เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - ตอนที่ 286
บทที่286 ผมต้องให้คุณแนะนำเหรอ
เมื่อจะถึงกรุ๊ปk ซูย้าวได้ถามพนักงานสาวหน้าเคาน์เตอร์ ได้ความว่าลี่เฉินซีเพิ่งออกไปเมื่อสักครู่ กำลังตรงไปที่ลานจอดรถชั้นใต้ดิน
เมื่อลิฟต์มาถึงชั้นแรกของชั้นใต้ดิน ก็เป็นดังนั้น เห็นรถไยบัคสีดำกำลังสตาร์ทเครื่องเคลื่อนตัวไปยังประตูทางออก
ซูย้าวเร่งฝีก้าวไปขัดขวางหน้ารถของเขา
รถไม่มีทีท่าว่าจะหยุดจอดแต่อย่างใด ยังคงเร่งความเร็วคงที่ ซูย้าวจึงขมวดคิ้วแล้วเดินตรงมากลางถนน จากนั้นกางสองแขนออก โดยไม่ยอมหลบถอย เสียงรถเบรกจึงดังขึ้น ได้ทำลายบรรยากาศที่เงียบสงัดในลานจอดรถ
กระจกรถสีดำได้เลื่อนลง สายตาเย็นชาของลี่เฉินซีชำเลืองมองเธอครู่หนึ่ง “ยังมีธุระอีกเหรอ”
ซูย้าวมองมาทางเขา “ทำไมต้องแย่งธุรกิจของฉัน”
“ธุรกิจ…..ของเธอเหรอ” คำไม่กี่คำได้ออกมาจากปากของลี่เฉินซี แววตาเย็นตาแฝงด้วยความเย้ยหยัน และความเกลียดชังที่เห็นได้อย่างชัดเจน
“ฉันไม่รู้ว่าคุณใช้วิธีไหนถึงรู้เรื่องที่จู้สือกรุ๊ปมีความประสงค์จะร่วมมือกับกรุ๊ปk เรื่องโครงการพัฒนาเครื่องประดีบมี่ไต้ และคุณก็มาแย่งไป” เธออธิบาย
ลี่เฉินซียิ้มเยาะเย้ย ยกริมฝีปากบางที่เย็นเยียบขึ้นอย่างแดกดัน แล้วหันข้างมาจ้องแววตาของเธออย่างไม่กะพริบ
มองเย้ยหยันยิ่งกว่าคนแปลกหน้า
รูม่านตาที่มีเสน่ห์ของเขาหดลง ในขณะที่หรี่ตาลง ริมฝีปากบางขยับขึ้น “คุณถือสิทธิ์อะไรมากล่าวหาผมว่าแย่งธุรกิจของคุณ แข่งขันกันอย่างยุติธรรม ต่างฝ่ายต่างมีโอกาสด้วยกันทั้งนั้น คุณไม่มีความสามารถเอง แล้วจะโทษใคร”
“……”
ดูเหมือนว่าจะเป็นเช่นนี้ แต่ซูย้าวรู้ดีแก่ใจ เรื่องนี้เขาจะต้องเล่นแง่อย่างแน่นอน
“แต่ไหนแต่ไรมาบริษัทลี่ซื่อกรุ๊ปไม่เคยทำธุรกิจเกี่ยวกับอัญมณี แม้แต่โครงการใหญ่ๆทางธุรกิจในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ก็ไม่เคยเกี่ยวข้องกับอัญมณี แล้วจู่ๆคุณเคลื่อนไหวแบบนี้ จะไม่ให้สงสัยได้อย่างไรว่าไม่ได้มาแย่งธุรกิจ” ซูย้าวถามกลับ
“เหรอ ดูเหมือนว่าคุณจะเข้าใจบริษัทลี่ซื่อไม่น้อยเลยนะ!” ลี่เฉินซีจ้องมองเธอ แล้วก็เลิกคิ้ว สายตาที่เย็นชา แสดงความเยาะเย้ย ล้อเลียน ด้วยใบหน้าที่ไม่รู้สึกรู้สา “ต่อให้เป็นเช่นนั้นแล้วยังไง โครงการนี้ก็อยู่ในมือของผมแล้ว ซูย้าว ตอนนี้คุณอยากให้ผมมอบให้กับคุณอย่างนั้นเหรอ”
เพียงประโยคเดียว แต่เขากลับพูดอย่างช้าๆ ราวกับว่าถ้าหากเธอทำการขอร้อง ก็จะตอบตกลงก็ไม่ปาน
หน้าของเธอจ้องมองเขาอย่างสงสัย แต่ชายหนุ่มกลับเบนหน้าไป ใบหน้าที่เด็ดเดี่ยว เย็นชาและไร้ความรู้สึก ทันใดนั้น แววตาของเธอหมองหม่นลง
“ไม่ต้อง ฉันก็ไม่ได้มีความคิดเช่นนั้น เพียงแต่อยากจะมาบอกประธานลี่สักคำว่า ธุรกิจอัญมณีนั้นยากจะคาดเดาได้ หวังให้ประธานลี่จงตั้งใจและคิดไตร่ตรองให้ดีก่อนลงมือทำ”
เมื่อให้คำแนะนำง่ายๆเสร็จ ซูย้าวก็หันหลังแล้วเดินจากไป
สังเกตแผ่นหลังที่กำลังจากไปของหญิงสาว ลี่เฉินซีขมวดคิ้วขึ้นด้วยความหงุดหงิด ผลักประตูรถแล้วลงจากรถ
ก้าวฝีเท้ายาว แค่เพียงสองสามก้าวก็เดินตามเธอทัน แล้วก็ขวางเธอไว้ “นี่คุณกำลังเตือนผมอย่างนั้นเหรอ”
เสียงนั้นเต็มไปด้วยความสงสัย ทำให้คนที่ได้ยินถึงกับไม่สบายใจ
ซูย้าวมองไปทางเขา “ไม่ถึงขั้นเตือนหรอกค่ะ เพียงแค่แนะนำด้วยความเป็นห่วงเท่านั้น!”
“แนะนำเหรอ” เขาหัวเราะขึ้น หัวเราะอย่างเย็นชา ใบหน้าก็ยิ่งเคร่งขรึมขึ้น “ซูย้าว ผมจำเป็นต้องให้คุณแนะนำเหรอ”
ซูย้าวรู้ดีว่าผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า เห็นได้ชัดว่าเขากำลังโกรธตัวเอง
เพราะว่าหลักฐานทั้งหมดได้ชี้มาที่ตัวเธอ และห้าปีที่เธอจากไป ก็ยิ่งทำให้ลี่เฉินซีสงสัย คิดว่าเธอนั้นไม่มีความรักจากแม่ให้กับลี่เจิ้งอีก มีเพียงแต่จิตใจที่ต้องการหลอกใช้เท่านั้น ดังนั้นเขาจึงทำทุกวิถีทางเพื่อเป็นปฏิปักษ์กับเธอ
มองดูความโกรธที่พลุ่งพล่านในดวงตาของชายหนุ่ม เธอสูบหายใจเข้าลึกๆ แล้วพยักหน้าอย่างสาแก่ใจขึ้น ได้ เขาต้องการจะโกรธกับตัวเองใช่ไหม อย่างนั้นเขาก็จะให้ความร่วมมือไปให้ถึงที่สุด!
“ไม่ต้องการคำแนะนำก็ช่างเถอะ เชื่อว่าภายใต้การนำที่ชาญฉลาดของประธานลี่ ธุรกิจแต่ละอย่างของบริษัทลี่ซื่อย่อมเจริญรุ่งเรือง ราวกับเสือติดปีก!”
เมื่อเขาได้ยินคำพูดนี้ อดไม่ได้ที่จะยกจึงริมฝีปากขึ้น รอยยิ้มในดวงตาของเขายิ่งเข้มข้น ราวกับว่ากำลังยิ้มเยาะเย้ย เขาจ้องมองเธอด้วยดวงตาดำขลับและเย็นชา “ธุรกิจจะดีหรือร้าย ก็ไม่ได้เกี่ยวกับคุณ รู้ไว้”
“อืม ขอบคุณท่านประธานลี่ที่เตือน ต่อไปฉันก็จะไม่ไปยุ่งยุ่มย่ามอีก” เธอพูดเพื่อระบายอารมณ์ หรี่ดวงตาที่งดงามลง แล้วก็เดินผ่านเขาไป
ลี่เฉินซีก็หันหลังแล้วขึ้นรถไป แม้แต่หน้าก็ไม่หันไปมองเธอ แล้วขับรถจากไปอย่างเงียบๆ
ในตอนกลางคืน หานฉ่ายหลิงมาถึงร้านอาหารด้วยจิตใจที่สับสนซับซ้อน เงยหน้าขึ้นก็เห็นลี่เฉินซีที่รออยู่ในนั้นแล้ว เขายังคงมีสีหน้าที่ปกติ ไม่แตกต่างจากยามปกติทั่วไป
เธอก็ได้ยินจากกัวหลินพูดเมื่อตอนกลางวัน คิดไม่ถึงว่าซูย้าวจะมาที่ปารีสด้วย เหมือนว่ามีความสนใจเครื่องประดีบมี่ไต้ ต้องการอยากร่วมมือกับกรุ๊ปk เมื่อได้รับข่าวนี้มา ลี่เฉินซีจึงรีบไปเจรจากับไซม่อน แล้วก็ได้โครงการเครื่องประดีบมี่ไต้นี้มาครอง
สองปีก่อน เธอเคยเสนอการขยายตลาดอัญมณี แต่ลี่เฉินซีกลับไม่เห็นด้วย คิดไม่ถึงว่าตอนนี้ซูย้าวเพียงคนเดียวจะเปลี่ยนความคิดของเขา
หานฉ่ายหลิงเดินเข้าไป มองเขาแล้วยิ้มให้ “รอนานแล้วใช่ไหม”
“ไม่เท่าไหร่ นั่งลงสิ! แล้วดูซิว่าอยากทานอะไร” ลี่เฉินซียิ้มอย่างละมุนด้วยท่าทางที่สง่างาม สุขุมเยือกเย็น
เหมือนยามปกติที่อ่อนโยน นุ่มนวล ใส่ใจ แต่เหมือนขุนเขาที่เย็นยะเยือก ไม่ให้ใครเข้าใกล้ ดูคล้ายกับไม่มีความรู้สึกใดๆต่อการมากะทันหันของซูย้าว ทำให้หานฉ่ายหลิงถึงกับถอนหายใจโล่งอก หยิบรายการอาหารขึ้นมา แต่หางตายังคงแอบมองสังเกตเขาอย่างเงียบๆ “คุณอยากทานอะไรหรือเปล่า”
“ผมทานอะไรก็ได้ สำคัญคือคุณสั่งอาหารที่คุณชอบได้เลย!” เขากล่าว
หานฉ่ายหลิงพูดขึ้น “แต่ว่าฉันก็ไม่มีอาหารที่ชอบด้วยสิ คุณแนะนำหน่อยนะ!”
ลี่เฉินซียิ้มเล็กน้อย แล้วหยิบรายการอาหารมาดู แล้วสั่งไปสองสามอย่าง และเป็นอาหารที่เธอชอบทานเป็นประจำ ทุกการกระทำล้วนอยู่ในสายตาของเธอ ในใจจึงรู้สึกชื้นขึ้นมา แล้วพูดขึ้น “ฉันได้ยินกัวหลินบอกหมดแล้ว คุณบอกว่าบริษัทลี่ซื่อจะไม่ขยายตลาดอัญมณีไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงร่วมมือพัฒนาโครงการมี่ไต้กับกรุ๊ปkล่ะ”
“โครงการมี่ไต้ ผมดูอย่างละเอียดแล้ว ไม่เลวเลยทีเดียว อีกทั้งยังมีโอกาสในการพัฒนาที่ยอดเยี่ยม กรุ๊ปKยังครองตำแหน่งในตลาดในยุโรปด้วย ได้ความช่วยเหลือจากฝั่งนี้ สำหรับพวกเราแล้ว ก็มีแต่ได้กับได้ไม่มีเสีย ลองขยายตลาดดู ก็ไม่มีอะไรเสียหาย”
เขาอธิบายเบาๆ ดูไม่ออกสักนิดเดียวว่าเป็นเพราะโมโหจากซูย้าว
เมื่อเป็นเช่นนี้ หานฉ่ายหลิงยังจะพูดอะไรได้อีก
ถึงแม้ในใจจะสงสัย แต่ก็พูดได้เพียงว่า “เหรอ! คุณเห็นว่าดีก็โอเค ขอให้บริษัทลี่ซื่อไม่ขาดทุนก็พอ”
“วางใจได้ สายตาของผมถือว่าเฉียบคมอยู่ โครงการนี้ บริษัทลี่ซื่อไม่น่าจะมีปัญหา” เขากล่าว
ระหว่างที่ทานอาหาร ด้วยทั้งคู่ต่างมีเรื่องกลุ้มในใจ ดังนั้นจึงทานได้ไม่ลงคอสักเท่าไหร่ จนเมื่อทานอาหารกันเสร็จแล้ว ทั้งคู่ก็กลับโรงแรมกัน กำลังที่จะรอขึ้นตึกไปนั้น ประตูลิฟต์ได้เปิดออก ก็เจอกับคริสตินที่กำลังลงจากตึก
เธอยิ้มเบาๆ แล้วรีบทักทายขึ้น “ประธานลี่ คุณหาน บังเอิญจังเลย! พวกคุณก็พักที่นี่เหมือนกันเหรอคะ”
เมื่อได้ยินคำว่า‘ก็’นั้น ลี่เฉินซีขมวดคิ้วขึ้น แต่แววตายังคงปกติ ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ
หานฉ่ายหลิงพูดขึ้น “ใช่ค่ะ คริสตินมาที่นี่คือ…..”
“มาหาเพื่อนค่ะ เธอเพิ่งมาที่นี่ กลัวว่าเธอจะไม่คุ้นกับสถานที่” ขณะที่คริสตินกำลังพูดนั้นได้เงยหน้าขึ้นมองลี่เฉินซี แล้วกล่าวต่อ “ยินดีด้วยที่ประธานลี่เจรจาสำเร็จกับการร่วมมือกับบริษัทของพวกเรานะคะ!”
ลี่เฉินซีโค้งริมฝีปากของเขาแล้วยิ้มเบา ๆ
เมื่อขึ้นตึกไป ประตูห้องชุดได้ถูกเปิดออก หานฉ่ายหลิงกำลังจะเปลี่ยนรองเท้า แต่กลับเห็นชายหนุ่มยืนอยู่ข้างประตู ดวงตาเหม่อลอยราวกับซ่อนอะไรไว้
“เฉินซี คุณเป็นอะไรไป” เธอถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง
เมื่อเขาได้สติคืนมา ก็มองมาทางเธอ แล้วพูดขึ้น “คุณพักผ่อนก่อนนะ ผมมีธุระต้องออกไปก่อน”
“แต่ว่าตอนนี้ดึกมากแล้วนะ คุณจะไปไหนเหรอ”
ขณะที่เธอถามขึ้นนั้น ชายหนุ่มได้หันหลัง และสาวก้าวเท้ายาวมุ่งเดินไปที่ลิฟต์แล้ว
หานฉ่ายหลิงขมวดคิ้วอย่างจนปัญญา จิตใจรู้สึกว้าวุ่นกระวนกระวาย ถ้าเกิดไปหาซูย้าวสาวเลวนั่นคงต้องแย่แน่ๆ!
เมื่อเข้าไปถึงห้อง จึงตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วโทรหากัวหลิน
“คุณออกไปดูหน่อย ว่าเขาไปไหน ไปพบใคร”
“ครับ ประธานหาน ผมจะออกไปเดี๋ยวนี้”
เมื่อวางสายโทรศัพท์ลง หานฉ่ายหลิงที่กระวนกระวายก็เริ่มกระสับกระส่ายขึ้น แม้ว่าจะวางแผนให้เขาเข้าใจผู้หญิงคนนั้นผิดได้สำเร็จ แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นอดีตสามีภรรยา แถมยังมีลูกด้วยกันอีก ยิ่งไปกว่านั้นข้อเท็จจริงทั้งหมดไม่ใช่เป็นฝีมือซูย้าวด้วย เมื่อคลี่คลายความเข้าใจผิด ไม่ช้าก็เร็วย่อมต้องเป็นปัญหา
สิ่งที่เร่งด่วนที่สุดก็คือ ต้องยัดเยียดความผิด หาวิธีให้ซูย้าวยอมรับสารภาพผิดให้โดยเร็วที่สุด หรือบางที…..บังคับให้เธอยอมรับสารภาพผิด
มีเพียงเช่นนี้ ที่จะทำให้ความเข้าผิดระหว่างเขากับเธอไม่มีวันคลี่คลาย ทั้งคู่ถึงจะกลายเป็นคนแปลกหน้าได้อย่างสิ้นเชิง