เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - ตอนที่ 325
ตอนที่หานฉ่ายหลิงตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอก็นอนอยู่ในห้องผู้ป่วยที่โรงพยาบาลแล้ว
ในห้องเงียบมาก ขนาดสะอาดไปหมด กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อจางๆ เธอรู้สึกเพียงปวดหัวมาก และอยากจะขยับตัวเพื่อลุกขึ้น แต่กลับพบว่าขาของตัวเองนั้นไร้ความรู้สึก เธอชะงักไปเพราะความตื่นตกใจ
คงไม่ใช่ว่า……
ในขณะที่เธอกำลังตื่นตระหนกและมึนงง ข้างๆหูก็ได้ยินเสียงแผ่วเบาของคุณหมอที่อยู่ด้านนอก
“โชคยังดีที่ไม่ได้ถูกชนเข้าโดยตรง เพียงแค่แผลถลอกเท่านั้น และกระดูกเท้าซ้ายหัก พักผ่อนสักระยะ ก็จะหายดีเองครับ”
หานฉ่ายหลิงได้ยินสิ่งที่คุณหมอพูดคร่าวๆ น่าจะเป็นอาการของตัวเธอเอง แผลถลอกกับกระดูกหัก
โชคยังดี เธอคิดว่าขาซ้ายของตัวเอง……
ขณะที่กำลังครุ่นคิด ประตูห้องผู้ป่วยก็ถูกเปิดออก และลี่เฉินซีก็เดินเข้ามา
พอเห็นว่าเธอตื่นแล้ว ก็เดินมานั่งตรงเก้าอี้ที่อยู่ข้างเตียง “ตื่นแล้วเหรอ ? หิวน้ำไหม ?”
เธอส่ายหน้า แล้วจับมือเขาไว้ทันที “คุณป้าล่ะ ?”
ขณะพูด ก็พยายามที่จะลุกขึ้นมานั่ง แล้วก็พูดต่อว่า “คุณป้าไม่ได้บาดเจ็บใช่ไหม ? เธออยู่ที่ไหน ? ฉันจะไปดูเธอ……”
ลี่เฉินซีกดไล่ของเธอไว้ กดให้เธอกลับไปบนเตียง แล้วพูดว่า “แม่ฉันไม่เป็นไร ไม่ได้บาดเจ็บและไม่เป็นอันตราย สบายมาก”
พอพูดแบบนั้นแล้ว หานฉ่ายหลิงก็แสร้งทำเป็นโล่งอก “ดีจังเลย !”
เขามองดูเธอ แววตาลึกซึ้ง “แต่ว่ากระดูกซ้ายของเธอแตก เจ็บมากไหม ?”
“ขาฉัน ?” หานฉ่ายหลิงกะพริบตาปริบๆ แล้วเผลอขยับขาตัวเอง แต่กลับเจ็บจนต้องขมวดคิ้ว แล้วร้องออกมาเบาๆ
ลี่เฉินซีกดร่างเธอไว้อีกครั้ง ให้เธอนอนลงดีๆ แล้วห่มผ้าให้ “คุณหมอเพิ่งจะต่อให้เธอ แล้วดามไว้ ห้ามขยับไปเรื่อย”
“เฉินซี ขอแค่คุณป้าไม่เป็นไร ฉันก็ไม่เป็นไรแล้ว นายไปดูคุณป้าเถอะ ! หลังจากเรื่องนี้ คงทำให้เธอตกใจไม่น้อยเลยสินะ !” เธอพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ท่าทางเห็นอกเห็นใจ ดูเหมือนสิ่งมีชีวิตที่ไร้เดียงสาจะไม่เป็นอันตราย
เขาเองก็ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำ ยังไงก็เป็นคนที่ช่วยชีวิตแม่ตัวเองเอาไว้ บุญคุณช่วยชีวิตแบบนี้ จะไม่ตอบแทนก็ไม่ได้
“ถ้าหากตอนนั้นไม่มีเธออยู่ แม่ของฉันก็คง……”
ลี่เฉินซียังไม่ทันได้พูดจบ หานฉ่ายหลิงก็รีบจับมือเขาไว้ แล้วรีบพูดขัดจังหวะว่า “ห้ามพูดเรื่องไม่เป็นมงคลพวกนั้นนะ คุณป้าไม่มีทางเป็นอะไรไปหรอก !”
“ไม่ว่าจะยังไง ก็ต้องขอบคุณเธอ” เขามองดูเธอ สายตาที่สับสนแฝงแววลึกซึ้งเล็กน้อย
ถึงแม้หานฉ่ายหลิงจะคาดเดาไม่ค่อยออก แต่ก็รู้สึกได้รางๆ ว่าท่าทีที่เขามีต่อเธอนั้น ไม่ว่ามากหรือน้อย ก็จะต้องเปลี่ยนไปเพราะเรื่องในครั้งนี้อย่างแน่นอน
ถึงจะไม่รู้ว่า “อุบัติเหตุ” ในครั้งนี้เกิดจากคำสั่งใคร หรือเป็นแค่อุบัติเหตุจริงๆ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หานฉ่ายหลิงก็รู้สึกชื่นชมการกระทำของตัวเองมากจริงๆ
ตอนนั้นเธอเองก็ไม่รู้ว่าคิดได้ยังไง ถึงได้ช่วยยัยแก่คนนั้น จนเกือบสังเวยชีวิตตัวเอง โชคยังดีที่ตกใจเก้อ……
ขณะที่เธอกำลังคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ประตูห้องผู้ป่วยก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง เจี่ยงเวินอี๋รีบเดินเข้ามา แล้วยังพูดไปด้วยว่า “ฉ่ายหลิง หนูตื่นแล้วเหรอ !”
หานฉ่ายหลิงอยากจะลุกขึ้นมานั่ง แต่กลับถูกแขนยาวๆของลี่เฉินซีหยุดเอาไว้ แล้วพูดเสียงต่ำว่า “เธอยังขยับไปเรื่อยไม่ได้”
“ไม่ต้องขยับแล้ว ฟังที่เฉินซีพูดเถอะ !” เจี่ยงเวินอี๋เองก็ไม่อยากให้เธอขยับไปเรื่อย ตัวเองเลยนั่งลงตรงเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆ
เธอเป็นฝ่ายดึงมือของหานฉ่ายหลิงขึ้นมา แล้วถอนหายใจออกมายาวๆก่อนพูดว่า “ถ้าไม่มีฉ่ายหลิงล่ะก็ ป้าก็คงไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว คิดไม่ถึงเลยจริงๆ เด็กอย่างเธอ พอถึงเวลาคับขัน จะคิดเผื่อฉันได้ขนาดนี้……”
“คุณป้า พูดอะไรแบบนั้นคะ ! หลายปีที่ผ่านมา คุณป้ารักใคร่เอ็นดูฉันมาตลอด ฉันจะไปทนดูคุณได้รับบาดเจ็บต่อหน้าต่อตาได้ยังไงกัน ?”
พอหานฉ่ายหลิงพูดแบบนั้น เจี่ยงเวินอี๋ก็รู้สึกตื้นตันใจยิ่งกว่าเดิม จับมือเธอแล้วถอนหายใจออกมา “วางใจเถอะ ต่อไปป้าจะทำเหมือนเธอเป็นลูกสาวของตัวเอง !”
เธอยิ้มบางๆ ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นถึงความปีติยินดี
เสียงโทรศัพท์ของลี่เฉินซีดังขึ้น ก็เลยเดินออกไปรับตรงทางเดิน ในห้องผู้ป่วยอันกว้างขวาง เหลือเพียงพวกเธอทั้งสองคน
เจี่ยงเวินอี๋มองดูเธอ ในหัวยังคงมีฉากที่หานฉ่ายหลิงช่วยเหลือตัวเองวนเวียนอยู่ ท่าทางที่ทุ่มสุดตัว และทุ่มเททุกอย่าง ดูท่าว่า เธอคงจะต้องพิจารณาเรื่องระหว่างหานฉ่ายหลิงกับลูกชายของตัวเองเสียใหม่แล้ว
“หนูฉ่ายหลิง ขณะนี้ป้ารับปากอะไรหนูไม่ได้ แต่ว่าหนูต้องเชื่อใจป้านะ ป้าไม่มีทางทำให้หนูผิดหวังแน่ !” เจี่ยงเวินอี๋กล่าว
หานฉ่ายหลิงก้มหน้าลงด้วยความเขินอายเล็กน้อย แล้วรีบพูดว่า “หนูไม่ต้องการอะไรหรอกค่ะ ขอแค่คุณป้ายังสุขสบายดี มันก็ดีกว่าอะไรทั้งนั้นแล้วค่ะ !”
ตรงทางเดิน พอลี่เฉินซีรับสายเสร็จ หวางอี้ก็จัดการเรื่องเอกสารต่างๆเรียบร้อยแล้วและกำลังขึ้นมา
“เรื่องอุบัติเหตุครั้งนี้ตรวจสอบเป็นยังไงบ้างแล้ว ? เจออะไรบ้างหรือยัง ?” ลี่เฉินซีถาม
หวางอี้พูดว่า “ทางฝั่งตำรวจตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว เป็นรถเก่าที่อยู่ระหว่างซ่อมแซมครับ เกิดจากการเบรกล้มเหลว เจ้าของยินยอมขอรับผิดชอบเต็มที่ ตระกูลลี่ คุณคิดว่ายังไงครับ ?”
เบรกล้มเหลว ?
ถ้าเป็นรถเก่าที่อยู่ระหว่างซ่อมแซมจริงๆ แล้วทำไมถึงพุ่งเข้ามาในย่างธุรกิจ ?
แถมยังพุ่งเข้ามาหาเจี่ยงเวินอี๋พอดีด้วย
ทุกอย่างดูเหมือนจะบังเอิญเกินไป บังเอิญจนเหมือนมีคนวางแผนเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว แล้วรอให้ใครสักคนมาทำการแสดงเท่านั้น
หวางอี้คอยติดตามลี่เฉินซีมานานหลายปี ความคิดของเจ้านาย อย่างไรก็ต้องเดาได้อยู่บ้าง เลยถามขึ้น “คุณคิดว่ามีคนคอยบงการอยู่เบื้องหลังใช่ไหมครับ ? ผมจะได้ไปตรวจสอบอีกครั้ง”
ลี่เฉินซีไม่ได้พูดอะไร แต่กลับพยักหน้า
……
ทางฝั่งโรงเรียนอนุบาล
เป็นวันแรกที่ซีซีกับเตียวเตียวไปโรงเรียนพร้อมกัน ตอนเลิกเรียน ซูย้าวเป็นคนขับรถไปรับด้วยตัวเอง
พอเตียวเตียวเห็นเธอเข้าก็ดีใจยกใหญ่ กระโดดโลดเต้นแล้วโบกมือน้อยๆทั้งสองข้าง แล้วโผเข้าใส่เธอ
เทียบกับความกระตือรือร้นของเตียวเตียวแล้ว ซีซีเพียงแค่เดินเข้ามาตรงหน้าเธอทีละก้าวอย่างเงียบสงบเท่านั้น จากนั้นก็กอดคอของซูย้าว แล้วหอมแก้มเธอทีหนึ่ง
ช่างเป็นลูกสาวที่สงบเสงี่ยมเรียบร้อยจริงๆ
เธอสัมผัสได้ถึงบางอย่าง พอลุกขึ้น ก็เห็นเงาเล็กๆอีกเงาหนึ่ง
ชาร์ลีนั่นเอง
คุณครูของโรงเรียนอนุบาลจูงมือน้อยๆของเด็กน้อย แล้วยืนอยู่ข้างประตูโรงเรียนอนุบาล คุณครูกล่าวลาผู้ปกครองคนแล้วคนเล่า แต่ชาร์ลีกลับมีท่าทีซึมๆ ยืนอยู่ข้างๆ ไม่พูดไม่จา
ซูย้าวชะงักไปเล็กน้อย สังเกตสีหน้าของเด็กชาย ดูเหมือนไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก ก็เลยเดินเข้าไป “ชาร์ลี เป็นอะไรไปจ๊ะ ?”
น้ำเสียงเธออ่อนโยน โน้มตัวลงไปหาเด็กน้อย
ชาร์ลีเงยหน้าขึ้นมองเธอ แล้วถอนหายใจเหมือนผู้ใหญ่ตัวน้อย “คุณแม่ไม่มาอีกแล้วครับ !”
“เหรอ ?” ซูย้าวแปลกใจ มองไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นเงาของหานฉ่ายหลิงจริงๆ
คุณครูเลยรีบอธิบายว่า “ก่อนหน้านี้เลขาของท่านประธานหานโทรมาแจ้งแล้วค่ะ ว่าวันนี้มีธุระ มารับไม่ได้ ต้องรอให้คุณตามารับค่ะ”
“อย่างนั้นเองเหรอ……”
ซูย้าวเข้าใจสถานการณ์โดยคร่าวๆแล้ว เลยลูบศีรษะเด็กน้อยเบาๆ “งั้นชาร์ลีก็ต้องเข้มแข็งนะคะ รออีกหน่อย คุณตาก็มาแล้ว อย่าน้อยใจไปเลย ดีไหมคะ ?”
“แต่ว่าผมอยากให้คุณแม่มารับผมนี่นา !” ชาร์ลียังคงไม่ร่าเริง ก้มหน้าลง เหมือนมะเขือม่วงที่กลัวฟ้าผ่า
คุณครูพูดอีกว่า “ประธานหานยุ่งมาก ในเดือนหนึ่งจะมารับลูกสักสองครั้งก็ถือว่าเยอะแล้ว ดังนั้น……”
ประโยคหลังถูกลากยาว ถึงแม้ไม่พูด แต่ซูย้าวก็เข้าใจ
ระหว่างการเจริญเติบโตของเด็ก จำเป็นต้องให้ผู้ใหญ่คอยอยู่เคียงข้าง
แต่ว่าพ่อแม่ต้องยุ่งกับการทำงาน เลยไม่สามารถหาเวลาว่างมากมายมาให้ลูกได้ เลยทำให้เกิดปัญหาต่างๆขึ้นมากมาย
เธอมองดูท่าทางแบบนั้นของชาร์ลี แล้วก็เกิดความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ขึ้นมา โดยเฉพาะพอคิดว่าเด็กคนนี้ อาจจะเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองที่ถูกพัดพรากไปเมื่อตอนนั้นก็ได้ ในใจก็รู้สึกอึดอัดมาก
และด้านข้างก็ถูกเรี่ยวแรงเล็กๆดึง พอซูย้าวก้มหน้าลง ซีซีก็กำลังดึงมือเธอด้วยสีหน้าพอใจ เพื่อส่งสัญญาณบอกให้เธอรีบไป อย่าไปยุ่งกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง
เธอมองดูลูกสาวแล้วยิ้มบางๆ ยังไม่ทันได้กล่าวลากับคุณครู รถโรลส์รอยซ์สีดำคันหนึ่ง ก็เข้ามาจอดตรงหน้าประตูโรงเรียนอนุบาลอย่างรวดเร็ว แล้วลี่เฉินซีก็เปิดประตูลงจากรถ