เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - ตอนที่ 414
ตอนที่ซูย้าวตื่นขึ้นมาอีกครั้ง คือตอนที่อยู่ในห้องที่ไม่ใหญ่มากเท่าไหร่ห้องหนึ่ง
เตียงนอนที่อบอุ่น บนตัวห่มผ้าห่มอุ่นๆ ไว้ ในห้องถึงแม้ว่าจะเรียบง่าย แต่ว่าสิ่งที่ควรจะมีก็มีครบ เหมือนกับเป็นบ้านที่มีคนอาศัยอยู่ ดูธรรมดามาก
เธอลองขยับร่างกายดู แล้วก็สังเกตเห็นว่าที่ข้างกายมีอานซินเออร์นอนอยู่ทันที และมีสภาพเดียวกันกับเธอ เสื้อผ้าบนตัวยังอยู่ครบเรียบร้อยไม่มีอะไรเสียหาย เพียงแต่ว่าพอเธอขยับร่างกายปุ๊บ ก็พบว่า……
ทำไมมือของทั้งสองคนถึงได้ถูกผูกไว้ด้วยกันล่ะ?
นี่เป็นเพราะว่ากังวลว่าพวกเธอจะพากันคิดหาวิธีหลบหนีอีกเหรอ? เพราะฉะนั้นก็เลยผูกมือของทั้งสองคนไว้ด้วยกันเหรอ
เธอลองขยับแขนดูเล็กน้อย และผลักอานซินเออร์เบาๆ “คุณอาน? คุณตื่นเถอะ……”
พอผลักไปหลายครั้ง คุณอานก็ค่อยๆ ขยับตัวขึ้นมา หลังจากที่ลืมตาขึ้นมาแล้ว สภาพก็ใกล้เคียงกับซูย้าว แล้วก็วิเคราะห์สถานที่แปลกใหม่นี้รอบหนึ่ง พอสุดท้ายมั่นใจแล้วว่าทั้งสองคนถือได้ว่าปลอดภัยแล้ว ถึงได้โล่งใจได้เปลาะหนึ่ง
“ดูท่า สุดท้ายแล้วพวกเราก็ไม่สามารถหนีออกไปได้อยู่ดี……” ซูย้าวทอดถอนใจ ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่บนเรือ เธอก็รู้สึกแปลกๆ แล้วจะจัดการกับผู้ชายคนหนึ่งได้ง่ายขนาดนี้เลยเหรอ?
ที่สำคัญ ยังส่งคนมาเฝ้าดูพวกเธอแค่คนเดียว มันจะง่ายเกินไปหรือเปล่า? แต่คิดไม่ถึง แค่แป๊บเดียวโจรอีกพวกหนึ่งก็มาถึงแล้ว
อานซินเออร์ลุกขึ้นมานั่ง แล้วก็เห็นกุญแจมือที่อยู่บนข้อมือทั้งสองแล้ว ตัวเธอในตอนนี้ ผมยาวที่ยุ่งเหยิงประบ่า หลังจากที่ผ่านความทรหดมาหนึ่งวันหนึ่งคืน เครื่องสำอางบนหน้าก็ได้เลอะเลือนไปหมดแล้ว บนใบหน้าที่ละเอียดอ่อนเต็มไปด้วยร่องรอยของความเหนื่อยล้า แล้วนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างเบื่อหน่าย “พวกเราควรจะทำยังไงดี?”
ใครรู้บ้าง!
ซูย้าวเองก็อยากจะรู้ ตกลงพวกเธอควรจะทำยังไงดี ที่นี่ไม่ใช่ในประเทศ และไม่ใช่เมืองA กลัวว่าคงจะไม่มีใครรู้ข่าวที่พวกเธอสองคนโดนจับตัวมา คนช่วยก็หาไม่ได้ แม้แต่หลบหนีก็กลัวว่าคงจะหนีไม่พ้น!
ในตอนที่ทั้งสองคนกำลังคิดฟุ้งซ่านอยู่นั้น อยู่ๆ ประตูก็ถูกผลักเปิดออก และ‘ผู้ชายใจดีที่จะพาพวกเขาไปสถานีตำรวจ’คนก่อนหน้านี้ก็ปรากฏตัวออกมา
ในมือของชายหนุ่มถือถาดอาหารที่ดูงดงามไว้สองชุด ดูแล้วเหมือนกับว่าจะเป็นอาหารตะวันตก พวกชุดภาชนะอะไรพวกนั้น ก็ดูเข้าชุดกันครบเซต
เขาลากโต๊ะเล็กๆ ที่พับอยู่อันหนึ่งออกมา หลังจากที่กางออกแล้ว ก็วางอาหารลงบนนั้น
สเต๊กเนื้อวัวเพิ่งย่างเสร็จมาใหม่ๆ ยังมีเสียงซี่ๆ ดังอยู่ และยังมีน้ำผลไม้ที่เพิ่งคั้นมาใหม่ รวมทั้งพวกฟัวกราส์และสลัดชีสด้วย ซูย้าวและอานซินเออร์กวาดตามองอาหารบนถาดอาหารทีหนึ่ง พูดตามความจริง ทั้งสองคนต่างก็หิวแล้ว
โดยเฉพาะอานซินเออร์ ท้องที่ไม่เอาไหนร้องจ๊อกๆ ขึ้นมาทีหนึ่ง
ตัวเธอเองก็รู้สึกอับอายมาก แล้วก็ก้มหน้าลงไปอัตโนมัติ ใบหน้าค่อยๆ รู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาเล็กน้อย
แต่ชายหนุ่มกลับไม่ได้รู้สึกอะไรมากต่อปฏิกิริยาของพวกเธอ เพียงแต่ยืนอยู่ตรงนั้น แล้วพูดขึ้นว่า “กินเถอะ! นี่ผมเป็นคนทำเองทั้งหมดเลย”
ดูท่าทางที่ยังคงไม่คิดจะกินพวกเธอสองคนแล้ว ชายหนุ่มก็พูดขึ้นอีกว่า “วางใจเถอะ ผมไม่วางยาพิษหรอก”
และถึงจะเป็นเช่นนั้น ซูย้าวและอานซินเออร์ก็ไม่สามารถที่จะเริ่มกินได้ทันที! ในเมื่อ นี่คือการโดนจับตัวมานะ!
ชายหนุ่มจ้องมองพวกเขา แล้วก็พูดขึ้นอีกว่า “วางใจกินไปเถอะ! ขอแค่พวกคุณไม่คิดหาวิธีหลบหนี ผมก็จะไม่ทำให้พวกคุณลำบากใจหรอก”
“ทำไมจะต้องจับตัวพวกเรามาด้วย?” อยู่ๆ อานซินเออร์ก็ถามขึ้น
ชายหนุ่มยิ้มขึ้นมาทีหนึ่ง “เพราะอะไรเหรอ? สำหรับสาเหตุเป็นเพราะอะไรนั้นผมก็ไม่รู้ชัดเจน แต่ว่า คำสั่งที่ผมได้รับมาก็คือ ให้หยุดการเคลื่อนไหวทุกอย่างของพวกคุณสองคน และให้ควบคุมความเป็นอิสระของพวกคุณสองคน ส่วนอย่างอื่น ไม่ใช่หน้าที่ของผม”
นอกเหนือจากคำพูดนี้แล้ว ขอแค่พวกเธอไม่คิดหนีไปเรื่อย และอยู่ที่นี่อย่างสบายใจ ผู้ชายคนนี้ก็จะดูแลพวกเธอให้อยู่ดีกินดี และไม่มีอะไรขาดตกบกพร่องแน่นอน
แต่ว่า สิ่งที่ซูย้าวและอานซินเออร์อยากได้นั้น กลับไม่ใช่แบบนี้นี่!
“ปล่อยพวกเราไปเถอะ!” ซูย้าวพูดขึ้น
อานซินเออร์ก็พูดขึ้นบ้าง “ใช่ ปล่อยพวกเราไปเถอะ หรือว่าคุณติดต่อเจียงจี้เซิงให้หน่อย เดี๋ยวฉันคุยกับเขาเอง!”
“คุณซู คุณอาน พวกคุณอย่าทำให้ผมลำบากใจเลย ในเมื่อพวกคุณรู้จักกับประธานเจียง ก็น่าจะรู้ว่า ช่วงเวลานี้ เป็นช่วงเวลาพักผ่อนที่หาได้ยากของเขา และก็จะไม่มีทางที่จะให้ใครไปรบกวนทั้งนั้น” ชายหนุ่มพูดขึ้น
อยู่ๆ ซูย้าวก็เข้าใจขึ้นมา เจียงจี้เซิงก็แค่ไม่ต้องการให้พวกเธอไปรบกวน เพราะฉะนั้นถึงได้สั่งคนมาจับตัวไว้เหรอ?
ผู้ชายคนนี้ เรื่องอะไรก็สามารถทำออกมาได้จริงๆ!
“พวกคุณทั้งสองคนพักผ่อนกันไปดีๆ เถอะ ถ้ามีอะไรต้องการ ก็กดกริ่งอันนั้นก็พอแล้ว เสื้อผ้าที่ผลัดเปลี่ยนอยู่ในตู้ ไซต์อาจจะไม่ตรงกับของทั้งสองท่าน แต่ก็พอถูไถไปก่อนนะครับ!” แล้วชายหนุ่มก็หมุนตัวเดินออกไปข้างนอก
เขาเดินไปไม่กี่ก้าว ก็เหมือนกับว่านึกอะไรขึ้นมาได้ “ใช่แล้ว ห้องนี้เก็บเสียงได้ดีมากเลย ถ้าหากว่าทั้งสองท่านคิดอยากจะหลบหนีละก็ ผมขอเตือนให้ทั้งสองท่านทิ้งความคิดนี้ไปแต่เนิ่นๆ เลยดีกว่า อยู่ที่นี่ พวกคุณหนีไม่พ้นหรอก!”
“รอให้ถึงเวลา ก็จะปล่อยพวกคุณออกไปเอง แต่ระหว่างนี้ หวังว่าคุณหนูทั้งสองท่านคงต้องยอมลำบากใจไปสักหน่อยนะครับ!”
ผู้ชายคนนี้ยังถือได้ว่าเกรงใจ แล้วก็ออกไปจากห้องด้วยใบหน้าไร้ปฏิกิริยาใดๆ
จ้องมองดูประตูห้องที่หนาเตอะปิดลง ซูย้าวพิงอยู่ตรงนั้นอย่างหมดเรี่ยวแรง ถึงแม้ว่าตรงหน้าจะวางอาหารเลิศรสไว้ เธอก็ไม่มีอารมณ์ที่จะกิน
ที่ออกมาในครั้งนี้ เธอแค่อยากจะเจอกับเจียงจี้เซิงสักครั้ง ไม่ว่าจะได้เจอหรือไม่ได้เจอ เธอก็จะต้องรีบกลับประเทศให้เร็วที่สุด ที่บ้านยังมีเด็กอีกสองคน จะไปมีเวลามาให้สูญเปล่าอยู่ข้างนอกมากมายขนาดนั้นได้ยังไง
ไม่เหมือนเธอที่อารมณ์โกรธอยู่เต็มท้อง อานซินเออร์กลับเป็นเหมือนอย่างปกติ มานั่งลงข้างๆ โต๊ะอาหาร แล้วก็เริ่มลงมือจับมีดซ้อมขึ้นมา
เพราะว่ามือซ้ายของซูย้าวถูกผูกติดไว้ด้วยกันกับมือขวาของอานซินเออร์ เพราะฉะนั้นตอนที่ขยับขึ้นมาจึงเปลืองแรง จำเป็นจะต้องคนหนึ่งกินไป และอีกคนคอยมองอยู่ เวียนเปลี่ยนกันถึงจะได้
อานซินเออร์นั้นหิวจริงๆ แล้ว จึงกินได้ไวมาก กินไปด้วยแล้วก็โน้มน้าวซูย้าวไปด้วยว่า “กินอะไรสักหน่อยก่อนเถอะ! คุณเป็นคนพูดเองไม่ใช่เหรอ? ว่าต้องกินให้อิ่มก่อน รักษาเรี่ยวแรงไว้ก่อน ถึงจะคิดเรื่องอื่นได้นี่!”
หลักการมันเป็นหลักการนี้ แต่พอเรื่องมันมาถึงตรงหน้า อารมณ์ก็หนักหน่วง แน่นอนก็จะกินอะไรไม่ลง
อานซินเออร์กินหมดไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็มาเร่งซูย้าว “คุณเองก็ไปกินสักหน่อยเถอะ! ไม่งั้นถ้าเอาแต่หิวอยู่ ถ้าเกิดอะไรขึ้นมา ก็จะไม่มีเรี่ยวแรงเอานะ!”
พอพูดมาแบบนี้ มันก็ถูกต้อง
ซูย้าวจึงไม่ลุกขึ้นมาไม่ได้ แล้วก็มากินสักหน่อย
เมื่อต่างก็กินอิ่มแล้ว อานซินเออร์ก็กดกริ่งทีหนึ่ง แล้วผู้ชายคนนั้นก็เข้ามาเก็บถาดอาหารไป และเอาน้ำแร่เข้ามาให้ไว้หลายขวด
ห้องไม่ได้ใหญ่มากนัก แต่ก็ยังมีตู้เสื้อผ้า และก็มีห้องน้ำ
อานซินเออร์และซูย้าวมองสำรวจง่ายๆ ไปรอบหนึ่ง อยู่ข้างในนี้ นอกจากหน้าต่างที่ปิดตายไปแล้ว ของอย่างอื่นก็ถือได้ว่ามีอยู่ครบครัน ยังมีทีวีอยู่เครื่องหนึ่ง เพียงแต่ว่าเปิดออกดูแล้ว ช่องข้างในที่ออกอากาศอยู่นั้นล้วนเป็นช่องของต่างประเทศ ไม่มีช่องของภายในประเทศสักช่องเลย
และที่สำคัญสัญญาณก็ไม่ดีเท่าไหร่ ติดๆ ขัดๆ อยู่ตลอด
อานซินเออร์ดูอย่างเบื่อหน่ายไปพักหนึ่ง แล้วก็ปิดไป
ทั้งสองคนนอนอยู่บนเตียง สายตาที่เหม่อลอยจ้องมองเพดานอยู่ แล้วอานซินเออร์ก็พูดขึ้นว่า “คุณว่า กว่าฉันจะชอบคนคนหนึ่งขึ้นมาได้ แต่เขากลับทำอย่างนี้กับฉัน เฮ้อ ความเยาว์วัยของฉัน เอาเลี้ยงหมาไปหมดแล้ว!”
“เอ่อ……”
ซูย้าวไร้คำพูด
แต่ว่าพอมาคิดดูดีๆ แล้ว ที่เจียงจี้เซิงจับตัวเองมาอาจจะพอมีเหตุผล แต่ว่าอานซินเออร์ก็โดนจับตัวมาด้วย นี่มันเกินไปหน่อยแล้วจริงๆ
ใครจะไปรู้ว่าผู้ชายคนนี้คิดอะไรอยู่กันแน่?
ในเมื่อผู้ชายถ้าไร้เยื่อใยขึ้นมา ก็โหดเหี้ยมได้อย่างขีดสุดเลย
ถ้าจะคิดทำการใหญ่ก็จะต้องฝีมือโหดเหี้ยม
คำโบราณพูดไว้ไม่ผิดจริงๆ
“นี่ ซูย้าว ในเมื่อก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว ก็ลองพูดเรื่องของคุณกับลี่เฉินซีหน่อยซิ!” อยู่ๆ อานซินเออร์ก็รู้สึกสนใจแล้วหันตัวมา แล้วใช้มือเดียวหนุนหัวเอาไว้ แล้วจ้องมองเธอด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย
ซูย้าวอึ้งไปครู่หนึ่ง “ฉันกับลี่เฉินซีเหรอ?”
“ใช่แล้ว! พวกคุณเคยแต่งงานกันมาก่อนไม่ใช่เหรอ? ทำไมคุณถึงได้แต่งงานกับเขาล่ะ?” อานซินเออร์ถามขึ้น
ตอนนี้มาคิดดูแล้ว ซูย้าวเองก็ขมวดคิ้วขึ้น ภาพความทรงจำแต่ละภาพกะพริบผ่านไปในหัวสมอง เรื่องที่เกี่ยวข้องกับเธอและลี่เฉินซี ตอนแรกเธอไม่อยากจะบอกกับใครทั้งนั้น แต่ตอนนี้ อาจจะเป็นเพราะว่าเบื่อหน่ายจนเกินไปแล้วมั้ง และอาจจะเป็นเพราะรู้สึกว่าตัวเองและอานซินเออร์ประสบพบเจอกับสถานการณ์เดียวกันอยู่ ในใจก็เลยมีความรู้สึกเหมือนกัน
“ฉันกับเขา……ที่จริงก็ไม่มีอะไรน่าพูดหรอก มันเชยจะตายไป!” เธอพูดขึ้น
อานซินเออร์พูดขึ้น “นิทานความรักทั้งหมดต่างก็เชยกันทั้งนั้นแหละ ก็ไม่มีอย่างอื่นนอกจากรักกัน แอบรัก ตามจีบและบอกรักแล้ว แต่ว่าฉันอยากฟังคุณพูดเองกับปาก บอกฉันมาเถอะนะ! ทุกอย่างของคุณกับลี่เฉินซี……”
“ทุกอย่างของฉันกับเขาเหรอ?” ซูย้าวพูดทวนขึ้นอีกครั้ง สายตาค่อยๆ ขรึมลง ในดวงตามีรูปร่างของผู้ชายคนนั้นโผล่ขึ้นมา รูปร่างที่แข็งกร้าว ใบหน้าที่หล่อเหลาสง่างาม หล่อจนแพรวพราวตลอดกาลขนาดนั้น
“พูดมาเถอะ! ในเมื่อที่นี่ก็ไม่มีใครอื่นสักหน่อย คุณก็แค่บอกฉันแค่คนเดียว จะไปกลัวอะไร? รอให้คุณพูดจบแล้ว ฉันก็จะบอกความลับที่เกี่ยวข้องกับฉันให้คุณบ้าง……” อานซินเออร์พยายามพูดล่อใจขึ้น
ซูย้าวยิ้มทีหนึ่ง คิดแล้วก็ถูก ในเมื่อที่นี่ไม่มีคนอื่นสักหน่อย และคาดว่าผู้ชายคนข้างนอก ก็ไม่ได้รู้จักลี่เฉินซี และยิ่งไม่มีอารมณ์มาฟังสิ่งที่พวกเธอทั้งสองคนพูดคุยกันหรอก
เพียงแต่ว่า ความจริงแล้ว คำพูดที่พวกเธอพูด จะไม่มีคนอื่นมาได้ยินจริงๆ เหรอ?