เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - ตอนที่ 457
“คุณหลิวเหตุการณ์ไฟไหม้เมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ นอกจากขาของคุณที่ได้รับบาดเจ็บแล้ว ยังมีที่ไหนที่ได้รับบาดเจ็บอีกหรือเปล่าคะ”
น้ำเสียงซูย้าวเยียบเย็น สีหน้าเย็นชาเผยให้เห็นความเหี้ยมที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน
ลี่เฉินซีที่นั่งอยู่ด้านข้างเห็นท่าทางแบบนี้ของเธอแล้ว ในชั่วพริบตาก็ดูเหมือนจะเข้าใจอะไรขึ้นมาได้ และก็รู้สึกได้ถึงบางสิ่งเช่นกัน
เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่มีความอ่อนไหวทางอารมณ์ได้ง่ายๆ จะต้องเป็นเพราะอะไรแน่นอน หรือไม่ก็ทำให้เธอสังเกตเห็นถึงอะไรบางอย่าง
เป็นอย่างที่คิดเอาไว้เลยจริงๆ
ชายที่สวมแว่นชะงักค้างไปอย่างเห็นได้ชัด สีหน้ามีความกระอักกระอ่วนเล็กน้อย เขาอึกๆอักๆอย่างไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี ส่วนผู้หญิงที่นั่งอยู่ด้านข้างกลับเป็นคนเอ่ยออกมาก่อน “คุณซู คุณถามแบบนี้หมายความว่าอะไรคะ จะไม่มีมารยาทเกินไปแล้ว! สามีของฉันได้รับบาดเจ็บ คุณยังจะถามอีกหรือว่าได้รับบาดเจ็บตรงไหน”
“เป็นการสอบถามตามปกติเท่านั้นเอง ไม่ได้หรือคะ” ซูย้าวโต้กลับ สายตามีนัยเคลื่อนจากใบหน้าของผู้หญิงไปกวาดมองชายหนุ่มอย่างช้าๆ และเอ่ยขึ้นมา “หรือจะพูดว่า คุณหลิวเป็นโรคที่ไม่สามารถบอกกับใครได้อย่างนั้นหรือคะ”
ผู้หญิงหมดความอดทนโดยสิ้นเชิง “คุณพูดว่าอะไรนะ พอได้แล้ว! พวกคุณรีบไปเสียที! บ้านของพวกเราไม่ต้อนรับคุณแล้ว!”
ซูย้าวก็ไม่ได้มีความคิดที่จะอยู่ต่อเช่นกัน ขณะที่ลุกขึ้นก็เอ่ยว่า “คุณหลิว ขออภัยด้วยที่ฉันเอ่ยวาจาตรงไปตรงมา นอกจากขาคุณที่ได้รับบาดเจ็บแล้ว บริเวณหน้าอกก็มีบาดแผลถูกไฟลวกขนาดใหญ่สินะคะ”
สีหน้าของผู้หญิงเต็มไปด้วยความเดือดดาล แต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไร ซูย้าวก็เอ่ยต่อว่า “ช่วงเวลาที่เกิดไฟไหม้ก็คือช่วงบ่ายสองบ่ายสาม ช่วงเวลานี้ในสถานการณ์ปกติ ผู้ใหญ่ทั้งชายและหญิงคงไม่ได้ถอดเสื้อผ้าทำกิจกรรมไปรอบห้อง โดยเฉพาะ…”
เธอหยุดไปเล็กน้อย สายตาเข้มงวดมองไปทางผู้หญิงที่มีโทสะและงุนงงที่อยู่ด้านข้าง และเอ่ยต่อไปว่า “โดยเฉพาะสามีภรรยาที่มีอายุสี่สิบกว่าอย่างพวกคุณสองคน ภายใต้สถานการณ์ที่วิธีการต่างๆนานาทางการแพทย์ก็ยังไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ ยิ่งไม่มีทาง ฉันไม่ได้พูดผิดสินะคะ”
เช่นนั้น ผู้ชายคนหนึ่งที่จู่ๆก็เปลือยกายล่อนจ้อนอยู่ที่บ้านในช่วงเวลาที่ไม่ใช่ตอนเย็นนั้นกำลังทำอะไรอยู่นะ?
อีกอย่าง ขณะที่ไฟไหม้ ฝ่ายหญิงก็ไม่ได้อยู่ที่บ้านด้วยจึงรอดพ้นมาได้ด้วยความโชคดี
สถานการณ์ที่ผู้ชายคนหนึ่งจะเปลื้องผ้าขณะที่ตัวเองอยู่บ้านนั้นน้อยมากใช่ไหม ที่สำคัญที่สุดก็คือ ตอนนั้นภายในบ้านยังมีเด็กชายอายุห้าขวบอยู่ด้วยอีกคนหนึ่ง!
ในฐานะพ่อบุญธรรม เขากำลังทำอะไรขณะที่เผชิญหน้ากับเด็กอายุห้าขวบคนหนึ่ง
ผู้หญิงโทสะพลุ่งพล่าน “คุณ…คุณอยากจะพูดอะไรกันแน่ คาดเดาส่งเดช นี่มันเป็นการใส่ร้ายน้ายสีนะ!”
“ฉันพูดอะไรไปหรือคะถึงได้เป็นการใส่ร้ายน้ายสีพวกคุณ” ซูย้าวแบมือเล็กน้อยอย่างเฉยชาด้วยท่าทางบริสุทธิ์ใจ จึงยิ่งทำให้ผู้หญิงโมโหมากกว่าเดิม
ตรงกันข้ามกับผู้หญิงที่โมโหจนพูดไม่ออก ชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็นกลับนิ่งเงียบเสียอย่างนั้น
แทนที่จะพูดว่านิ่งเงียบ ไม่สู้พูดว่าเขาขลาดกลัวจะดีกว่า ความหวาดกลัวในแววตานั้น แค่มองก็รู้แล้ว
ซูย้าวมองสบสายตาขลาดเขลาของชายหนุ่ม อ้าปากเอ่ยทีละคำช้าๆ แต่กลับเหมือนกับดาบอันแหลมคมที่ทิ่มแทงเข้าไปในหัวใจของชายหนุ่ม
“ช่างบังเอิญเป็นอย่างมากที่วันที่ฉันได้พบกับเตียวเตียวนั้นเป็นวันที่สองหลังจากเกิดเหตุไฟไหม้ ทั้งร่างของเด็กเต็มไปด้วยบาดแผลที่ถูกจากไฟไหม้ และที่หนักที่สุดคือหลังรวมไปถึงส่วนสะโพกลงไป”
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ผู้หญิงคล้ายกับว่าเข้าใจอะไรได้ชัดเจนแล้ว มองไปทางสามีของตัวเองด้วยสายตางุนงง “คุณ…”
น้ำเสียงของเธอเกือบจะแหบพร่าอย่างไม่อยากจะเชื่อ แต่กลับได้รับคำตอบที่ชัดเจนจากสีหน้าและท่าทางของชายหนุ่ม
“คุณถึงกับ…”
ผู้หญิงจะพูดอะไรกับชายหนุ่มกันแน่นั้น ซูย้าวไม่อยากจะฟังแล้ว เธอเพียงแค่ทิ้งเอาไว้ประโยคหนึ่งก่อนจะจากไปว่า “เด็กยังเล็กไม่ได้มีอะไรเกี่ยวกับปีศาจอย่างที่คุณพูดเลย มนุษย์เราแรกเกิดนั้นบริสุทธิ์โดยเนื้อแท้ คนที่ผิดไม่ใช่เด็ก แต่เป็นผู้ใหญ่!”
ตั้งแต่ออกมาจากบ้านของสามีภรรยาคู่นั้น ซูย้าวก็ล้มเลิกความคิดทั้งหมดที่มีอยู่ในใจ ก่อนหน้านี้ยังคิดที่จะไปหาพ่อแม่ที่รับเลี้ยงเตียวเตียวคนก่อนๆเพื่อพูดคุยเป็นการส่วนตัวเรื่องของเด็กสักหน่อย แต่ตอนนี้เมื่อลองคิดดูก็ไม่จำเป็นแล้ว
ไม่จำเป็นอีกแล้ว
ไม่ว่าเตียวเตียวจะเป็นเด็กแบบไหน ไม่ว่า ‘เหตุการณ์ไม่คาดฝัน’ ทั้งหมดเหล่านั้นจะเกี่ยวข้องกับเด็กหรือไม่ เธอก็ไม่สนใจแล้ว
แม้ว่าจะเป็นปีศาจ แต่ก็ยังมีอายุน้อย จึงมีวันที่จะถูกความอ่อนโยนกล่อมเกลาได้ในสักวัน ยิ่งไปกว่านั้นนั่นคือคนคนหนึ่ง คนที่มีชีวิตอยู่คนหนึ่งเลยนะ!
และเป็นเพราะว่าไม่มีพ่อแม่ เป็นเพียงแค่เด็กกำพร้าคนหนึ่ง จึงไม่สามารถถูกคนรักได้หรือ ต้องแบกรับความเจ็บปวดและความทรมานทั้งหมดเอาไว้ การวางเส้นทางชีวิตแบบนี้เอาไว้บนร่างของเด็กอายุห้าขวบคนหนึ่งมันไม่ยุติธรรมเกินไปแล้ว!
เธอไม่ใช่คนใจบุญ และไม่ใช่ผู้ยิ่งใหญ่ จึงยิ่งไร้หนทางที่จะพยายามดูแลคนที่น่าสงสารทุกคนได้อย่างดีที่สุด แต่อย่างน้อยที่สุดก็สามารถนำเด็กชายผู้น่าสงสารที่บริสุทธิ์คนนี้มาไว้ข้างกายเพื่อดูแลให้ดี บางที นี่อาจจะเป็นโชคชะตาประเภทหนึ่งก็ได้!
ระหว่างทางกลับนั้นเป็นลี่เฉินซีที่ขับรถ
เขาขับรถด้วยความรวดเร็วอยู่บนถนนที่กว้างใหญ่มาตลอดทาง ซูย้าวที่นั่งอยู่ที่นั่งข้างคนขับนั้นนิ่งเงียบไม่เอ่ยพูดอะไรสักคำ
มองออกเลยว่าในใจเธอเต็มไปด้วยความอึดอัดและกลัดกลุ้ม
เขาจึงไม่รู้ว่าควรจะเริ่มพูดจากตรงไหนไปชั่วขณะ จึงไม่ได้เอ่ยอะไรออกไป
เพียงแต่ซูย้าวที่ได้สติกลับมาหลังจากใจลอยไปชั่วครู่ก็เพิ่งจะพบว่ารถยนต์ค่อยๆขับผ่านสะพานข้ามทะเลไปอย่างเชื่องช้า ไม่รู้ว่าเมื่อไรที่มาถึงริมทะเล
เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว คนที่มาว่ายน้ำที่ทะเลก็ไม่เยอะ มีเพียงแค่จำนวนเล็กน้อยที่สามารถใช้นิ้วมือนับได้
เขาลงจากรถแล้วเดินอ้อมมาเปิดประตูข้างคนขับฝั่งเธอ และผายมือทำท่าทางเชื้อเชิญ
ซูย้าวส่งมือไปให้เขาโดยไม่ได้ปฏิเสธ และก้าวลงจากรถตามแรงของชายหนุ่ม
ทั้งสองคนมาถึงริมทะเล มองคลื่นที่ซัดสาดเข้ามาไม่หยุด เดินไปบนสันเขื่อนทีละก้าว ทีละก้าว เฝ้ามองดูคลื่นลมทะเลที่ซัดสาด เธอก็ค่อยๆผ่อนคลายจิตใจและถอนหายใจช้าๆ
“รู้สึกดีขึ้นหน่อยไหม” เขายืนอยู่ด้านหลัง แววตาลุ่มลึกนั้นมีประกายที่มองเห็นได้ไม่ชัด
เธอไม่ได้หันกลับไป เพียงแค่หลับตาลง รับเอาลมทะเลที่หนาวสะท้านเอาไว้ รับรู้ถึงลมหนาวที่ล้อมอยู่รอบกาย เนิ่นนานถึงได้ก้มหน้าเล็กน้อย “ถือว่าเรียบร้อยแล้วสินะ!”
“คุณพบอะไรบนตัวสามีภรรยาคู่นั้นกันแน่” ในที่สุดลี่เฉินซีก็ถามถึงสิ่งที่สงสัยอยู่ในใจออกมา
เดิมนึกว่าเธอจะไม่พูด แต่คิดไม่ถึงว่าสภาพจิตใจของซูย้าวฟื้นฟูขึ้นมากแล้ว เมื่อทอดถอนใจเสียงเบาแล้วก็หมุนร่างกลับมามองเขายิ้มๆ “ล้วนพูดกันว่าคุณลี่ฉลาดมาก ทำไมตอนนี้ถึงได้รู้สึกว่าคุณโง่นิดหน่อยกันนะ”
“…”
“ถึงแม้ว่าคุณจะมองไม่ออก แต่จากบทสนทนาแล้วคุณฟังไม่ออกถึงอะไรบางอย่างหรือคะ” เธอถามกลับ
ลี่เฉินซียังมึนงงเล็กน้อย รู้สึกได้อย่างเลือนรางว่าเตียวเตียว เด็กคนนี้น่าจะได้รับความทรมานจากสามีภรรยาคู่นี้ ปฏิบัติและทรมานราวกับไม่ใช่คน อีกทั้งในตอนแรกที่เขาช่วยเด็กคนนั้นเอาไว้ ทั่วทั้งร่างก็เต็มไปด้วยแผลเป็นอันน่าสยดสยอง
เพียงแต่ว่าระหว่างเด็กคนนั้นกับคุณผู้ชายคนนั้นมีความเกี่ยวข้องอะไรกันที่ทำให้ซูย้าวโมโหจนถึงขั้นนี้
“คุณคิดว่าคุณหลิวคนนั้น ทำไมจู่ๆถึงได้เชิญพวกเราเข้าไปในบ้านกัน ท่าทีก็เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก ราวกับว่าเปลี่ยนเป็นคนละคนอย่างไรอย่างนั้น” เธอมองเขาอย่างสนใจ
ลี่เฉินซีขมวดคิ้วเล็กน้อย “ทำไมหรือ”
เธอยิ้ม “เพื่อคุณไงล่ะ!”
“ผม?” เขาตะลึงค้าง
“คุณคิดว่า ผู้ชายคนหนึ่งไม่มีความคิดและความหุนหันพลันแล่นอะไรต่อผู้ชายอีกคนหนึ่งหรือคะ”
ลี่เฉินซีคล้ายกับว่าเข้าใจอะไร ไม่ใช่ว่าคล้าย แต่เข้าใจแล้ว!
สายตาเคร่งขรึมของเขาเปลี่ยนเป็นตกตะลึงในเสี้ยวพริบตา “คุณ…คุณพบว่าผู้ชายคนนั้นมีความรู้สึกต่อเตียวเตียว…”
“ไม่ผิดค่ะ เพราะว่าสิ่งที่ฉันคิดเป็นเรื่องจริง!” ในที่สุดซูย้าวก็รู้ว่าทำไมตอนที่เตียวเตียวได้พบกับผู้หญิงคนนั้นถึงได้เผยสีหน้าขลาดกลัวแบบนั้นออกมาแล้ว
เด็กกลัวจริงๆ
พรั่นพรึงและขลาดกลัวจากเบื้องลึกของจิตใจ
นอกจากร่างกายที่ถูกทรมานด้วยการดุด่าตบตีแล้ว ยังมีเรื่องของจิตใจ รวมไปถึง…ร่างกายด้วย
การกระทำอันเลวร้ายที่อยู่เหนือจินตนาการทั้งหมดของผู้คนนั้นได้ถูกปฏิบัติบนร่างกายของเด็กอายุห้าขวบคนหนึ่งจริงๆเช่นนั้น
เป็นไปตามประโยคนั้นที่ถูกเอ่ยเอาไว้จริง สัตว์ก็ยังคงเป็นสัตว์ ส่วนคนในบางครั้งก็ไม่ใช่คนจริงๆ
ใครจะไปคิดกันว่าผู้ชายที่ภายนอกดูสุภาพเรียบร้อยคนนั้นจะแอบซ่อนความจอมปลอมที่ทำให้ผู้คนเดือดดาลเช่นนี้เอาไว้ในใจกัน
เป็นพวกหน้าเนื้อใจเสือจริงๆ!
“นี่มันก็เกิน…แจ้งตำรวจเถอะ! จำเป็นจะต้องฟ้องร้องพวกเขา แม้ว่าจะเพื่อเตียวเตียวก็ต้องทำเช่นนี้!” ลี่เฉินซีมีท่าทีเด็ดเดี่ยว
แต่เธอกลับส่ายหน้า “เตียวเตียวเพิ่งจะอายุห้าขวบ ถ้าหากว่าทำเพื่อเขาจริงๆล่ะก็ ต้องปกป้องเขาเอาไว้ให้ดี ดูแลเขา ให้เขาลืมความทรงจำที่น่าหวาดกลัวเหล่านั้นไปจนกระทั่งเติบโตเป็นผู้ใหญ่เถอะ!”
พยายามทำตัวเป็นร่มที่หลบภัยคันหนึ่ง ให้ที่พักพิงและให้อภัยเด็กน้อยผู้ฉลาดและอ่อนแอ ทำให้ลืมไปจนหมดสิ้นท่ามกลางเวลาที่ชะล้างผ่าน จนกระทั่งเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่อย่างแข็งแรงและกลายเป็นชายหนุ่มที่สามารถยอมรับทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง
นี่คือหน้าความรับผิดชอบของซูย้าว แม้จะยากอยู่บ้างแต่เธอก็เตรียมตัวเอาไว้ดีแล้ว ทั้งยังยอมรับมันเอาไว้ด้วยความยินดี