เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - ตอนที่ 322
ข้างโต๊ะทำงาน ลี่เฉินซียังยืนอยู่ตรงนั้น สองมือพยุงโต๊ะ แววตาลุ่มลึก มองดูซูย้าวที่นั่งอยู่ตรงนั้น ด้วยจิตใจหนักอึ้ง
สายตาแบบนั้นมันเร่าร้อนเกินไป ทำให้เธอไม่ค่อยชินนัก เลยเม้มปากอย่างอึดอัด แล้วพูดเพียงว่า “คุณไม่ต้องไปที่บริษัทเหรอ ? ว่างนักหรือไง ?”
“ฉันเป็นเจ้านายนี่” เขาตอบอย่างง่ายดาย อีกอย่าง พอคำว่า”เจ้านาย”สองคำนี้ออกจากปากเขา ไม่ได้มีความรู้สึกว่าโอ้อวด แต่กลับรู้สึกสมเหตุสมผล
ซูย้าวสูดหายใจเข้าลึกแบบทำอะไรไม่ได้ แล้วพูดต่อว่า “เจ้านายแล้วยังไง ? เป็นเจ้านายแล้วไม่ยุ่งเหรอ ?”
“เจ้านายก็เหมือนกับเจ้าเมือง มีหน้าที่ขยายอาณาเขต ส่วนพวกคนที่เป็นลูกน้อง ก็ควรยุ่งกับการดูแลปกป้องขุนเขาสายน้ำในสวนของบ้าน ดังนั้น เป็นเจ้านายไม่ยุ่งหรอก” เขาพูดเรียบๆ พูดอธิบายทีละคำอย่างใจเย็นๆ
เธอสูดหายใจเข้าลึกๆอีกครั้ง “แต่เมื่อกี้คุณบอกว่าคุณซื้อกิจการบริษัทเกมมาไม่ใช่เหรอ ? คุณกำลังหาพันธมิตรอยู่สินะ !”
“ทำไม ? ประธานซูมีความคิดที่อยากจะร่วมมือกับฉันแล้วหรือไง ?” เขาถาม
ซูย้าวขมวดคิ้ว “ท่าทีของฉันคุณน่าจะรู้ดีอยู่แล้ว แต่ฉันสามารถแนะนำคนคนหนึ่งให้คุณได้”
“ลองพูดมาดูสิ”
“คุณชายลู่” เธอบอก
ลี่เฉินซีขมวดคิ้ว ความคิดของทั้งสองคนไปในทิศทางเดียวกันเลย หลังจากที่รู้ว่าตัวเองถูกเธอปฏิเสธ คนแรกที่เขาคิดถึงก็คือลู่ส้าวหลิง หลายปีที่ผ่านมานี้ คุณชายลู่เคยเสนอกับเขาหลายครั้งแล้วเกี่ยวกับเรื่องที่อยากจะซื้อกิจการบริษัทเกม
แต่บริษัทLGกรุ๊ปที่เขาบริหารอยู่นั้น เหมาะที่จะทำกิจการพวกนี้ ผู้ถือหุ้นเก่าในบริษัทต่างก็ไม่เห็นด้วย เมื่อไร้หนทาง เขาจึงทำได้แค่ละทิ้งความฝันของตัวเองไปครั้งแล้วครั้งเล่า
“คุณไปเจรจากับเขาเถอะ ! คิดว่าพวกคุณทั้งสองคนคงน่าจะบรรลุข้อตกลงร่วมกันได้”
เดิมทีทั้งสองคนก็เป็นเหมือนพี่น้องกัน ร่วมงานกันอยู่บ่อยครั้ง ให้ร่วมงานกันอีกครั้ง ก็ย่อมต้องไปได้ดีอยู่แล้ว
ลี่เฉินซียิ้มบางๆ หาได้ยากที่เธอจะรู้ใจตัวเองขนาดนี้ เขามองดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือ ก็เห็นว่าถึงเวลาควรไปแล้ว แต่ก่อนที่จะจากไป เขาก็จ้องมองเธอ แววตาลุ่มลึก และมีความเป็นกังวลแฝงอยู่ในนั้น
ซูย้าวเงยหน้าขึ้นมา ปะทะเข้ากับสายตาของเขา เสี้ยววินาทีนั้น เธอก็เดาความอาลัยอาวรณ์ที่อยู่ภายในใจเขาได้แล้ว พูดตามจริง มันถือว่าน่าดีใจ
ผู้ชายที่ตัวเองรัก ในใจของเขายังคิดถึงตัวเองอยู่ มันไม่น่าดีใจหรือ ?
ถึงแม้ไม่อาจแสดงความรักออกมาได้อีกต่อไป และไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้อีก และความอาลัยอาวรณ์นี้ ทั้งหมดก็มีสาเหตุมาจากลูกๆทั้งนั้น แต่ไม่ว่ายังไง สำหรับผู้หญิงแล้ว มันก็คือความรู้สึกที่ดีมากแล้ว
เธอยิ้มออกมาบางๆ แต่กลับจงใจไม่พูดออกมา ถามเพียงว่า “ทำไมเหรอ ?”
“ตอนนี้เธอรับผิดชอบงานภายในประเทศของจู้สือ เริ่มมาเป็นเวลานานขนาดนี้แล้ว แต่กลับเซ็นสัญญาไปแค่ออร์เดอร์เล็กๆพวกนั้น เธอไม่กลัว……”
คำพูดของเขายังไม่ทันจบ จู่ๆซูย้าวก็ขัดจังหวะเขา แล้วพูดสิ่งที่ตัวเองต้องการออกมาแทน
“คุณเป็นห่วงกิจการของเจ้านายฉัน ก็เลยจะเอารองเท้ามาให้ฉันสวมเหรอ ?”
คำพูดที่เข้าใจง่าย รอยยิ้มที่ซุกซน ช่างดูน่ารัก
ลี่เฉินซีมองดูเธอ “ไม่เป็นไรจริงๆเหรอ ?”
เขาเป็นห่วงว่าเธอจะต้องลำบากตอนอยู่ในจู้สือ เลยเป็นฝ่ายไปซื้อกิจการบริษัทเกม อยากจะใช้การร่วมมือกันในนาม เพื่อให้เธอได้ทำงานอย่างราบรื่น ใช่ไหม !
กระแสน้ำอุ่นๆ ผุดขึ้นมาภายในใจของเธอ
เธอมองดูเขา แล้วส่ายหัว “คุณอยู่ในตำแหน่งมาหลายปีแล้ว ก็น่าจะรู้ดี คนที่ทำงานไม่เป็น ไม่จำเป็นต้องโดนคัดออก แต่คนที่ขวางทาง จำเป็นต้องถูกกำจัดอย่างแน่นอน”
พอได้ฟังคำนั้นแล้ว ลี่เฉินซีก็มองดูเธอ เผยรอยยิ้มกว้าง ผู้หญิงที่เข้าตาเขานั้น ไม่เพียงฉลาด แต่ยังเดาใจคนเก่งด้วย ขนาดเรื่องการเข้าหาคน ก็เรียนรู้ได้อย่างรอบด้านเลยทีเดียว
หัวใจที่คับแน่นนั้น ในที่สุดก็ถูกคลายออก
ลี่เฉินซีเดินตัวเบาออกมาจากที่นั่น ลงไปขึ้นรถแต่ไม่ได้กลับไปที่บริษัท เขาตรงไปที่บริษัทLGแทน
ห้องทำงานที่อยู่บนตึก ซูย้าวนั่งจิบกาแฟ แล้วยืนอยู่ข้างหน้าต่าง มองดูแสงแดดที่สว่างจ้า และถนนที่เต็มไปด้วยรถรา ในหัวคิดไปถึง เบื้องหลังที่แท้จริงของบริษัทตัวเอง
จู้สือกรุ๊ปนั้น ไม่ว่าจะเป็นเจ้านาย หรือรองประธานทุกคน เบื้องหลังต่างก็เป็นเหมือนวังวน มีความลับซ่อนอยู่มากมาย
ขณะนี้ สิ่งที่เธอต้องทำ ก็คือทำตัวเป็น “คนทำงานไม่เป็น” คนหนึ่ง ถึงแม้Jockจะไม่มีทางไล่เธอออก แต่ก็คงไม่มีทางพอใจแน่ จากนั้น เธอก็ค่อยทำตัวเป็นคนที่ขวางทาง แบบนั้น เธอก็จะได้มีเหตุผลที่จะถูกไล่ออกจากจู้สือ
และมีเพียงทางนี้เท่านั้น เธอกับลูกๆของเธอจะได้ปลอดภัยอย่างสมบูรณ์
ที่นี่ ไม่ใช่ที่ที่สมควรจะอยู่นานจริงๆ
ขณะที่กำลังคิดเรื่องวุ่นวายอยู่ในหัว โทรศัพท์ที่อยู่บนโต๊ะก็ส่งเสียงขึ้นมา
ซูย้าวเดินเข้าไป หยิบมือถือขึ้นมา พอเห็นข้อความหนึ่งเข้ามา ก็กวาดสายตามองดูคร่าวๆ จากนั้นแววตาก็หมองลงทันที
หนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น เธอก็ขับรถไปถึงร้านชาจินผิ่งที่อยู่บริเวณชานเมือง
พอจอดรถ ก็เห็นชายคนหนึ่งที่มองรอเธออยู่ที่โรงน้ำชาก่อนแล้ว ดูอายุสักราวๆสี่ถึงห้าสีปี สวมชุดสูทรองเท้าหนัง สวมแว่นตาและดูท่าทางเป็นคนอ่อนโยน
ซูย้าวถือกระเป๋า แล้วเดินเข้าไป
“เลขาหลี่ คุณส่งข้อความมาบอกว่าอยากพบฉัน”
เธอเป็นฝ่ายเปิดปากพูดก่อน และทำไมจะไม่รู้ ว่าเลขาหลี่คงไม่มีทางอยากพบเธอแบบธรรมดาแน่ จะต้องเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังเขาที่ถามออกไปแบบนั้น ก็เพื่อไว้หน้าอีกฝ่าย และเพื่อเป็นการแกล้งโง่เพียงเท่านั้น
เลขาหลี่โค้งให้อย่างมีมารยาท แล้วพูดเรียบๆว่า “ไม่ใช่ผมอยากพบคุณ แต่เป็นคุณผู้หญิงครับ คุณซู เชิญด้านในครับ”
เป็นไปตามคาด ซูย้าวสีหน้าสงบนิ่ง และเดินตามเลขาหลี่เข้าไปในโรงน้ำชา
ด้านในโรงน้ำชานั้นเงียบสงบ ดูเหมือนจะถูกคนเหมาสถานที่ไว้แล้ว นอกเหนือจากพนักงานไม่กี่คนแล้ว ก็ไม่มีคนอื่นอีก
เลขาหลี่เดินนำทางอยู่ข้างหน้า พาเธอเดินตรงเข้าไปด้านใน ด้านในสุดของห้องโถง ตำแหน่งที่ติดกับหน้าต่าง เจี่ยงเวินอี๋กำลังนั่งอยู่ตรงนั้น สีหน้าเย็นชาและขึงขัง กวาดสายตามามองซูย้าวที่กำลังเดินเข้ามา ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“คุณผู้หญิง คุณซูมาแล้วครับ” พอเลขาหลี่เห็นเจี่ยงเวินอี๋ก็พยักหน้าให้ทีหนึ่ง แล้วหันหลังเดินออกไป
เจี่ยงเวินอี๋หันมามองเธออีกครั้ง แววตาเย็นชา ยังคงเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง พูดแค่ว่า “นั่งลงสิ !”
จากนั้น ก็ยกมือขึ้นเรียกพนักงานนำชาเข้ามาเสิร์ฟ
ทุกอย่างถูกเตรียมการไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว พนักงานนำชาเข้ามาเสิร์ฟ แล้วรินชาให้ทั้งสองคน พอวางให้แล้วก็ถอยออกไปอย่างสุภาพ
ชาร้อนที่อยู่บนโต๊ะ ไอร้อนลอยอบอวล
ส่วนคนสองที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน กลับมาแววตาเยือกเย็น บรรยากาศอึดอัด
เงียบสงบราวกับดาบที่อยู่ในฝัก ดำเนินต่อไปแบบนั้นอยู่เกือบนาที จนในที่สุด เจี่ยงเวินอี๋ก็เป็นฝ่ายเปิดปากพูดก่อน “หลายปีมานี้ ได้ยินมาว่าเธอไปอยู่ต่างประเทศ เป็นยังไงบ้างล่ะ ?”
คำพูดที่ออกมา เป็นคำถามสารทุกข์สุกดิบ เหมือนคุณป้าข้างบ้าน แต่กลับไม่มีบรรยากาศสนิทสนมเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความมีน้ำใจไมตรี
สีหน้าของซูย้าวเองก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง เพียงแค่ตอบกลับไปตามสูตร “ก็พอใช้ได้ค่ะ”
“คิดไม่ถึงว่าคอของเธอจะหายดีแล้วด้วย ตอนนี้ดูแล้ว ก็ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว” เจี่ยงเวินอี๋พูดต่อ
เธอพยักหน้า “ค่ะ พอผ่าตัดก็ดีขึ้น”
“ได้ยินว่าเธอทำงานกับบริษัทต่างชาติ รายได้โอเคไหม ?” อีกฝ่ายถามขึ้นอีก
ความรู้สึกแบบนี้ ทำไมถึงได้รู้สึกเหมือนกำลังถูกสอบปากคำ
แต่ซูย้าวขี้เกียจคิดมากแล้ว เลยเพียงแค่ตอบไปตามความเป็นจริง “ถือว่าโอเคค่ะ ถือว่าพอเลี้ยงตัวเองได้”
“ตอนแรกที่เธอก้าวขาเข้ามาในตระกูลลี่ มาเป็นภรรยาของเฉินซี และเคยเป็นลูกสะใภ้ของฉัน ตอนนี้ก็ยังเป็นแม่ของหลานฉันด้วย ซูย้าว ฉันยอมรับ ว่าฉันไม่ค่อยชอบเธอนัก แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า สำหรับตระกูลลี่แล้ว เธอก็ถือว่ามีคุณประโยชน์เหมือนกัน”
เจี่ยงเวินอี๋เป็นคนที่แยกบุญคุณความแค้นชัดเจน เธอก็พูดไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมถึงไม่ชอบซูย้าว อาจจะเป็นหลังจากตอนที่นายหญิงใหญ่เสียไป แล้วทิ้งพินัยกรรมไว้ว่า “ต้องแต่งกับซูย้าว” เอาไว้ !
แถมเธอยังเป็นใบ้อีกด้วย
ครอบครัวแบบนั้น อยากจะได้สะใภ้แบบไหนก็ย่อมได้ ทำไมต้องเป็นหญิงสาวที่เป็นคนพิการด้วย ?
แต่หลายปีที่ผ่านมานี้ ความทุกข์เหล่านั้น ต่างก็เลือนหายไปตามกาลเวลาแล้ว
ตอนนี้พอเจี่ยงเวินอี๋มองดูเธอ สิ่งที่มากกว่านั้น ก็คงเป็นเรื่องที่ทำให้คิดถึงลี่เจิ้งที่กำลังนอนไม่ได้สติอยู่ที่โรงพยาบาล
ซูย้าวมองดูเธอ แล้วยิ้มบางๆ ก่อนจะพูดอย่างตรงไปตรงมา “คงไม่ถึงขั้นทำคุณประโยชน์อะไร เพราะยังไงเด็กๆก็ไม่ใช่แค่ของตระกูลลี่เท่านั้น แต่เป็นของฉันด้วย คุณป้าเจี่ยง ที่คุณเรียกฉันมาวันนี้ คงไม่ใช่แค่เพื่อจะคุยเรื่องพวกนี้ใช่ไหมคะ ?”