เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - ตอนที่ 330
เพราะเรื่องที่หานฉ่ายหลิงเอาตัวเข้าแลกเพื่อช่วยชีวิต ทำให้ท่าทีที่เจี่ยงเวินอี๋มีต่อเธอนั้นเปลี่ยนไปอย่างมาก จากเมื่อก่อนที่ค่อนข้างคลุมเครือ จนตอนนี้มีท่าทีให้ความสำคัญเต็มที่ ท่าทางกระตือรือร้นเหมือนเธอกลายเป็นลูกสาวแท้ๆของตัวเองไปแล้ว
ช่วงหลายวันที่หานฉ่ายหลิงพักอยู่ในโรงพยาบาล เจี่ยงเวินอี๋ก็ไปเยี่ยมเธอแทบทุกวัน ทั้งเอาอกเอาใจ สั่งคนเตรียมให้ทุกอย่าง ดูแลอย่างไร้ที่ติ
ได้รับความดีความชอบจากเจี่ยงเวินอี๋ การบาดเจ็บของเธอในครั้งนี้ไม่ได้สูญเปล่าเลย เพียงแต่ นี่ไม่ใช่สิ่งที่หานฉ่ายหลิงคาดหวังเอาไว้ในตอนแรก มองดูคุณป้าที่ยิ้มแย้มให้เธอ ในใจของเธอก็ยังคงเปลี่ยวเหงา
“คุณป้าคะ คือว่าเฉินซีเขา……ช่วงนี้ดูเหมือนจะยุ่งมากเลยนะคะ !” หานฉ่ายหลิงไม่ได้เห็นเงาของลี่เฉินซีมาทั้งวัน เลยอดถามไม่ได้
พอได้ยินแบบนั้น เจี่ยงเวินอี๋ก็พูดว่า “เธอเองก็รู้ เดิมทีที่บริษัทลี่ซื่อก็มีเรื่องมากมายรอให้เขาไปจัดการอยู่แล้ว แล้วตอนนี้ยังซื้อกิจการมาจากหลายบริษัท เลยเริ่มยุ่งขึ้นมา !”
“อย่างนั้นเหรอคะ……”
เจี่ยงเวินอี๋มองออกว่าแววตาของเธอหดหู่เล็กน้อย เลยรีบพูดขึ้น “ไม่เป็นไรหรอก จะยุ่งขนาดไหนฉันก็จะให้เขาหาเวลามาเยี่ยมเธอให้ได้เลย วางใจเถอะ !”
“ขอบคุณคุณป้ามากนะคะ ที่จริงไม่เป็นไรหรอกค่ะ ที่เขายุ่งก็เพราะเรื่องสำคัญทั้งนั้น เป็นสิ่งที่สมควรแล้วค่ะ !” หานฉ่ายหลิงยิ้มอย่างอ่อนโยน ไม่อยากแสดงออกอย่างออกนอกหน้านัก เพราะเกรงว่าจะทำเสียแผนเปล่าๆ
เจี่ยงเวินอี๋อยู่เป็นเพื่อนเธอสักพัก จากนั้นก็ลุกขึ้นเตรียมจะจากไป “ฉ่ายหลิง เธอพักผ่อนให้เต็มที่นะ ป้าจะขึ้นไปดูเจิ้งเอ๋อสักหน่อย”
“ได้ค่ะ คุณป้าไปเถอะค่ะ เดี๋ยวพอฉันให้น้ำเกลือเสร็จ ฉันจะขึ้นไปดูค่ะ” เธอกล่าว
หลังจากที่เจี่ยงเวินอี๋ไปแล้ว หานฉ่ายหลิงก็พิงอยู่ตรงนั้น มองดูน้ำเกลือที่ยังเหลืออีกครึ่งขวด แล้วในตอนนั้นเอง หานต้าเฉิงก็ผลักประตูเดินเข้ามา
“โอ้โห น้องฉัน เธอนี่ใช้ได้จริงๆ แค่ช่วยยายแก่คนหนึ่งไว้ ตอนนี้เลยใกล้จะได้เป็นสะใภ้ของตระกูลลี่แล้วใช่ไหม ?” หานต้าเฉิงหัวเราะ แล้วเดินไปทางโต๊ะหัวเตียง หยิบส้มจากจานผลไม้ด้านบนมาปอกเปลือก
หานฉ่ายหลิงส่งสัญญาณให้เขาเบาเสียงลงทันที แล้วพูดว่า “เรื่องแบบนี้ อย่าปล่อยให้คนอื่นได้ยินเด็ดขาดนะ !”
“กลัวอะไร ? เรื่องที่เธอช่วยคุณนายลี่เอาไว้มันเป็นความจริง เรื่องที่เธอชอบลี่เฉินซีเองก็เป็นความจริง อยากแต่งกับเขา ก็ยิ่งจริงเข้าไปใหญ่เลยไม่ใช่เหรอ ?” หานต้าเฉิงยักไหล่ สีหน้าไม่แยแส แล้วโยนเปลือกส้มที่ปอกแล้วลงถังขยะ
แต่หานฉ่ายหลิงกลับกระเด้งตัวขึ้นมานั่งทันที “หุบปากของพี่เลยนะ ! เรื่องของฉันพี่ไม่ต้องมายุ่ง ! ที่ไหนร่มเย็นก็ไปรออยู่ที่นั่นเถอะ !”
พอได้ยินคำพูดของเธอแล้ว หานต้าเฉิงก็ไม่พอใจขึ้นมาทันที “ท่าทีอะไรของเธอ ? ลืมตอนที่เธอไปขอร้องให้ฉันไปช่วยขโมยเด็กแล้วหรือไง ?”
พอพูดถึงเรื่องนั้น ดวงตาของหานฉ่ายหลิงก็เบิกโตทันที สัญญาณเตือนภัยรอบตัวแทบจะตื่นขึ้นทั้งหมดทันที รูขุมขนทั่วร่างตั้งขึ้นราวกับสิงโต กดเสียงต่ำแล้วพูดอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “พี่กล้ามาพูดถึงเรื่องเด็กกับฉันเหรอ ?”
แต่หานต้าเฉิงกลับกะพริบตาปริบๆอย่างใสซื่อ กินส้มไปพลางมองเธอไปด้วย “ทำไมจะพูดถึงไม่ได้ ? เรื่องที่เธอสั่งให้ฉันไปทำ ฉันก็ทำให้แล้วนี่ !”
“ฉันบอกให้พี่ไปอุ้มเด็กกลับมา แล้วพี่ล่ะ ? ผู้หญิงคนนั้นคลอดลูกมาสองคน แต่พี่กลับอุ้มกลับมาแค่คนเดียว ! ทำไมเหลือทิ้งไว้ให้หล่อนคนหนึ่งด้วย !”
หานฉ่ายหลิงโกรธจนกัดฟันแน่น คิดถึงตอนนั้นที่ตัวเองช่างโง่เง่าที่ปล่อยให้ลูกพี่ลูกน้องไปจัดการเรื่องที่สำคัญขนาดนั้น เดิมทีคิดว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องกันแท้ๆ จะต้องไม่ทำเรื่องผิดพลาดแน่ คิดไม่ถึง ว่าเขากลับ……อุ้มเด็กกลับมาแค่คนเดียว !”
ตอนที่พบว่าซูย้าวคลอดลูกออกมาสองคน เวลาก็ผ่านไปหลายปีแล้ว ตอนที่สั่งให้หานต้าเฉิงไปจัดการอีกครั้งนั้น กลับเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น
เป็นแบบนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า เลยทำให้เด็กคนนั้นที่อยู่ข้างๆซูย้าว มีชีวิตรอดมาถึงทุกวันนี้
“ก็แค่เด็กคนเดียว เธอกล้าลงมือกับเด็กด้วยเหรอ ? อีกอย่าง อุ้มกลับมาได้คนหนึ่งก็ดีแล้ว ดีกว่าปล่อยให้อยู่กับผู้หญิงคนนั้นทั้งสองคนไม่ใช่เหรอ !” หานต้าเฉิงกล่าว
หานฉ่ายหลิงโกรธจนไฟลุกโชน “พี่จะไปเข้าใจอะไร !”
ก็เป็นเพราะว่าที่ข้างกายของซูย้าวมีลูกสาวคนหนึ่งอยู่ ความสนใจครึ่งหนึ่งของลี่เฉินซีก็เลยถูกผู้หญิงคนนั้นแย่งไป ส่วนที่เหลือให้ทางฝั่งตัวเองนั้นเลยมีโอกาสแค่น้อยนิดเท่านั้น แล้วในมือก็ไม่มีไพ่ที่เหนือกว่าเลย อยากจะรั้งตัวผู้ชายคนนั้นเอาไว้ เลยยิ่งยากเสียยิ่งกว่ายาก !
ถ้าหากตอนนั้นหานต้าเฉิงจัดการได้เรียบร้อยสักหน่อย ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ การจัดการกับซูย้าว ก็จะง่ายขึ้นเป็นร้อยเท่า
น่าเสียดายที่ก้าวแรกผิด ก้าวต่อไป ก้าวต่อๆไปก็เลยผิดตามๆกัน !
ความโกรธของหานฉ่ายหลิงกำลังลุกโชน เธอจ้องมองหานต้าเฉิงอีกครั้ง “พี่จะมาที่นี่ทำไมอีก ? ไสหัวไป !”
“นี่ อย่างน้อยๆฉันก็เป็นพี่เธอนะ ! แสดงท่าทางแบบนั้นมันไม่เลวร้ายไปหน่อยเหรอ !” หานต้าเฉิงยืนขึ้น มองดูเธอที่ท่าทางเกรี้ยวกราด แล้วขมวดคิ้ว “ฉันมาเพื่อจะบอกเธอ ผู้หญิงคนนั้นเริ่มสงสัยในตัวชาร์ลีแล้ว ให้เธอระวังตัวหน่อย !”
“อะไรนะ ?” หานฉ่ายหลิงตกใจทันที ซูย้าวสงสัยชาร์ลี ? !
เป็นไปได้ยังไง……
เธอยังอยากถามอะไรต่ออีก แต่ตอนที่เงยหน้าขึ้นมาหานต้าเฉิงกลับออกไปจากห้องผู้ป่วยเสียแล้ว ขนาดที่ไปตั้งแต่ตอนไหน ก็ไม่ทันได้รู้ตัว
เป็นไปตามคาด สิ่งที่นี่รังเกียจที่สุดก็คือมิตรสหายที่โง่เง่า หานต้าเฉิงคนนี้ ผลงานไม่มีดีแต่สร้างเรื่องเสียจริงๆ !
หานฉ่ายหลิงรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ติดต่อไปหากัวหลิน บอกให้เธอมาที่โรงพยาบาล
พอวางสายไป เธอก็พบว่าน้ำเกลือของเธอเหลือแค่ก้นขวดแล้ว แล้วนึกถึงที่เมื่อครู่รับปากเจี่ยงเวินอี๋ไว้ ก็เลยดึงเข็มที่อยู่ตรงหลังมือออกทันที สวมเสื้อคลุม แล้วขึ้นไปดูลี่เจิ้ง
ถึงแม้ว่าในใจของหานฉ่ายหลิงจะไม่ชอบเด็กคนนี้เลยสักนิด แต่ว่า ก็ต้องเสแสร้งแกล้งทำสักหน่อย ! ยังไงก็แค่คนทุพพลภาพ คนตายที่ยังมีชีวิตก็เท่านั้น ไม่เป็นไรหรอก
ลิฟต์ขึ้นไปยังชั้นบนสุด ห้องที่ลี่เจิ้งพักอยู่นั้น เป็นห้องผู้ป่วยดูแลพิเศษแบบVVIP นอกจากจะมีคนคอยเฝ้าดูแลความปลอดภัยทั้งวันทั้งคืนแล้ว ก็ยังมีพยาบาลเฉพาะคอยดูแล เพื่อคอยดูแลตัวเด็กในทุกสถานการณ์ และให้การรักษาได้อย่างทันท่วงที
แต่ว่าสถานการณ์ของลี่เจิ้งกลับไม่ค่อยสู้ดีนัก เอาแต่นอนอยู่อย่างนั้น ไม่ได้สติ
ตอนที่หานฉ่ายหลิงมาถึงด้านนอกห้องผู้ป่วย เจี่ยงเวินอี๋ก็กำลังเดินออกมาพอดี
ดูออกเลยว่า คุณยายนั้นเป็นห่วงหลานชายมาก ทุกครั้งที่มาต่างก็ร้องไห้จนขอบตาแดงก่ำ จนเลขาหลี่ต้องพยุงออกมาข้างนอก
“คุณป้า” เธอเอ่ยเรียกเสียงหนึ่ง
เจี่ยงเวินอี๋พยักหน้าให้เธอ เป็นสัญญาณให้เธอเข้าไปข้างใน แล้วตัวเองกับเลขาหลี่ก็ลงไปชั้นล่าง
หานฉ่ายหลิงเข้าไปในห้องผู้ป่วย แต่ก็ไม่มีอะไรทำ มองดูเด็กผู้ชายที่นอนอยู่บนเตียง ใบหน้าขาวซีดนั้นดูคล้ายกับลี่เฉินซีอยู่บ้าง สมแล้วที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา ยีนนั้นแข็งแกร่งมาก
โชคยังดีที่วางแผนไว้แต่เนิ่นๆ ทำให้เด็กคนนี้นอนหมดสติเสียก่อน ไม่อย่างนั้น พอซูย้าวกลับมา ยังไม่รู้เลยว่าเขาจะช่วยแม่แท้ๆของเขาขนาดไหนอีก !
หานฉ่ายหลิงนั่งอยู่ในห้องผู้ป่วยสักพัก จากนั้นก็เดินออกมา
ที่น่าแปลกก็คือยามสองคนที่อยู่หน้าประตู กลับจากไปแล้ว
เธอเองก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะยังไงก็ถึงเวลาพักเที่ยงแล้ว แล้วเดินตรงไปทางลิฟต์
ตอนที่เดินไปถึงตรงลิฟต์นั้น ด้านหลังก็มีกลิ่นไหม้ลอยมา ดูเหมือนจะมีอะไรบางอย่างลุกไหม้ ส่งกลิ่นแสบจมูก
……
เจี่ยงเวินอี๋กับเลขาหลี่ลงมาที่ชั้นล่าง เพิ่งจะออกจากลิฟต์ ก็ได้ยินเสียงสัญญาณเตือนภัยดังขึ้น
“เกิดเหตุเพลิงไหม้ที่ห้องผู้ป่วยพิเศษชั้นบนสุดขึ้นอย่างกะทันหัน โปรดอพยพเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ทุกคนออกจากพื้นที่……”
เสียงสัญญาณเตือนภัยดังขึ้น ประโยคง่ายๆเพียงไม่กี่คำเท่านั้น แต่กลับเสียดแทงหูของเจี่ยงเวินอี๋เป็นอย่างมาก
แผนกพยาบาลพิเศษขั้นบนสุด นั่นมันห้องของลี่เจิ้งไม่ใช่หรือ ? หรือว่าไฟจะไหม้ตรงนั้น ?
เธอแทบจะไม่ทันได้คิด รับหันหลังเดินกลับไปทางลิฟต์ทันที เลขาหลี่รีบหยุดเธอเอาไว้ “คุณนายครับ ชั้นบนสุดไฟไหม้ ! คุณจะขึ้นไปตอนนี้ไม่ได้นะครับ !”
“นายถอยไปเดี๋ยวนี้นะ !” เจี่ยงเวินอี๋ผลักเลขาหลี่ออก “คนที่นอนอยู่ชั้นบนสุด เป็นหลานชายแท้ๆของฉัน ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นกับลี่เจิ้ง ชีวิตที่เหลืออยู่ของฉันจะมีความหมายอะไรอีก?”
เจี่ยงเวินอี๋อยากจะใช้ลิฟต์ กดปุ่มอยู่หลายครั้ง แต่ตัวลิฟต์นั้นกำลังขึ้นไปยังชั้นบนแล้ว เลยไม่สามารถลงมาได้ในทันที ส่วนลิฟต์ตัวอื่นถูกระงับการใช้งาน เพราะไม่มีผู้ใช้งาน
เธอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินไปทางบันไดของตึก
เลขาหลี่รีบตามขึ้นไป “คุณนายครับ คุณอายุเท่าไหร่แล้ว ! ชั้นบนสุดอยู่ที่ชั้นสามสิบกว่านะครับ คุณจะปีนขึ้นไปไหวได้ยังไง !”
ถึงแม้จะปีนขึ้นไปได้ เกรงว่าทุกอย่างก็คงสายไปแล้ว !
เสียงแตรรถดับเพลิงและรถตำรวจด้านนอกดังหนวกหู ยังมีพวกยามของโรงพยาบาลด้วย ต่างก็กระจายตัวบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการอพยพ
เจี่ยงเวินอี๋ร้อนรนจนเหมือนคนบ้า กระชากคอเสื้อของเลขาหลี่ “ไม่ว่าตอนนี้นายจะพูดอะไร ฉันก็จะขึ้นไปให้ได้ ! เจิ้งเอ๋อเป็นชีวิตของฉัน ฉันไม่มีทาง และไม่อนุญาตให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเด็กคนนั้นอีก !”
พอพูดจบ เจี่ยงเวินอี๋ก็ผลักเลขาหลี่ออก แล้วก้าวขึ้นบันไดไป