เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - ตอนที่ 331
เกิดเพลิงไหม้ขึ้นที่ชั้นบนสุดไฟลุกลามอย่างรวดเร็ว ควันโขมงพวยพุ่งออกมา
เจี่ยงเวินอี๋เดินขึ้นบันไดยังเดินขึ้นไปไม่ถึงชั้นห้า ก็สำลักกลุ่มควันหนาๆจนลืมตาไม่ขึ้นแล้ว เลขาหลี่จึงต้องห้ามเธอเอาไว้ พูดโน้มน้าว “นายหญิงคะ คุณอายุมากแล้ว ต่อให้ฝืนเดินขึ้นไปจนถึงชั้นห้า ก็เกรงว่าจะช่วยคุณหนูไม่ได้นะคะ แล้วยังส่งผลเสียต่อร่างกายของคุณด้วย!” อีกอย่างด้วยสุขภาพของเจี่ยงเวินอี๋ ก็ยากมากที่จะขึ้นไปจนถึงชั้นบนสุดได้
“เธอถอยไปนะ! ต่อให้ฉันต้องตาย ก็ต้องช่วยเจิ้งเอ๋อให้ได้! เขาเป็นหลานเพียงคนเดียวของฉัน เป็นทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลลี่ในวันข้างหน้า!”
เจี่ยงเวินอี๋ไม่ฟังคำห้ามปราม ไม่สนใจสุขภาพร่างกายของตนเองเลยสักนิด ผลักเลขาหลี่ออกไปอย่างแรง แล้วเดินขึ้นไปอีกครั้ง จะอวดดีอย่างไร เธอก็เป็นแค่ผู้หญิง อีกอย่างอายุขนาดนี้แล้ว สุขภาพก็ไม่ได้ดีมาก
ควันโขมงที่ลอยอยู่เต็มทางขึ้นอาคาร คนหนุ่มสาวหายใจเข้าไปก็รู้สึกแน่นหน้าอกจนทนไม่ไหว ไอไม่หยุด แล้วผู้สูงวัยอย่างเจี่ยงเวินอี๋ที่อายุหกสิบกว่าแล้วล่ะจะเป็นอย่างไร?
เธอทนไม่ไหวอยู่แล้ว เลขาหลี่จึงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา ให้เธอปิดปากปิดจมูกเอาไว้ แม้จะทำเช่นนี้ แต่ก็ไม่เต็มใจอยู่ดี
โชคดีที่นักดับเพลิงมาได้ทันเวลา รปภ.ก็เข้ามาช่วยเหลือและอพยพกลุ่มคนออกไป เจอเจี่ยงเวินอี๋กับเลขาหลี่พอดี เธอต่อว่าให้พวกเขาหลบไป แต่พวกเขาไม่สนใจการต่อต้านของเจี่ยงเวินอี๋เลย พาทั้งสองคนลงไปจากตึกทันที
“เจิ้งเอ๋อของฉัน……”
เจี่ยงเวินอี๋โดนพาลงมาถึงด้านนอกโรงพยาบาล แต่กลับตะโกนไปทางโรงพยาบาลอย่างสุดเสียง ด้วยความกระวนกระวายใจมาก
เธอคว้านักดับเพลิงที่พาเธอออกมา จับแขนของอีกฝ่ายเอาไว้ไม่ยอมปล่อย “ฉันขอร้องคุณล่ะ ต้องช่วยหลานฉันให้ได้นะ เขาอยู่ในห้องคนไข้ด้านในสุดของชั้นบนสุด ยังไม่ได้สติเลย ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้”
“คุณอย่ากังวลเลยครับ คนของพวกเราไปช่วยแล้ว!” นักดับเพลิงปลอบเธอเล็กน้อย แล้วหมุนตัววิ่งเข้าไปในอาคาร
เจี่ยงเวินอี๋คิดๆแล้ว ท่ามกลางฝูงชนที่วุ่นวายในสถานการณ์นี้ ราวกับกำลังมองหาอะไร เห็นรถตำรวจที่เข้ามาเป็นแถวทางด้านนั้น เธอจึงพุ่งเข้าไปหาทันที
แผนกผู้ป่วยในของโรงพยาบาลจงซินเกิดเพลิงไหม้ แน่นอนว่าเป็นเรื่องใหญ่ ผู้บังคับบัญชาของสถานีตำรวจทั้งหมดก็มาถึงในเวลาเดียวกัน ให้คำชี้แจงด้วยตนเอง รับรองว่าพนักงานต้องปลอดภัย และคนที่มาพวกนี้ เจี่ยงเวินอี๋ก็รู้จักทั้งนั้น
มีคนเห็นเธอจึงเดินเข้ามาหาทันที ยังไม่รอให้ทักทาย เจี่ยงเวินอี๋ก็เดินไปใกล้ๆผู้อำนวยการจาง พูดออกไปตรงๆ “เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ ไม่ว่ายังไงก็ต้องตรวจสอบให้ชัดเจน เกิดเพลิงไหม้เพราะอะไรกันแน่ ถ้าจับคนร้ายไม่ได้ ถ้าหลานของฉันเกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดขึ้น……”
เธอลากเสียงยาว หางตาเห็นถึงผู้อำนวยการของโรงพยาบาลจงซินหลินเสวหรูอยู่ท่ามกลางกลุ่มคน สายตาจึงมองไปที่เขาทันที แล้วพูดต่อ “ถ้าจับคนร้ายไม่ได้ ฉันจะทำให้เมือง A ไม่มีโรงพยาบาลจงซินอีกต่อไป!”
ในทันที เธอไม่ฟังเขาอธิบายอีก แต่ตะโกนออกมาต่อหน้าทุกคน “ใครสามารถช่วยหลานฉันลี่เจิ้งออกมาได้ ตระกูลลี่ของฉันจะมอบเงินก้อนใหญ่เป็นรางวัล!”
“ห้าล้าน ไม่สิ ห้าสิบล้าน!”
“อยากได้เท่าไหร่ให้เท่านั้น!”
ต่อให้บริษัทลี่ซื่อต้องขาดทุน สิ้นเนื้อประดาตัว เธอก็อยากยืนยันว่าลี่เจิ้งปลอดภัย ถ้าเด็กคนนี้เป็นอะไรไป งั้น ตระกูลลี่ในวันข้างหน้า……
คิดๆถึงเรื่องนี้อยู่เล็กน้อย เจี่ยงเวินอี๋ก็เศร้าโศกเสียใจ ลี่เจิ้งมาอยู่กับเธอตั้งแต่สามขวบ ตัวติดกันมาโดยตลอด เด็กคนนั้นเป็นทั้งชีวิตของเธอ!
ผู้บังคับบัญชาและผู้รับผิดชอบทั้งหมด ยังมีหลินเสวหรูอีกคนต่างก็เข้าใจความรู้สึกของเจี่ยงเวินอี๋ เข้าไปปลอบใจใกล้ๆ แล้วกำชับเจ้าหน้าที่ผู้ช่วยเหลือ ว่าต้องช่วยลี่เจิ้งและคนอื่นๆที่หมดสติออกมาให้ได้
และในตอนนี้ เพลิงไหม้ที่ชั้นบนสุด จู่ๆก็เกิดระเบิดขึ้น
เสียงระเบิดที่ดังลั่น สนั่นไปทั่วท้องฟ้า
เจี่ยงเวินอี๋เห็นแล้ว หัวใจแทบหยุดเต้นทันที นั่งแน่นิ่งอยู่บนพื้นหายใจลำบาก เลขาหลี่อยากจะประคองเธอขึ้นมา แต่อย่างไรก็ดึงไม่ขึ้น
“เจิ้งเอ๋อของฉัน……”
เธอพร่ำเพ้อโดยที่ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา ไม่อยากเชื่อเลยจริงๆ เมื่อครู่เธอเพิ่งได้เจอหน้าหลาน นี่จะบอกว่าแค่พริบตาก็……ต้องจากกันไปตลอดกาลแล้วงั้นเหรอ? !
“คุณป้าคะ? เจิ้งเอ๋ออยู่นี่ค่ะ!”
ฉับพลัน เสียงผู้หญิงที่อยู่ไม่ไกลก็ลอยเข้ามา เจี่ยงเวินอี๋เหม่อลอย มองไปตามเสียง เห็นหานฉ่ายหลิงที่อยู่ท่ามกลางฝูงชน
และข้างกายเธอ เป็นรถเข็นคันหนึ่ง ลี่เจิ้งที่หมดสตินั่งอยู่บนนั้น แล้วยังมีพยาบาลที่ติดตามเด็กน้อยมาด้วย อันที่จริงสำหรับเด็กที่หมดสติ จู่ๆโดนย้ายออกมาจากห้องคนไข้ ก็มีความเสี่ยงจริงๆ
เจี่ยงเวินอี๋แทบไม่กล้าเชื่อสายตาของตนเอง ดึงดันลุกขึ้นด้วยความลนลาน พุ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว ก้มตัวลงไปตรวจสอบร่างกายของเจิ้งเอ๋ออย่างละเอียด ทุกอย่างยังเหมือนเดิม แม้แต่ชุดคนไข้บนร่างกายก็ไม่มีร่องรอยโดนไฟไหม้
ในทันที จิตใจที่ตึงเครียดของเธอ ก็ผ่อนคลายลงได้
“ฉ่ายหลิง ทำไมเธอถึงอยู่กับเจิ้งเอ๋อได้? แล้ว นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” เธอถาม
หานฉ่ายหลิงพูดขึ้น “ไฟไหม้ได้ยังไงฉันไม่รู้ค่ะ ฉันเพิ่งออกมาจากห้องคนไข้ของเจิ้งเอ๋อ ก็ได้ยินเสียงเตือน เห็นทางเดินมีควันโขมง ฉันไม่มีเวลาคิดอะไรมาก ก็วิ่งกลับไปที่ห้องคนไข้เอารถเข็นพาเจิ้งเอ๋อออกมาก่อน……”
คนไม่น้อยรุมล้อมเข้ามา แล้วก็มีหมอกับพยาบาลอีกหลายคน รีบเตรียมเปลกับเตียงคนไข้ เพื่อทำการตรวจร่างกายของลี่เจิ้งในขั้นต้น
ด้านนี้กำลังตระเตรียมด้วยความกระตือรือร้น แต่หานฉ่ายหลิงกลับหน้าตารู้สึกผิด เสียงสั่นไหว “ฉัน……บุ่มบ่ามเกินไปใช่ไหมคะ? ทำให้เจิ้งเอ๋อบาดเจ็บหรือเปล่าคะ?”
“ไม่จ๊ะ!” เจี่ยงเวินอี๋พูดออกมาอย่างมั่นใจ แล้วจับมือของเธอเอาไว้ “กลับกัน เธอช่วยเจิ้งเอ๋อเอาไว้ เธอเป็นผู้มีบุญคุณอันยิ่งใหญ่ต่อตระกูลลี่ของพวกฉัน ฉ่ายหลิง ป้าไม่รู้จะขอบคุณเธอยังไงดีเลย!”
“คุณป้าอย่าพูดอย่างนี้เลยค่ะ ฉันแค่ทำเรื่องที่ควรทำเท่านั้นเอง!” หานฉ่ายหลิงก้มหน้าเล็กน้อยด้วยความเคอะเขิน
จริงๆแล้ว เธอก็ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆถึงไฟไหม้
แต่ตอนที่ได้ยินเสียงเตือน ตอนที่เห็นทางเดินมีควันโขมงลอยขึ้นมา ความคิดแรกของเธอก็คือ ถ้าตนเองช่วยเจิ้งเอ๋อเอาไว้ นั่นก็เป็นความดีความชอบไม่ใช่เหรอ?
อย่างไรก็ตามเด็กแปดขวบกับรถเข็นหนึ่งคัน เธอก็ไม่ได้ลำบากลำบนอยู่แล้ว
ถือโอกาสแสดงน้ำใจเล็กน้อยก็เท่านั้น
คิดไม่ถึง ว่าจะได้ผลดี
ไม่รู้จริงๆว่าเกิดเพลิงไหม้ได้อย่างไร ถ้ามีคนเจตนาทำขึ้น งั้นท่ามกลางความบังเอิญนี้ ก็ถือว่าได้ช่วยเธออีกแรงแล้วล่ะ!
เกิดเรื่องใหญ่ที่ใจกลางเมือง ถนนใกล้ๆโดนปิดเส้นทางทั้งหมด ตอนที่ลี่เฉินซีขับมาถึงครึ่งทางก็ได้ยินข่าวคราว ตอนมาถึง จึงเห็นฉากนี้พอดี
ลี่เจิ้งโดนยกขึ้นไปบนรถพยาบาล ตอนนี้ยังไม่พบปัญหาใดๆ เจี่ยงเวินอี๋ที่เกือบจะสูญเสียหลานชาย ควบคุมความรู้สึกของตนเองเอาไว้ไม่ได้ น้ำตาไหลพราก “เฉินซี ครั้งนี้โชคดีที่มีฉ่ายหลิง ไม่งั้น ไม่รู้จริงๆว่าเจิ้งเอ๋อ……”
เธอพูดต่อไปไม่ได้แล้ว หมุนตัวขึ้นรถพยาบาลตามเลขาหลี่ไปกับหลานชาย
หานฉ่ายหลิงเม้มปากอย่างเคอะเขินเล็กน้อย เพียงพูดขึ้น “คุณป้าก็พูดเกินไป ตอนนั้นฉันไม่ได้คิดอะไรมาก แค่อยากให้เจิ้งเอ๋อปลอดภัยก็พอแล้ว”
“ไม่ว่าจะพูดยังไง ก็ขอบคุณนะ ที่ช่วยลูกชายผม” ลี่เฉินซีกำลังมองเธอ สายตาหม่นหมองซับซ้อน
“ไม่เป็นไรเลย!” หานฉ่ายหลิงพูดอย่างนั้น แต่จู่ๆร่างกายก็ไม่มั่นคง เท้าซ้ายที่เข้าเฝือกเอาไว้ไร้เรี่ยวแรง ร่างกายโอนเอนกำลังจะล้ม
เห็นอย่างนี้ ลี่เฉินซีจึงใช้แขนยาวๆ โอบเธอเข้ามาในอ้อมอก แล้วประคองเอวอุ้มเธอขึ้นมา
“เฉินซี……” น้ำเสียงอ่อนโยนของเธอ มือที่บอบบางคว้าคอเสื้อคลุมของเขาเอาไว้
ลี่เฉินซียิ้มมองเธอ “คุณไปเยี่ยมเจิ้งเอ๋อ แต่ดันลืมไปว่าตัวเองก็เป็นคนไข้ ข้อเท้าคงเจ็บมากเลยสินะ!”
“ฉัน……”
เธอกำลังอยากจะพูดอะไรหน่อย แต่หางตากลับสังเกตเห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปทางด้านหลังของฝ่ายชายกำลังลงจากรถ ดวงตาเรียวยาวของหานฉ่ายหลิงเปล่งประกาย ในทันทีร่างเล็กๆที่บอบบางจึงมุดเข้าไปในอ้อมอกของฝ่ายชายอย่างเป็นธรรมชาติ “แค่คุณพูดก็รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ฉันเจ็บเท้าจัง เฉินซี คุณอุ้มฉันอีกเดี๋ยวได้ไหม?”
“อื้ม ผมจะอุ้มคุณไปส่งที่โรงพยาบาล”
ลี่เฉินซีอุ้มเธอออกไป แต่กลับไม่ได้สังเกตเห็น ที่ด้านหลังไม่ไกล ซูย้าวที่เพิ่งลงจากรถ เห็นพวกเขาอย่างนี้ ก็อึดอัดใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก