เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - ตอนที่ 363
ตั้งแต่ออกมาจากโรงเรียนอนุบาล เด็กทั้งสองคนก็ขึ้นรถไปนานแล้ว แต่โม่หว่านหว่านยังคงยืนอยู่ข้างรถ เหมือนกับว่ากำลังรอลี่เฉินซีอยู่
พอเห็นเขาเดินออกมาจากข้างใน โม่หว่านหว่านก็รีบยืนตัวตรงขึ้น รอจนเขาเดินเข้ามาใกล้แล้ว ถึงพูดขึ้นว่า “เมื่อกี้ต้องขอบคุณคุณมาก!”
“ขอบคุณผม?” ลี่เฉินซีขมวดคิ้วขึ้นทีหนึ่ง พอได้ยินคำว่า‘ขอบคุณ’คำนี้เหมือนกับว่าจะไม่ค่อยชินเท่าไหร่
โม่หว่านหว่านพูดขึ้นว่า “ถ้าหากไม่ใช่เพราะว่าคุณโผล่มากะทันหัน พวกผู้ปกครองที่พึ่งว่าคนเยอะนั้น ยังไม่รู้เลยว่าจะสร้างความลำบากใจอะไรให้พวกเราบ้าง!”
และที่สำคัญเรื่องแบบนี้ ตั้งแต่เล็กจนโตโม่หว่านหว่านก็ไม่เคยเผชิญมาก่อน แต่ในทีวีหรือว่ารอบข้าง อย่างน้อยก็พอจะเคยเห็นเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนบ้างแล้ว
เด็ก ๆ ที่อายุน้อย ถ้าไม่มีพ่อแม่ละก็ จะต้องโดนเด็กที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันรังแกอย่างแน่นอน ตั้งแต่เด็กก็จะต้องมาได้ยินคำพูดที่ไม่น่าฟังแบบนี้ จิตวิญญาณที่ยังเป็นเด็กบริสุทธิ์อยู่ จะต้องมีตราที่โหดร้ายฝังไว้ในใจแน่
ลี่เฉินซีจ้องมองเธอ แล้วยิ้มอ่อนทีหนึ่ง แต่ว่าคำพูดที่พูดออกมาก็ยังคงค่อนข้างเย็นชาเช่นเดิม “อย่าเข้าใจผิดไปเลย ผมก็แค่พูดไปตามความจริงเท่านั้น ซีซีเป็นลูกสาวของผมมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ในฐานะที่เป็นพ่อ การปกป้องลูกของตัวเองสักหน่อย ไม่จำเป็นต้องขอบคุณหรอก”
“……อ๋อ!” โม่หว่านหว่านดูเขินอายขึ้นเล็กน้อย
แล้วเธอก็รีบหมุนตัวขึ้นรถไป แต่อยู่ ๆ ก็นึกถึงผู้ชายที่อยู่ข้าง ๆ ขึ้นได้ แล้วก็หยุดการกระทำลง “คือว่า คุณอยากจะอยู่ตามลำพังกับลูกสักครู่ไหม?”
ลี่เฉินซีอึ้งไปเล็กน้อย เขามีความคิดอย่างนี้จริง ๆ แต่ว่าพอเห็นท่าทีของซีซี เหมือนกับว่าไม่ได้อยากจะอยู่กับเขาสักเท่าไหร่
โม่หว่านหว่านมองความคิดของเขาออก พอเปิดประตูรถออก แล้วพูดกับเจ้าเด็กน้อยทั้งสองคนที่อยู่ข้างในว่า “คุณอาคนนี้จะเชิญพวกเราไปกินข้าว พวกหนูอยากจะกินอะไรกันจ๊ะ?”
ปฏิกิริยาแรกของเตียวเตียวนั้นไม่ใช่การดีใจ แต่กลับเป็นการหันไปมองซีซีที่อยู่ข้าง ๆ
ไม่รู้ว่าเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ซีซีตอนอยู่ข้างนอกถึงจะไม่เอ่ยปากพูดอะไรเลย แต่ว่าทุก ๆ การกระทำ หรือในใจกำลังคิดอะไรอยู่ แค่มองจากสายตาเตียวเตียวก็สามารถเดาออกได้ ความรู้ใจกันขั้นนี้ ทำให้ซูย้าวและโม่หว่านหว่านต่างก็ตกใจไม่น้อย
ซีซีในตอนนี้ สีหน้าค่อนข้างเรียบเฉย เหมือนกับว่าไม่ได้โกรธหรือว่าตื่นเต้นสักเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นในใจของเตียวเตียวก็เลยโล่งอกไปได้เปลาะหนึ่ง แล้วก็รีบพูดขึ้นว่า “อืม พวกเราอยากกินปิ้งย่างครับ!”
“ปิ้งย่างเหรอ?” โม่หว่านหว่านตกตะลึง แล้วก็ลำบากใจขึ้นมาบ้างอัตโนมัติ “ซูย้าวไม่ได้ให้พวกหนูกินของแบบนี้นะ! เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้ไหม?”
คำพูดของเธอนั้นเพิ่งจะจบลง ลี่เฉินซีที่อยู่ข้าง ๆ ก็พูดขึ้นมาเลยว่า “ปิ้งย่างก็ปิ้งย่างเถอะ! ผมรู้จักอยู่ร้านหนึ่ง ทั้งสะอาดแล้วก็อร่อยด้วย!”
“……”
แล้วก็เป็นแบบนี้ ลี่เฉินซีและหวางอี้ขับรถนำทางอยู่ข้างหน้า แล้วโม่หว่านหว่านก็ขับพาเด็ก ๆ ทั้งสองคนตามอยู่ข้างหลัง หลังจากที่ขับผ่านถนนมาหลายซอย ก็มาถึงร้านที่เขาพูดถึง
ร้านอาหารร้านหนึ่งที่ดูไปแล้วตกแต่งได้อย่างสวยงาม มีสไตล์แบบแนวพังก์อย่างกับเมืองนอก พอเดินเข้าไป กลิ่นของปิ้งย่างก็ลอยพุ่งเข้ามา พอเด็กสองคนได้กลิ่น ก็มีความรู้สึกทนไม่ไหวขึ้นมาบ้างแล้ว
ลี่เฉินซีไม่ได้เลือกเข้าไปในห้องส่วนตัว แต่กลับเลือกโต๊ะที่อยู่ใกล้หน้าต่างที่หนึ่ง ที่ค่อนข้างดูเงียบสงบหน่อย พอทุกคนมานั่งลงแล้ว เขาก็ให้โม่หว่านหว่านเป็นคนสั่งอาหาร
กินอาหารมื้อหนึ่งเสร็จ ลี่เฉินซีกลับไม่ได้กินไปสักเท่าไหร่ เพราะมัวแต่ดูแลโม่หว่านหว่านและเด็กทั้งสองคนอย่างมีความเป็นสุภาพบุรุษมาก มัวแต่ช่วยเด็ก ๆ ปิ้งย่างซีฟู้ด แกะเปลือกออกให้ทีละนิดทีละนิด แล้วจิ้มน้ำจิ้ม แล้วป้อนให้กับเตียวเตียวและซีซี
มองดูท่าทางที่เขาดูแลเด็ก ๆ ได้อย่างละเอียดอ่อนแบบนี้ โม่หว่านหว่านก็อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจอยู่ในอก ไม่ว่าจะดูจากมุมไหน ก็ล้วนสามารถเรียกได้ว่าเป็นชายหนุ่มที่สมบูรณ์แบบคนหนึ่ง เพียงแต่ว่า ถ้าในด้านความรักสามารถรักเดียวใจเดียวได้อีกสักหน่อย ก็จะยิ่งดีมากขึ้นเลย!
บางที่นี่อาจจะคือมนุษย์ไม่มีใครสมบูรณ์แบบละมั้ง!
พอคิดถึงความจริงที่เขาได้หมั้นกับหานฉ่ายหลิงไปแล้ว ในใจโม่หว่านหว่านก็อดไม่ได้ที่จะเกิดความขัดแย้งขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง แต่เมื่อเห็นแก่ที่วันนี้เขาเป็นฝ่ายเข้ามาช่วยแก้ไขสถานการณ์ให้ แต่ว่าก็ยังหาข้ออ้างมาข้อหนึ่งแล้วก็ลุกเดินออกไป เพื่อสร้างโอกาสให้เขาได้อยู่ด้วยกันกับเด็ก ๆ ทั้งสองคน
ในตอนที่เหลือแค่เขากับเด็ก ๆ ทั้งสองคนนั้น ความสนใจของลี่เฉินซีล้วนอยู่บนตัวของลูกสาวทั้งหมด จ้องมองยัยหนูที่ขาวสะอาด สวยงามราวกับตุ๊กตาที่อยู่ในตู้ และเหมือนกับซูย้าวเมื่อตอนเด็กอย่างกับแกะ……
ในหัวสมองก็อดไม่ได้ที่จะมีภาพความทรงจำบางภาพโผล่เข้ามา เด็กสาวที่อายุยังน้อยนั่งอยู่บนชิงช้า ชุดกระโปรงสีขาวปลิวไหวตามแรงลมเริงระบำ ผมยาวสลวยปลิวผ่านข้างแก้ม ภาพแบบนั้น ราวกับนางฟ้าที่ลอยลงมาจากสวรรค์
ความทรงจำสั้น ๆ พาดผ่านไป แล้วสายตาก็มาหยุดอยู่ตรงเด็กผู้หญิงตรงหน้านี้ เขายิ้มอ่อน ๆ แล้วจ้องมองเธอ และพูดเสียงเบาว่า“ซีซี หนูยังชอบกินอะไรอีก? บอกอาได้นะ คราวหน้าอาจจะพาหนูไปกินอีก ดีไหม?”
ท่าทีของซีซีเย็นชา ทำราวกับว่าผู้ชายที่อยู่ข้าง ๆ เป็นอากาศยังไงอย่างงั้น และไม่สนใจไยดีอะไรเลย
เพียงแต่ตั้งหน้าตั้งตาถือส้อมเล็ก ๆ เอาไว้ แล้วกินอาหารที่อยู่ในจานของตัวเองต่อไป
ลี่เฉินซีเองก็ไม่ได้โกรธ ยังคงมองดูลูกสาวต่อไป “ซีซี ทำไมถึงไม่พูดอะไรเลยล่ะ? เป็นเพราะอะไรหรือเปล่า?”
แต่สิ่งที่ตอบกลับเขามา ยังคงเป็นเด็กที่ตั้งหน้าตั้งตากินอาหาร ไม่มีคำพูดคำจาอะไร
“ไม่พูดก็ไม่พูด! แต่ว่า ซีซี หนูรู้ไหมว่าฉันคือใคร? ฉันคือพ่อของหนูนะ! คือพ่อแท้ ๆ……”
ถึงแม้ว่าจะเคยคิดมาก่อนแล้วว่าถ้าเปิดเผยสถานะเลย ก็กลัวว่าลูกจะไม่มีทางรับไหว แต่พอคิดถึงภาพที่เกิดขึ้นที่โรงเรียนอนุบาลเมื่อตอนบ่ายแล้ว เขาก็รู้สึกว่ามีความจำเป็นที่จะต้องให้ลูกรู้ถึงสถานะของตัวเองถึงจะดี
และถึงแม้ว่าเขาจะพูดไปแล้ว แต่ซีซีก็ยังคงไม่มีปฏิกิริยาอะไร
ไม่แม้กระทั่งจะตกใจ หรือว่าแปลกใจ
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ายอมรับ หรือว่ารังเกียจเลย
แต่กลับเป็นเตียวเตียวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เริ่มรู้สึกทนไม่ไหว แล้วมือเล็ก ๆ ก็ผลักแขนเล็ก ๆ ของซีซีทีหนึ่ง “นี่ คุณอาพูดกับเธอน่ะ! อย่างน้อยเธอก็สนใจซะหน่อยซิ!”
อาจจะเป็นเพราะรังเกียจที่เตียวเตียวยุ่งเรื่องมากเกินไป ซีซีก็เลยยักคิ้วขึ้นมาถลึงตาใส่เขาทีหนึ่ง
แค่ถลึงตาทีเดียวนี้ ก็ทำให้เตียวเตียวตกใจจนรีบปิดปากไปทันที แล้วก็ก้มหน้าก้มตากินอาหารต่อไป และไม่กล้ายุ่งเรื่องของเธอต่ออีก
ลี่เฉินซีโดนภาพภาพนี้ทำให้หัวเราะไปเลย แล้วมือใหญ่ก็ลูบหัวของลูกสาวเบา ๆ “ยัยหนูนี่ โหดพอสมควรเหมือนกันนะ……”
คำพูดยังพูดไม่ทันจบ ซีซีก็ปัดมือของเขาออกทีหนึ่ง เหมือนอย่างกับว่ารังเกียจมาก แล้วยังถึงกับใช้มือเล็ก ๆ ของตัวเองคอยลูบผมอยู่ไม่หยุด เหมือนกับว่ารังเกียจว่าเขาสกปรกมากยังไงอย่างงั้นแหละ
อยู่ ๆ ก็มาโดนลูกสาวตัวเองรังเกียจ ชั่วขณะหนึ่ง ในใจของลี่เฉินซี ถึงกลับพูดไม่ออกเลยจริง ๆ
เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ ๆ เย็น ๆ สองที แล้วจ้องมองยัยหนูนี่ ที่ระหว่างหางคิ้วและหางตาสามารถมองเห็นเงาของซูย้าวออกได้ โดยเฉพาะนิสัยที่ดื้อดึงแบบนี้ เหมือนกับเธอราวกับแกะ……
“จำไว้นะ ซีซี ไม่ว่าหนูจะยอมรับหรือว่าไม่ยอมรับ ฉันก็เป็นพ่อของหนู ฉันไม่มีทางที่จะทำร้ายหนูแน่!”
ไม่มีทางตลอดไป
ลี่เฉินซีจ้องมองเธอ ในรอยยิ้มล้วนแฝงไว้ด้วยความอ่อนโยน “รู้ไหม? ว่าหนูยังมีพี่ชายอีกคนหนึ่ง รอให้อีกหน่อยถ้ามีโอกาส พ่อจะพาหนูไปเจอกับพี่ชายนะ ถ้าเขาเห็นหนู จะต้องดีใจมากแน่ ๆ!”
คำพูดพวกนี้ ซูย้าวเองก็เคยบอกมาก่อน
เพราะฉะนั้นในตอนนี้วินาทีนี้ พอซีซีได้ยินอีกครั้ง ก็เงยหน้าขึ้นมามองเขาอย่างอัตโนมัติ ในดวงตาที่ใสสะอาดจนเห็นส่วนลึกนั้น แฝงไว้ด้วยความสงสัยและเครื่องหมายคำถาม
ซีซีอยากจะรู้มาก พี่ชายเหรอ? ทำไมบอกว่าเธอมีพี่ชายอยู่คนหนึ่ง แต่กลับไม่เคยมีใครพาเธอไปเจอล่ะ? หรือว่า ให้พี่ชายมาหาเธอก็ได้ นั่นยิ่งดีเลยไม่ใช่เหรอ?
แต่ว่าความสงสัยพวกนี้ ที่สุดแล้วเธอก็ไม่ได้เอ่ยปากถามออกไป
ลี่เฉินซีจ้องมองดูลูก ซีซีไม่ชอบให้คนอื่นมาแตะต้องตัวเธอ เพราะฉะนั้นเขาจึงทำได้แค่พยายามอดทน และรักษาระยะห่างกับลูกสาว
ตลอดทั้งการสนทนา มีเพียงแต่เขาคนเดียวเท่านั้นที่พูดอยู่ ส่วนซีซีก็กินอาหารไป เตียวเตียวฟังการสนทนาแบบนี้ไป นี่มันช่าง……รู้สึกอึดอัดจริง ๆ
โม่หว่านหว่านกลับมาที่โต๊ะนั่งในช่วงเวลาที่เหมาะสม แล้วลี่เฉินซีก็ลุกขึ้นไปเช็กบิล และคนทั้งกลุ่มถึงได้ออกจากร้านอาหาร
พออุ้มเด็ก ๆ ทั้งสองคนขึ้นไปบนรถก่อนแล้ว โม่หว่านหว่านก็รีบเดินมาขวางเขาเอาไว้ แล้วก็ใช้น้ำเสียงต่ำที่มีเพียงแต่พวกเขาสองคนที่ได้ยินพูดขึ้นว่า “ลี่เฉินซี บางทีฉันอาจจะไม่ควรสงสัยจุดประสงค์ที่คุณมาเข้าใกล้ซีซี ในเมื่อพวกคุณเป็นพ่อลูกกัน แต่ว่า ยังไงเรื่องที่คุณหมั้นกับหานฉ่ายหลิงก็เป็นความจริง ถ้าเกิด ฉันแค่พูดว่าถ้าเกิดนะ……”
เธอหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง ดวงตาสีแอปริคอตใสแจ๋วเกิดความเย็นชาขึ้นมา “ถ้าเกิดคุณอยากจะแย่งซีซีไปจากข้างกายซูย้าว แล้วให้หานฉ่ายหลิงมาเป็นแม่ของบลูกแทนละก็ อย่าได้หวังไปเลย! คุณไม่มีทางทำได้สำเร็จหรอก!”
คำพูดจบลง หัวคิ้วของลี่เฉินซีก็ค่อย ๆ ขมวดขึ้นมา แล้วก็เปิดปากพูดขึ้นอย่างรู้สึกสนุกว่า “คุณรู้สึกว่าผมมีความคิดแบบนั้นถึงได้มาเข้าใกล้ลูกสาวเหรอ?”
“ฉันไม่สนว่าคุณจะคิดแบบไหน ฉันแค่อยากจะเตือนคุณ เพราะว่าห้าปีมานี้ คุณไม่รู้อะไรเลยสักนิดว่าเพื่อคุณแล้วซูย้าวและลูก จะต้องสูญเสียอะไรไปบ้าง ยังไงคุณก็ทำผิดต่อเธอตลอดกาล! สิ่งเดียวที่สามารถทำได้ก็คือ อย่าทำร้ายเธออีก!”