชายบนเตียง แล้วพูดว่า “ไปร้านอาหารที่ชาร์ลีชอบกันเถอะ!”
“อื้มๆ!” เธอยิ้มอย่างไม่อาจปกปิดความสุขนี้ได้
เมื่อยืนส่งเขาแล้ว เธอก็หันกลับมา แต่กลับเห็นสายตาดูแคลนของลูกชายที่นั่งอยู่บนเตียง มองหานฉ่ายหลิง พร้อมพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงดูถูก
“นี่ สายตาแบบนั้นคืออะไรกัน?” หานฉ่ายหลิงเดินไปตำหนิอย่างไม่พอใจ
ชาร์ลีทำตัวอย่างกับผู้ใหญ่ พูดว่า “เป็นอย่างที่คุณปู่พูดไว้ไม่มีผิด คุณนี่เกินจะเยียวยาแล้วจริงๆ!”
“……”
บ้าบอกันไปใหญ่แล้ว!
หานฉ่ายหลิงขมวดคิ้ว นี่วันๆพ่อฉันเอาแต่พูดอะไรกับเด็กคนนี้บ้างเนี่ย? ทำไมฉันถึงเกินเยียวยาแล้วล่ะ
ไม่กี่ปีมานี้ ไม่ว่าคนนอกจะพูดถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองเกินจริงอย่างไร ทั้งยังรักกันแน่นแฟ้น สามีภรรยารักใคร่ให้เกียรติซึ่งกันและกัน บ้างก็ว่าเป็นดั่งคู่สร้างคู่สม เคารพรักซึ่งกันและกัน แต่ในความเป็นจริง เธอเข้าใจดีที่สุด ความเฉยเมยระหว่างคนสองคนเหมือนเป็นเพื่อนกันธรรมดา
เขาเหมือนดั่งภูเขาที่เย็นเยือก ศักดิ์สิทธิ์อย่าได้รุกล้ำ นิสัยถ่อมตัวไม่แสดงออก ยิ่งทำให้เธอคาดเดาไม่ออก เหมือนมองไม่เห็นก้นบ่อว่าลึกแค่ไหน จับไม่ได้และสอดแนมไม่ได้ หน้าตาเรียบเฉยไม่แสดงอาการใดๆ ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเขาคิดอะไรอยู่ แต่มีอยู่เรื่องหนึ่ง นั่นคือเขารักลูกดั่งชีวิต
นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมหานฉ่ายหลิงถึงอยากกำจัดลี่เจิ้ง
หากไม่กำจัดลี่เจิ้งออกไป เธอกับเขาก็จะเป็นดั่งเส้นคู่ขนานที่ได้อยู่ใกล้กันแต่ไม่มีวันได้มาบรรจบกัน
เด็กคนนั้นคืออุปสรรค รวมถึงตอนนี้ด้วย
ถึงแม้จะกลายเป็นเจ้าชายนิทรา ก็ยังเป็นปัญหาอยู่ดี
ต้องรีบจัดการให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
ในทันทีที่ทำได้