เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - ตอนที่ 452
“หนูคือเตียวเตียวใช่ไหมจ๊ะ”
หญิงวัยกลางคนยืนยันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถึงได้กล้าเดินเข้ามาใกล้เด็กน้อย และย่อตัวลงนั่งเล็กน้อย “หนูคือเตียวเตียวจริงๆ หนูมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน”
เตียวเตียวนั้นไม่ได้ตื่นเต้นเหมือนกันกับหญิงวัยกลางคน เมื่อเห็นเธอก็คล้ายกับว่าเห็นผีอย่างไรอย่างนั้น ความรู้สึกหวาดกลัวอย่างรุนแรง ต่อมาก็คว้าจับกางเกงยีนส์ของซูย้าวด้วยความตื่นตระหนก อย่างไรก็ไม่ยอมปล่อยออก
ไม่เพียงแต่เท่านี้ เห็นได้ชัดว่าหลังจากที่เด็กได้เห็นหญิงวัยกลางคนแล้วก็ตัวสั่นระริก มีท่าทางหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด
แต่หญิงวัยกลางคนกลับไม่สนใจแม้แต่น้อย ยังคงยื่นมือออกมาดึงเตียวเตียว จนถึงขั้นไม่คำนึงถึงแรงที่ใช้จับแขนเล็กๆของเด็ก “เตียวเตียว หนูรู้ไหมว่าแม่ตามหาหนูนานแค่ไหน รีบมานี่เร็วเข้า!”
เมื่อครู่ยังค่อนข้างจะตื่นเต้น แต่ตอนนี้ท่าทีกลับเปลี่ยนไปเล็กน้อย…
ซูย้าวถูกเหตุการณ์เบื้องหน้าทำให้ตะลึงค้าง รีบโค้งตัวช่วยเตียวเตียวออกมาจากมือของหญิงวัยกลางคนด้วยความตื่นตระหนก “คือว่า ขอโทษนะคะ ไม่ทราบว่าคุณคือใครคะ”
หญิงวัยกลางคนถึงได้สังเกตเห็นถึงการคงอยู่ของซูย้าว ก็ยับยั้งอารมณ์ของตนเองอย่างมีมารยาท และรีบยืดตัวขึ้น “ฉันเป็นคุณแม่ของเด็กคนนี้ยังไงคะ!”
“คุณแม่หรือคะ?” ซูย้าวตะลึงไปทันที และก้มหน้ามองเตียวเตียว เด็กน้อยส่ายหน้าปฏิเสธให้เธออย่างแรง
ผู้หญิงมองออกถึงความสงสัยของซูย้าว และการส่ายหน้าของเตียวเตียวจึงรีบเข้ามาดึงเตียวเตียว มือทั้งสองข้างกดอยู่บนไหล่ของเด็ก “เด็กคนนี้ตั้งแต่เล็กจนโตชอบพูดจาเหลวไหล ฉันเป็นคุณแม่ของเด็กคนนี้ ก่อนหน้านี้เกิดอุบัติเหตุภายในครอบครัวฉันนิดหน่อย ฉันกับสามีล้วนได้รับบาดเจ็บ เด็กคนนี้จึงอาศัยโอกาสนี้หนีออกมา ฉันกับสามีตามหามานานมากแล้วค่ะ!”
เอ่ยจบแล้วก็โค้งตัวลงมองไปที่เตียวเตียว พลางเอ่ยว่า “เตียวเตียว หนูรู้ไหมว่าช่วงนี้แม่กับพ่อร้อนใจมากแค่ไหน พวกเราไปแจ้งความแล้ว ก็ยังหาหนูไม่พบ จึงนึกว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับหนูเสียอีก!”
ขณะที่พูดอยู่นั้น ผู้หญิงของน้ำตารินไหล ท่าทางเจ็บปวดใจจนทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะสงสาร
ชั่วขณะหนึ่งซูย้าวนั้นจิตใจสับสนวุ่นวาย
ปกติแล้วเตียวเตียวฉลาดและพูดจาคล่องแคล่ว แต่ในตอนนี้นอกจากส่ายหน้าแล้ว ก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ใดๆ คล้ายกับว่าสูญเสียความสามารถในการพูดจา พูดไม่ออกสักคำเดียว กลายเป็นซีซีคนที่สองอย่างไรอย่างนั้น
ซูย้าวทำได้เพียงแค่ลองถามเขา “เตียวเตียว หนูบอกน้าสิจ๊ะว่าเธอเป็นแม่ของหนูจริงๆหรือเปล่า”
เด็กน้อยไม่พูดอะไรสักคำ เพียงแต่ส่ายศีรษะเบาๆ
ผู้หญิงรีบก้าวเข้ามาจับใบหน้าของเด็กเอาไว้ “พูดไปแล้วว่า ตั้งแต่เล็กเด็กคนนี้ชอบพูดจาโกหก พูดเหลวไหลกับคนอื่นไปทั่ว ฉันกับพ่อของเขาปวดหัวเพราะเหตุนี้เป็นอย่างมาก!”
หรือว่าจะเป็นเช่นนี้จริงๆกัน?
ซูย้าวสายตามึนงง สมองสับสนจนคิดอะไรได้ไม่ชัดเจน
ผู้หญิงเอ่ยอีกว่า “ช่วงเวลานี้ล้วนเป็นคุณที่คอยดูแลลูกของฉันใช่ไหมคะ สร้างความวุ่นวายให้กับคุณไม่น้อยเลยจริงๆ!”
พูดแล้วผู้หญิงก็รีบโค้งตัวลง 90 องศาด้วยความเกรงใจ
มารยาทที่เกรงอกเกรงใจขนาดนี้กลับทำให้ซูย้าวไม่รู้ว่าจะทำอะไร นอกจากพูดว่า ‘ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ต้องเกรงใจ’ คล้ายกับว่าไม่รู้ว่าพูดอะไรถึงจะดี
โดยเฉพาะเมื่ออยู่ที่หน้าประตูโรงเรียนอนุบาล มีเหล่าผู้ปกครองที่มารับลูกๆเดินผ่านไปผ่านมาไม่น้อย เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้แล้ว เด็กๆก็ทักทายเตียวเตียว เหล่าผู้ปกครองก็ล้อมรอบเข้ามาเช่นกัน
แม้ว่านี่จะไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่น่าสะเทือนเลือนลั่นอะไร เหล่าผู้ปกครองที่มุงดูอยู่นั้นก็ไม่ดีวิพากษ์วิจารณ์หรือตำหนิอะไร แต่สายตาที่พากันมองมานั้นเหมือนกับเป็นการเพิ่มแรงกดดันที่ไร้รูปร่างเล็กน้อยให้กับซูย้าว
เป็นเวลานานขนาดนี้แล้ว แม้ว่าซูย้าวจะดำเนินขั้นตอนในการรับเลี้ยงบุตรบุญธรรม รวมไปถึงทะเบียนบ้านของเตียวเตียวเรียบร้อยแล้วทั้งหมด ในนามพวกเขาสองคนมีความสัมพันธ์เป็นแม่ลูกบุญธรรมกัน แต่เธอก็ไม่ได้ให้เด็กเรียกตัวเองว่าคุณแม่ เพื่อนนักเรียนและคุณครูที่โรงเรียนอนุบาลรวมไปถึงผู้ปกครองหลายๆคน ก็รู้ว่าเธอเป็นเพียงแค่คุณน้าของเตียวเตียวเท่านั้น จู่ๆก็มีคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นแม่ของเด็กปรากฏตัวออกมา จะไม่ลำบากใจได้หรือ
อีกทั้งเมื่อมองจากท่าทางของผู้หญิงคนนี้แล้วก็คิดอยากจะพาเตียวเตียวจากไปทันที ส่วนเตียวเตียวน่ะหรือ กลับตื่นตระหนก กระสับกระส่าย จนถึงขั้นหวาดกลัวอยู่หลายส่วน สิ่งเหล่านี้ล้วนปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเด็ก กลัวจนถึงขั้นพูดไม่ออกสักคำแล้ว ซูย้าวไม่วางใจจริงๆ
ยิ่งไปกว่านั้น ขั้นตอนอะไรทางนี้ก็ดำเนินการเสร็จหมดแล้ว เธอเป็นแม่บุญธรรมของเด็ก จะมอบเด็กให้ผู้อื่นด้วยความเต็มใจอย่างไม่มีเหตุผลได้อย่างไรกัน?
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ซูย้าวก็มีความมั่นใจขึ้นมาเล็กน้อย ก้าวไปด้านหน้าพร้อมกับเอ่ยว่า “คุณผู้หญิง หากสะดวกแล้วล่ะก็ พวกเราสามารถเปลี่ยนสถานที่พูดคุยกันได้ไหมคะ”
ถึงอย่างไรการพูดถึงคำว่าสถานสงเคราะห์ และเด็กกำพร้าพวกนี้ต่อหน้าเด็ก เธอก็เป็นกังวลว่าจะเป็นการทำร้ายเตียวเตียว
แต่หญิงวัยกลางคนกลับไม่คิดเช่นนั้น เพียงแต่ฝืนบังคับดึงแขนของเตียวเตียว มองไปทางซูย้าว “เปลี่ยนสถานที่นั้นไม่จำเป็นค่ะ! ฉันยังต้องกลับบ้านไปดูแลสามีนะคะ ตอนนี้ไม่ง่ายเลยที่จะหาลูกชายของฉันเจอ ขอบคุณคุณมากที่ดูแลเขามานานขนาดนี้! ขอบคุณค่ะ!”
ผู้หญิงโค้งตัวขอบคุณอีกครั้งด้วยความเกรงอกเกรงใจ
ซูย้าวทำได้เพียงแค่สูดลมหายใจลึก เท่ากับว่าเธอน้ำท่วมปากเสียแล้ว
“ถึงอย่างไรเตียวเตียวก็อยู่กับฉันมานานมาก มีรายละเอียดปลีกย่อยหลายอย่างซึ่งฉันคิดว่าหาสถานที่พูดคุยกันสักหน่อยเถอะค่ะ! ทางด้านนั้นมีร้านกาแฟไม่เลวอยู่ร้านหนึ่ง พวกเรา…”
ซูย้าวยังเอ่ยไม่ทันจบ หญิงวัยกลางคนก็รีบตัดบทเธออย่างรวดเร็ว “ฉันพอจะฟังออกแล้วค่ะคุณผู้หญิง เป็นเพราะว่าดูแลลูกชายของฉันมาเป็นเวลานานมาก ดังนั้น คุณอยากจะเรียกเก็บเงินกับฉันสินะคะ”
“หือ?” ซูย้าวตะลึงค้าง หมายความว่าอะไรกัน ทำไมถึงได้เปลี่ยนเป็นคำว่า ‘เงิน’ กะทันหันเสียเล่า
หญิงวัยกลางคนเอ่ยต่อว่า “ฉันก็รู้เช่นกันว่าบนโลกนี้ไม่มีของฟรี ลูกของฉัน ยังไม่ถึงกับต้องให้คนอื่นมาดูแลเลี้ยงดู แน่นอนว่าคุณต้องการเงินก็ถูก เอาแบบนี้แล้วกัน! พรุ่งนี้ฉันจะมาส่งลูกเข้าเรียนที่นี่ คุณก็กลับไปคำนวณให้ดีว่าควรจะคิดเงินเท่าไร เอ่ยตัวเลขมาก พรุ่งนี้ฉันจะให้คุณได้ไหมคะ”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ ท่าทีของผู้หญิงก็ชัดเจนขึ้นมาในทันที ซูย้าวมองเธอ “ฉันไม่ได้ต้องการเงินของคุณ เพียงแต่ว่าคุณผู้หญิง คุณมีหลักฐานอะไรไหมคะที่พิสูจน์ได้ตัวเองเป็นแม่ของเด็ก”
“พิสูจน์หรือ ใต้ฟ้านี้ผู้หญิงให้กำเนิดลูกจะเอาอะไรมาพิสูจน์กันคะ” ดูเหมือนผู้หญิงจะรู้สึกว่าน่าขบขันมาก หันไปมองฝูงชนที่มุงดูอยู่
ในนั้นมีผู้ปกครองที่เป็นผู้หญิงไม่น้อย ผู้หญิงดึงรั้งเตียวเตียวเอาไว้ พลางมองไปที่ฝูงชน “พวกคุณบอกหน่อยสิว่า ผู้หญิงอย่างพวกเราให้กำเนิดลูกจะเอาอะไรมาพิสูจน์ว่า เด็กคนนี้ปีนออกมาจากในท้องของฉัน ต้องตรวจสอบ DNA หรือเปล่าคะ”
เอ่ยจบแล้ว ฝูงชนก็หัวเราะฮาฮาไปกับผู้หญิง
ซูย้าวกลับมีสีหน้าเย็นชาไร้ความรู้สึก เธอใช้ชีวิตกับเตียวเตียวมาก็ไม่ใช่วันสองวัน ถ้าหากว่าผู้หญิงคนนี้เป็นแม่ของเด็กจริงๆ เช่นนั้นสีหน้าของเตียวเตียวในตอนนี้ก็ไม่ควรจะเป็นเช่นนี้!
เด็กบริสุทธิ์ไร้เดียงสาที่สุด โดยเฉพาะตอนที่ปฏิบัติต่อพ่อแม่ ความยินดีและความตื่นเต้นที่ยากจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดนั้นจะถูกเปิดเผยออกมาอย่างควบคุมเอาไว้ไม่อยู่
ผู้หญิงเห็นซูย้าวมีท่าทางไม่ถอยแล้วก็ทำได้เพียงแค่ก้มหน้ามองไปที่เตียวเตียว “ลูกพูดสิว่า แม่เป็นแม่ของลูกใช่หรือไม่”
เตียวเตียวเงยหน้า นัยน์ตากลมโตสีนิลมองไปที่ผู้หญิง และหันกลับไปมองซูย้าว
นัยน์ตาที่ใสสะอาดคู่นั้นคล้ายกับว่าเต็มไปด้วยความอับจนหนทาง แต่ว่าครู่หนึ่งก็เต็มไปด้วยหยาดน้ำตา จู่ๆเด็กก็ออกแรงดึงแขนให้หลุดออกจากมือของผู้หญิง และพุ่งเข้าไปในอ้อมแขนของซูย้าว ปากก็พูดว่า “คุณน้า พวกเรากลับบ้านกัน!”
ซีซีที่ยืนอยู่ด้านข้างนั้นรีบจูงมือเล็กๆของเตียวเตียวขึ้นมา และวิ่งผ่านฝูงชนตรงไปที่รถของซูย้าวอย่างรวดเร็วทันที
เหตุการณ์ตรงหน้านี้ทำให้หญิงวัยกลางคนมึนงงไปครู่หนึ่ง หลังจากรู้สึกตัวขึ้นมาก็ก้าวตามเตียวเตียวไปอย่างรวดเร็ว แต่กลับถูกซูย้าวขวางเอาไว้
“คุณผู้หญิง คุณอาจจะมีความสัมพันธ์กับเตียวเตียวจริงๆ แต่ฉันไม่รู้จักคุณ เมื่อได้พบกันอย่างกะทันหัน คุณก็คิดจะพาตัวเด็กไป เกรงว่าจะเป็นไปไม่ได้ ไม่ว่าคุณกับเตียวเตียวจะมีความสัมพันธ์อะไรต่อกัน คิดจะพิสูจน์นั้นง่ายมาก สะดวกที่ฉันพูดคุยกับฉันเป็นการส่วนตัวไหมคะ”
“ฉันจะคุยอะไรกับคุณกัน ฉันพูดไปแล้วว่าถ้าคุณต้องการเงินก็พูดตัวเลขออกมา ฉันจะพยายามรวบรวมมาให้คุณ! แต่ว่าเตียวเตียวเป็นลูกชายของฉันจริงๆ!” ผู้หญิงแน่วแน่มาก รีบร้อนหลบเลี่ยงซูย้าว เดินตามเด็กๆไป
ซูย้าวขมวดคิ้วอย่างจนปัญญา ก้าวตามไปและขวางผู้หญิงเอาไว้อีกครั้ง เอ่ยเสียงเบาว่า “เตียวเตียวเป็นเด็กกำพร้า เขาไม่มีแม่ที่ให้กำเนิดเขา ยิ่งไปกว่านั้น ฉันก็ดำเนินการตามขั้นตอนการรับเลี้ยงบุตรบุญธรรมเรียบร้อยแล้ว ว่ากันตามกฎหมายแล้ว ฉันเป็นแม่บุญธรรมของเด็ก ดังนั้นคุณเป็นใครกันแน่ ยังต้องให้ฉันพูดอะไรอีกไหมคะ”
“คุณ…”
ผู้หญิงคิดไม่ถึงว่าซูย้าวจะสามารถตรวจสอบทุกสิ่งเกี่ยวกับเด็กคนนี้ได้อย่างชัดเจน นอกจากความตื่นตระหนกเล็กน้อย ถอยหลังไปตามสัญชาตญาณก้าวหนึ่ง และสายตากะพริบวูบหนึ่ง สุดท้ายก็ทิ้งไว้เพียงประโยคที่ว่า “เช่นนั้น ฉันจะไม่ทำให้คุณลำบากใจชั่วคราว ส่วนเด็กนั้น ฉันจะต้องมารับเขาแน่ๆ! วันนี้เอาแบบนี้ก่อนแล้วกันค่ะ!”
เอ่ยจบแล้วผู้หญิงก็หมุนตัวเดินเข้าไปกลุ่มคนและหายไปจากสายตาอย่างรวดเร็ว