เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - ตอนที่ 332
‘วันนี้เวลาสิบห้านาฬิกายี่สิบสามนาที ชั้นบนสุดแผนกผู้ป่วยในโรงพยาบาลจงซินเกิดเพลิงไหม้อย่างฉับพลัน ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต กำลังตรวจสอบหาสาเหตุเพลิงไหม้……’
ข่าวที่ถ่ายทอดทางโทรทัศน์ สื่ออินเตอร์เน็ต ข่าวช่วงเย็นหลายช่องทาง ล้วนแต่รายงานการเกิดเพลิงไหม้ที่โรงพยาบาลจงซินในวันนี้
ลี่เจิ้งปลอดภัยดี ลี่เฉินซีจัดการให้ลูกชายไปอยู่ที่โรงพยาบาลส่วนตัวภายใต้ชื่อของเขาแล้ว ยังคงเป็นพยาบาลเฉพาะทาง และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ผลัดเปลี่ยนเวียนกันมาดูแล ตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ จำนวนคน ยังมากขึ้นกว่าเดิมถึงสองเท่า เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้นอีก
เพื่อรับรองความปลอดภัย ตำแหน่งของลี่เจิ้ง นอกจากเจี่ยงเวินอี๋และเลขาผู้ช่วยที่เชื่อถือได้ข้างกายแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ตำแหน่งที่แน่นอน รู้เพียงแค่เป็นโรงพยาบาลส่วนตัวที่อยู่ภายใต้ชื่อของบริษัทลี่ซื่อ
แต่โรงพยาบาลส่วนตัวที่บริษัทลี่ซื่อลงทุนสร้างขึ้นมา ในเมืองนี้ก็มีเกือบสิบแห่ง ยังไม่นับของเมืองอื่นๆอีก ราวกับงมเข็มในมหาสมุทร จุดประสงค์ของคนที่ให้สนใจปะปนกันเต็มไปหมด
ผ่านเรื่องนี้มาได้ เจี่ยงเวินอี๋ยังคงหวาดหวั่น อยู่ข้างกายของหลานชายตลอดเวลา แทบจะไม่ยอมออกห่างไปไหนเลย
เข้าใจจิตใจของคนแก่ อันที่จริงก็เป็นย่าหลานกัน เธอเลี้ยงดูมาเองกับมือ ไม่กล้าจินตนาการจริงๆ ถ้าตอนนั้นหานฉ่ายหลิงไม่ช่วยลี่เจิ้งออกมา เจี่ยงเวินอี๋จะทำอย่างไร
ที่ลานจอดรถด้านนอก ลี่เฉินซีกำลังคาบบุหรี่ ยืนอยู่ริมถนนข้างต้นไม้ใหญ่ ร่างที่เงียบงัน กำลังจ้องมองรถราที่วิ่งกันขวักไขว่ หานฉ่ายหลิงก็กำลังจ้องมองด้านหลังของเขาอีกที แค่รู้สึกว่าด้านหลังนั้นช่างอ้างว้างเหลือเกิน
เธอเดินเข้าไป ส่งเสียงอ่อนโยน “เฉินซี……”
ได้ยินเสียงของหญิงสาว ลี่เฉินซีหลับตาลง ซ่อนความรู้สึกทั้งหมดในดวงตาอย่างรวดเร็ว แล้วจึงหันไปหาเธอ เอ่ยปากเรียบๆ “ฉ่ายหลิง เท้าคุณเป็นยังไงบ้าง?”
“เมื่อกี้หมอฉีดยาแก้ปวดให้ ไม่เป็นอะไรแล้วแหละ” เธอก้มหน้ามองดู ปกติเคยชินกับรองเท้าส้นสูง แต่หลังจากกระดูกหัก เธอจึงต้องฝืนใจใส่รองเท้าส้นเตี้ยไปก่อน
อาจจะเพราะจู่ๆก็เปลี่ยนรองเท้า ยืนอยู่ตรงนี้ ก็รู้สึกเตี้ยกว่าลี่เฉินซีเยอะเลย
“งั้นก็ไม่ควรจะเอาแต่ยืน เรื่องวันนี้โชคดีที่มีคุณ ขอบคุณนะ” เขาขอบคุณอีกครั้ง
ความเกรงใจอย่างนี้ กลับทำให้หานฉ่ายหลิงไม่ค่อยชิน จึงรีบพูดขึ้น “สุภาพกับฉันอย่างนี้ทำไม? ฉันก็ไม่ได้ทำเรื่องยิ่งใหญ่อะไรมากมาย ไม่ต้องขนาดนี้ก็ได้!”
“ไม่ได้ คุณช่วยชีวิตเจิ้งเอ๋อ” ลี่เฉินซีแทบไม่กล้าเชื่อเลย ถ้าวันนี้เจิ้งเอ๋อเกิดเรื่องขึ้น งั้น เจี่ยงเวินอี๋ก็อาจจะ……
เป็นไปได้ว่าภายในวันเดียวกัน เขาจะสูญเสียคนสำคัญในชีวิตไปถึงสองคน
ไม่กล้าคิดเลยจริงๆ น่ากลัวเกินไป
ดังนั้นตอนนี้ แววตาของเขาที่กำลังมองหานฉ่ายหลิง เต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ “ก็เป็นคุณที่ช่วยเหลือครอบครัวผม แต่ฉ่ายหลิง คืนนี้ผมรู้สึกไม่ดี อยู่เป็นเพื่อนคุณไม่ได้ คุณจะโอเคไหม?”
หานฉ่ายหลิงชะงักเล็กน้อย แล้วรีบพยักหน้าทันที “แน่นอน! เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ คุณควรจะไปอยู่เป็นเพื่อนคุณป้า แล้วดูแลเจิ้งเอ๋ออีก ฉันไม่ต้องให้คุณอยู่เป็นเพื่อนหรอก!”
พูดแล้ว เธอกำลังมองลี่เฉินซี กำลังมองกรอบหน้าที่คมชัด ที่แสดงความเศร้าเสียใจออกมาเล็กน้อย ในใจของตนเองก็สะเทือนใจไปด้วย จึงเดินเข้าไปใกล้ๆจับมือของเขา
“เฉินซี คุณก็เหนื่อยแล้ว เดี๋ยวกลับไปพักผ่อนให้เต็มที่ นอนสักหน่อยเถอะ!”
เขายิ้มบางๆ “ผมไม่เป็นไร เท้าของคุณยังไม่หายดี วันนี้คุณก็มาเจ็บตัวอีก เดี๋ยวผมจะให้หวางอี้ส่งคุณกลับไปนะ”
“ไม่ต้องหรอก กัวหลินมาแล้ว เธอไปส่งฉันได้” หานฉ่ายหลิงกำชับเขาอีกเล็กน้อย ลี่เฉินซีมองเธอ ขึ้นรถกลับไป
เธอเอาแต่มองร่างของชายหนุ่มที่ค่อยๆห่างออกไปผ่านกระจกมองหลัง จนมองไม่เห็นแล้ว แต่หัวใจราวกับยังคงอยู่บนร่างของเขา ไม่เคยห่างไปไหน
กัวหลินมองใบหน้าด้านข้างของเธอเล็กน้อย จู่ๆก็เอ่ยปากขึ้น “ประธานหานคะ คุณไม่ต้องเป็นห่วงประธานลี่หรอก เขาจะไม่เป็นไรค่ะ”
“เขาไม่เป็นไรอยู่แล้วแหละ ฉันแค่สงสารเขา!” หานฉ่ายหลิงถอนใจ “เดิมทีบริษัทลี่ซื่อก็งานเยอะอยู่แล้ว ตอนนี้มาเกิดเรื่องอย่างนี้อีก เฮ้อ……”
ฟังแล้ว กัวหลินกลับยิ้มเยาะขึ้นมา “ประธานหาน คุณคิดว่าที่จู่ๆประธานลี่ซื้อบริษัทเกมมา เพื่อขยายขนาดธุรกิจของบริษัทลี่ซื่อจริงๆเหรอคะ?”
แค่ประโยคนี้ ทำให้บรรยากาศในรถเงียบงันขึ้นมาทันที
ดวงตาเรียวยาวของหานฉ่ายหลิงลู่ลงเล็กน้อย ใบหน้าปรากฏความไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน
ต่างก็พูดกันว่าชีวิตอยู่ยากมากพอแล้ว บางเรื่องไม่จำเป็นต้องเปิดเผยหรอก
รู้อยู่แล้วแต่ไม่พูดออกไป
นี่สิถึงจะเป็นท่าทีของคนฉลาด
แต่กัวหลินไม่เหมือนกัน เธอไม่ได้โง่ เพียงแค่คิดแทนหานฉ่ายหลิงอย่างใส่ใจ
“ประธานหาน ฉันรู้ว่าคำพูดพวกนี้ ฉันไม่ควรพูด แต่ฉันเห็นคุณเป็นอย่างนี้ มันไม่คุ้มค่ากับคุณเลยจริงๆค่ะ!” กัวหลินพูดขึ้น
หานฉ่ายหลิงกำลังมองแสงยามค่ำคืนนอกรถ ยิ้มขึ้นทันที “กัวหลิน เธออยู่กับฉันมากี่ปีแล้ว?”
“น่าจะสามปีกว่าแล้วนะคะ”
หานฉ่ายหลิงพยักหน้าเล็กน้อย “นานขนาดนี้แล้ว งั้นเธอก็คงเข้าใจนะว่า บางเรื่อง ไม่พูดออกมาจะดีที่สุด!”
กัวหลินหายใจเข้าลึกๆ “ฉันรู้ค่ะ แต่คุณก็น่าจะเข้าใจ การหลอกตัวเองและคนอื่น ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนะคะ”
หานฉ่ายหลิงตกตะลึงเล็กน้อย แต่ไม่ได้พูดอะไร
“แต่ไฟไหม้ในครั้งนี้ การกระทำของคุณ นายหญิงกับประธานลี่ซาบซึ้งในตัวคุณมาก คาดว่าต่อไปคงจะมีประโยชน์กับคุณอยู่บ้างนะคะ!”
กัวหลินพูดไปเรื่อยเปื่อย
แต่หานฉ่ายหลิงกลับไม่ได้ฟังเฉยๆแล้วปล่อยผ่านไป
คำพูดนี้ที่เข้ามาในหูของเธอ ครู่เดียว ดวงตาเรียวยาวก็เปล่งประกายออกมา หานฉ่ายหลิงเหลือบมองผู้หญิงที่กำลังขับรถโดยปริยาย รีบพูดขึ้น “เหตุการณ์ไฟไหม้ในวันนี้ เกี่ยวกับเธองั้นเหรอ?”
กัวหลินไม่ได้ตอบ เพียงแค่ตั้งใจขับรถต่อไป แล่นตามถนนไปอย่างรวดเร็ว
หานฉ่ายหลิงยิ่งคิดก็ยิ่งเป็นไปได้ สีหน้าแตกตื่น “เป็นเธอจริงๆเหรอ? กัวหลิน ทำไมเธอต้องทำขนาดนี้?”
“ฉันจะทำยังไงก็เพื่อประธานหานทั้งนั้นค่ะ อีกอย่างฉันทำอย่างระมัดระวังมาก พวกเขาหาไม่เจออะไรแน่นอนค่ะ ต่อให้มีวันที่เจอร่องรอยอะไรจริงๆ คุณก็ยืนยันได้เลยว่าไม่รู้เรื่อง ทั้งหมดเป็นผลที่ฉันทำเองโดยไม่ได้รับอนุญาต!” กัวหลินพูดขึ้น
วินาทีนั้น หานฉ่ายหลิงใจสั่นไหว “เธอ……”
ไม่นึกว่าที่เธอตั้งใจพยายาม ค่อยๆวางแผนทีละขั้นตอน สุดท้ายแล้วยังเทียบไม่ได้กับเล่ห์เหลี่ยมเล็กๆของผู้ช่วยข้างกายเลย เป็นเพราะความสามารถของเธอไม่ได้เรื่อง หรือแผนการของกัวหลินละเอียดรอบคอบกันแน่ หรือจะเป็นเพราะสาเหตุอื่นๆล่ะ?
เธอกำลังครุ่นคิด แต่กัวหลินกลับพิจารณาสีหน้าของเธออย่างละเอียด แล้วพูดขึ้นอีกครั้ง “นี่ฉันทำผิดจริงๆเหรอคะ? ประธานหาน ถ้าคุณกังวลว่าจะพัวพันไปถึงคุณ งั้นพรุ่งนี้ฉันไปมอบตัวที่สถานีตำรวจได้นะคะ!”
“ไม่ๆ……”
หานฉ่ายหลิงส่ายหน้าด้วยสัญชาตญาณ “เธอไม่ได้ทำผิด แล้วฉันก็ไม่ได้คิดว่าเธอทำอะไรไม่เหมาะสมด้วย เพียงแค่ลำบากเธอแล้ว ไม่นึกว่าเธอจะทำเรื่องอย่างนี้เพื่อฉัน!”
กัวหลินเพียงยิ้มบางๆ “สามปีก่อน ถ้าไม่ได้เจอประธานหาน แม่ของฉันคงไม่มีชีวิตอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ บุญคุณอันใหญ่หลวงที่คุณมีต่อฉัน เทียบกับเรื่องพวกนี้แล้ว มันไม่สำคัญเลยค่ะ”
“เคยบอกไปแล้ว เรื่องนั้นอย่าพูดถึงเลย มันผ่านไปหมดแล้ว!” หานฉ่ายหลิงยิ้มเยาะอย่างไม่มั่นใจ เคลื่อนสายตาไปที่นอกรถ
เธอเอาแต่สงสัยอยู่ตลอด โรงพยาบาลที่ปกติดี ทำไมจู่ๆถึงเกิดเพลิงไหม้ แล้วยังเป็นชั้นบนสุดที่ ข้างห้องคนไข้ของลี่เจิ้งอีก แล้วยังประจวบเหมาะ ที่ให้เธอไปเจอเข้า
ก็เหมือนกับพระเจ้ามอบโอกาสพลิกตัวที่ดีที่สุดให้แก่เธอ ให้ความรู้สึกที่หายไปจากข้างกาย ตามกลับมาได้ในทันที!
เปรียบเทียบกับการดำเนินการที่ค่อนข้างละเอียดถี่ถ้วนของกัวหลินแล้ว หานต้าเฉิงลูกพี่ลูกน้องของเธอก็เป็นขยะดีๆนี่เอง ถ้าเธอได้รู้จักกัวหลินตั้งแต่แรก ตอนนี้คงไม่ต้องมีเรื่องน่าปวดหัวขนาดนี้หรอก!
นึกถึงตอนนี้ ความคิดในใจอย่างหนึ่งของหานฉ่ายหลิงก็ลอยขึ้นมา คิดอย่างรอบคอบแล้ว ริมฝีปากที่สดใสจึงมีรอยยิ้มที่เปล่งประกาย
รอยยิ้มนั้นที่เปล่งประกายมากขึ้น ทั้งยังเจ้าเล่ห์มากขึ้น เหมือนกับหางแมงป่องที่มีพิษร้าย เพียงยกขึ้นสูงๆก็สามารถเอาชีวิตของคนได้
……
ที่โรงพยาบาลส่วนตัวด้านนี้
ลี่เฉินซีออกมาจากโรงพยาบาล ก็เป็นเวลาห้าทุ่มกว่าแล้ว
เจี่ยงเวินอี๋ยืนยันว่าจะอยู่กับหลานชายที่โรงพยาบาลเอง เขาโน้มน้าวเพียงไม่กี่ประโยค แต่นายหญิงยังคงแน่วแน่ เขาจึงหมดหนทาง
ออกจากโรงพยาบาล เขาไม่ได้รีบร้อนขึ้นรถ แต่กลับให้หวางอี้ขับรถไปรอตนเองที่สี่แยกด้านหน้า แล้วไปซื้อกาแฟกระป๋องสองกระป๋อง ที่เครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติที่อยู่ใกล้ๆโรงพยาบาล
ถือเอาไว้ในมือ เดินไปที่รถ BWM สีดำคันหนึ่งที่จอดอยู่ข้างทาง นิ้วมือเรียวยาว เคาะๆไปที่กระจกรถ
เมื่อกระจกรถเลื่อนลง เขาก็ส่งกาแฟเข้าไป จ้องมองร่างสวยๆที่อยู่ด้านใน “นั่งอยู่นานแล้ว เหนื่อยมากล่ะสิ! ดื่มอะไรหน่อยเถอะ!”