เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - ตอนที่ 312
บทที่ 312 ขอบคุณที่ช่วยฉันไว้
หลังจากตื่นนอน ซูย้าวเองก็ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ โดยรับประทานอาหารมื้อเล็ก ๆ และอยู่แต่บนเตียง
เดิมทีก็ได้สัญญากับโม่หว่านหว่านไปแล้วว่าจะกลับประเทศภายในสามวัน ไม่คาดคิดเลยว่าจะเกิดอุบัติเหตุที่ทำให้เวลาล่าช้าไปอีก เธอจึงได้แต่ติดต่อโม่หว่านหว่านเพื่อขอโทษ
แต่ฉันไม่ได้คาดหวังว่าโม่หว่านหว่านจะตอบตกลงอย่างรวดเร็วขนาดนี้ อีกทั้งยังพูดอีกว่า “เดาไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเธอไม่น่าจะกลับเร็วขนาดนี้ ช่างมันเถอะ รอเธอกลับมาแล้วค่อยพูดก็แล้วกัน!อยู่ที่นั้นก็ดูแลตัวเองดีๆก็พอแล้ว”
ด้วยความโล่งใจ ซูย้าววางสายโทรศัพท์ จากนั้นก็กลับเข้าไปใต้ผ้าคลุม หลับตาลงและหลังจากนั้นไม่นาน เธอก็ผล็อยหลับไป
อาจเป็นเพราะความอ่อนแอในร่างกาย บางวันเธอก็เซื่องซึมมาก บางวันก็รู้สึกเหนื่อยเกินไป เป็นเรื่องยากที่จะมีเวลาพักผ่อนให้เพียงพอ การนอนหลับให้มากขึ้นก็ไม่มีอะไรเสียหาย
เพียงแต่เธอแค่ไม่รู้ว่า ในช่วงเวลาที่ซูย้าวหลับอยู่ต่างแดนนั้น โม่หว่านหว่านและหลินโม่ป่ายนั้นก็กำลังก้าวเข้าสู่โรงเรียนอนุบาลด้วยเช่นกัน
นี่คือโรงเรียนอนุบาลที่ดีที่สุดในเมืองนี้ ไม่ว่าจะเป็นคณะอาจารย์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกในการก่อสร้างของโรงเรียนต่างสมบูรณ์แบบไปหมด ให้เด็ก ๆ นั้นได้เพลิดเพลินไปกับวัยเด็กที่ยอดเยี่ยมแห่งนี้ พร้อมกับเรียนรู้ความรู้และวัฒนธรรมไปในตัว
แดดจัดแผดจ้าและแสงแดดส่องลงมา เด็ก ๆ ต่างพากันเล่นในสนามเด็กเล่นอย่าสนุกสนาน การมาถึงของผู้ใหญ่สองคนอย่างกะทันหันนั้นได้ดึงดูดความสนใจของครูใหญ่ จึงรีบเดินไปพร้อมกับครูอีกสองคน
“คุณสองคนเป็นผู้ปกครองใช่ไหมคะ?” ครูใหญ่ถาม
โม่หว่านหว่านนั้นตกตะลึง ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็เป็นประกาย พร้อมกับพูดว่า “ใช่ค่ะ เรามีเด็กคนหนึ่ง อายุห้าปี แต่ก่อนเราเคยอยู่ที่ต่างประเทศ แล้วพอย้ายกลับมาก็เลยคิดจะโรงเรียนอนุบาลที่ดีๆเหมาะสมให้ลูกน่ะ”
“อย่างงี้นี่เอง งั้นเชิญตามดิฉันมาที่ห้องสำนักงานได้เลยค่ะ ดิฉันจะแนะนำพวกคุณอย่างละเอียดอีกที” คุณครูใหญ่นั้นใจดี เชิญทั้งสองคนก็ขึ้นไปชั้นบนอย่างสุภาพ
ความสนใจของโม่หว่านหว่านนั้นอยู่ที่เด็กๆที่สนามเด็กเล่น เธอพูดว่า “แทนที่จะแนะนำ พาเราไปที่นี่และทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมไม่ดีกว่าเหรอคะ คุณครูคิดว่ายังไงดีครับ?”
ครูใหญ่พยักหน้าอย่างเห็นด้วย พร้อมพาทั้งสองเดินเข้าไปข้างในพร้อมกับแนะนำพวกเขา หลินโม่ป่ายนั้นฟังอย่างตั้งใจ เขาวางแผนที่จะพาซีซีเข้ามาเรียนที่นี่
ซึ่งตรงกันข้ามกับโม่หว่านหว่าน ตั้งแต่ต้นจนจบ สายตาไม่เคยย้ายจากที่สนามเด็กเล็กออกมาเลยแม้แต่น้อย เธอสังเกตเห็นเด็กชายตัวเล็กๆคนหนึ่งนั่งอยู่บนชิงช้า ก้มหน้าลงเล่นกับอะไรบางอย่าง
เด็กคนนั้นดูเหมือนจะโดดเดี่ยวเป็นพิเศษ ไม่เข้าสภาพแวดล้อมรอบข้างแต่อย่างใด
แต่ประเด็นสำคัญเลยก็คือ แม้จะเป็นที่ที่ไกลกัน แต่สายตาของโม่หว่านหว่านก็สามารถยืนยันได้ว่า มันเหมือนกับเด็กที่เธอสอบสวนอยู่นั่นเอง
เธอส่งสายตาไปให้หลินโม่ป่าย ทั้งสองเข้าใจกัน หลินโม่ป่ายชวนครูใหญ่เข้าไปดูรอบๆ ซึ่งได้พาครูอีกสองคนไปด้วย นั่นทำให้เหลือโม่หว่านหว่านอยู่ที่สนามเด็กเล่นเพียงคนเดียว จากนั้นก็เดินไปรอบๆ
มีชายหาดที่ถูกสร้างขึ้นมาอยู่ที่ด้านข้างของสนามเด็กเล่นซึ่งดูสะอาดมาก มีเด็กผู้หญิงเล่นพ่อหม่ามี๊ลูกอยู่ ส่วนเด็กผู้ชายที่อยู่ตรงนั้นก็เล่นฟุตบอลอย่างมีชีวิตชีวา
มีเพียงเด็กชายตัวเล็ก ๆ ที่นั่งอยู่บนชิงช้าเท่านั้นที่ก้มศีรษะลงอย่างเงียบ ๆเล่นกับสิ่งเล็กๆน้อยๆแถวนั้น ดูเหมือนว่าเสียงรบกวนที่อยู่รอบตัวเขานั้นจะไม่มีผลอะไรกับเขาเลย เขาได้พาตัวเองรวมเข้าไปอยู่ในโลกของเขาอย่างสมบูรณ์แล้ว
เธอเดินเข้าไปดูร่างน้อยๆร่างนั้น ชั่วขณะหนึ่งหัวใจของเธอก็อ่อนโยนลงพร้อมกับกระซิบว่า “ชาร์ลี?”
เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความประหลาดใจ
“หนูชื่อชาร์ลี ใช่ไหมจ๊ะ?” โม่หว่านหว่านถามอีกครั้ง
เด็กชายตะลึงและวางสิ่งที่เขาถืออยู่ลง “คุณรู้จักผมได้ยังไงครับ?”
“ก็คุณครูบอกกับฉันนี่แหละ!ชาร์ลี ทำไมหนูถึงไม่ไปเล่นกับเพื่อนๆล่ะจ๊ะ?”โม่หว่านหว่านถาม
ชาร์ลีที่ถือรูบิกขนาดเล็กไว้ในมือก็ถอนหายใจออกมาอย่างหมดหนทาง “ไม่ทำไมครับ ไม่มีเหตุผล”
“อ๋อ แบบนี้นี่เอง!”โม่หว่านหว่านเดินเข้ามาหาเขาพร้อมกับคุกเข่าลง “ชาร์ลีชอบเล่นรูบิกงั้นเหรอ?”
เขาพยักหน้าพร้อมกับยื่นรูบิกในมือให้กับเธอ “พี่สาวก็ชอบเล่นเหรอครับ?”
“พี่โง่มากเลย เล่นไม่เป็นหรอก!” โม่หว่านหว่านพูดอย่างจงใจ
ชาร์ลีจึงกล่าวว่า “มันไม่ยากเลยครับ ผมสอนได้นะ!”
“จริงเหรอ?งั้นพี่สาวต้องฝึกแล้วล่ะ!”
โม่หว่านหว่านที่กำลังจะแกล้งเขานั้น จู่ๆก็มีครูท่านหนึ่งโผล่มา “คุณผู้หญิงคะ”
เธอพูดกับชาร์ลีเบาว่า‘ครั้งหน้า’นะ!ครั้งหน้าหนูต้องสอนพี่สาวเล่นรูบิกนะ! ชาร์ลีพยักหน้า ใบหน้าที่ดูไร้เดียงสาที่กำลังดูจริงจังนั้น ทำให้โม่หว่านหว่านต้องยิ้มออกมา
เมื่อหันกลับไป ใบหน้าของคุณครูก็มองมาที่เธออย่างเย็นชา “คุณผู้หญิงคะ หากไม่ได้รับการยินยอมจากครูใหญ่หรือคุณครู ห้ามติดต่อหรือพูดคุยกับเด็กๆนะคะ”
“ขอโทษทีค่ะ พอดีเห็นน้องเขาน่ารักมากๆเลย ก็เลยเดินมาคุยด้วยนิดหน่อยค่ะ ครั้งหน้าจะไม่ทำอีกแล้วค่ะ!”
เธอขอโทษครั้งแล้วครั้งเล่า ดีที่หลินโม่ป่ายเดินออกมาพอดี ก็เลยหาข้อแก้ตัวออกจากโรงเรียนอนุบาลเลยทันที
เมื่ออยู่ด้านนอกบนรถ หลินโม่ป่ายถามขณะที่สตาร์ทรถว่า “นี่เธอได้คุยกับเด็กเหรอ?”
โม่หว่านหว่านพยักหน้าซ้ำ “อืมอืม ชาร์ลีน่ารักมากๆเลยล่ะ!แถมยังมีมารยาทมากอีกด้วย ถ้าเอาเทียบกันล่ะก็ เตียวเตียวนี่ตรงกันข้ามเลย….”
เธอไม่ได้พูดอะไรต่อ ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างหมดความอดทน พร้อมกับพูดอีกว่า “ฉันเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่เรามาอีกสักสองสามครั้ง ครั้งหน้าก็พาซีซีมาด้วย ดูว่าพอจะมีโอกาสดึงผมของชาร์ลีไหมนะ?”
หลินโม่ป่ายตกใจ มองไปที่เธออย่างหวาดกลัว “เด็กเพิ่งจะห้าขวบเองนะ แกจะให้ดึงผมเพื่อ?”
“ไม่อย่างงั้นล่ะ?จะตัดนิ้วหรือไงกัน?” โม่หว่านหว่านส่ายหัวครั้งแล้วครั้งเล่า ถ้าชาร์ลีเป็นเลือดเนื้อและเลือดของซูย้าวล่ะก็ เธอก็จะเป็นหม่ามี๊ทูนหัว ทนไม่ได้หรอกที่หักมือลูกตน!
หลินโมป่ายแทบจะไม่พูดอะไรกับเธอ “ขอร้องล่ะ นี่เธอเอาน้ำลายมาไม่ได้เหรอ ก็จากพวกขวดน้ำของเด็ก ไม่ก็หมากฝรั่งที่เด็กมันเคี้ยวไง แค่นี้ก็ได้แล้ว!”
“อ๋อ!”โม่หว่านหว่านนั้นได้สติขึ้นมา “ที่แท้ก็ยังมีเคล็ดลับนี้นี่เอง!”
หลินโม่ป่ายเองก็ไม่กล้าที่จะพูด หากตนพูดเรื่องนี้ขึ้นมาอีก ดีไม่ดีเธอกลับบ้านไปดึงผมของซีซีมาแทนล่ะ!
“อีกไม่กี่วันซูย้าวก็จะกลับมาแล้ว ฉันต้องตรวจสอบให้แน่ชัดก่อนที่เธอจะกลับมา สามารถใช้ดีเอ็นเอของซีซีกับชาร์ลีได้นี่หน่า ถ้าเป็นพี่น้องกัน ใช่ไหม?” เธอถาม
หลินโม่ป่ายพยักหน้า “เดิมที่พวกเขาก็เป็นฝาแฝดกัน สามารถเอามาทดสอบได้อย่างแน่นอน ลองดูเถอะ!”
….
ในห้องผู้ป่ายของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในต่างประเทศ ซูย้าวลืมตาจากการนอนหลับใหล และได้สังเกตเห็นร่างที่สูงใหญ่อยู่ข้างหน้าต่าง
รูปร่างหลังที่ดูสูงตรง สวมใส่ชุดสูทสีดำ เพียงแต่รู้สึกขาดความคุ้นเคยไปเล็กน้อย ดังนั้นเธอจึงจำคนคนนี้ได้ในพริบตา พร้อมกับลุกขึ้นนั่งช้าๆและพูดอย่างเฉยเมยว่า“ประธานเจี่ยง”
เมื่อเขาได้ยินเสียงที่อยู่ด้านหลัง ประธานเจี่ยงก็หันหลังกลับมา ดวงตาที่ลึกล้ำของเขาก็พบกับใบหน้าของเธอที่เพิ่งตื่นขึ้นมา ที่ดูยังมีความขี้เกียจปนอยู่เล็กน้อย อีกทั้งยังมีผมยาวสลวยพาดบ่าอย่างไม่เป็นทางการ ความอาลัยรักนี้ยังมีอยู่
“พอดีว่าอยู่ที่นี่พอดีน่ะครับ ก็เลยลองขึ้นมาดูว่าคุณฟื้นตัวเป็นยังไงบ้าง” เขาอธิบาย
ซูย้าวพูดต่อว่า “ฉันรู้ว่าการช่วยเหลือในครั้งนี้นั้น เป็นของประธานเจี่ยง ไม่ว่ายังไงก็ต้องขอบคุณนะคะ”
เจี่ยงหลินบอกไปที่เธอลึกลงไป
ตั้งแต่ซูย้าวตื่นขึ้นมา เจียงหลินก็ปิดกั้นข่าวไม่ให้ใครพูดถึงว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เขาได้ส่งคนไปค้นหาและช่วยเหลือตำรวจ ที่เขาทำขนาดนี้ ก็เพราะว่าเขามีวัตถุประสงค์นั่นเอง
เขาไม่เคยอธิบายให้กับซูย้าวฟัง แต่ดูเหมือนว่าเธอจะอ่านออกได้ในชั่วพริบตา เป็นเหมือนกับพยาธิที่อยู่ในท้องของเขา ทุกๆสายตาทุกๆการกระทำ ดูเหมือนว่าเธอจะเดาความคิดทั้งหมดของเขาได้
ผู้หญิงแบบนี้ จะไม่ทำให้หลงใหลได้อย่างไรกัน?
เจี่ยงหลินหายใจเข้าลึก ๆ และยกริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยอย่างมีความสุข “คุณนี่น่าสนใจจริงๆเลยนะ ซูย้าว รู้ได้ยังไงกันว่าผมเป็นคนช่วยคุณ?