เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - ตอนที่ 469
“คุณคิดว่านี่เป็นวิธีหลักการธุรกิจของผมก็ดี หรือหลักการส่วนตัวของผมก็ดี พี่สาว มีอยู่จุดหนึ่งอย่าลืม–”
หลินโม่ป่ายลากเสียงยาว กวาดสายตามองไปที่หลินจิ้งซู “อย่าลืม ตอนนี้ผมต่างหากที่เป็นประธานกรรมการ!”
คำพูดแค่คำสองคำ ทำให้คำพูดที่หลินจิ้งซูที่ยังไม่พูดออกมานั้นปิดกั้นคำพูดของหลินจิ้งซูอย่างสิ้นเชิง และทันใดนั้น ความโกรธในหัวใจของเธอก็มาถึงจุดสูงสุด
หลินโม่ป่าย ไม่มีเวลาที่จะควบคุมปฏิกิริยาของเธอ เขาแค่มองดูทุกคนที่อยู่ตรงนั้นและพูดช้าๆ “ก่อนอื่น ผมมีความสุขมากที่คุณสามารถอยู่ที่นี่ต่อไปได้ ผมเชื่อว่าภายใต้การนำของผม กรุ๊ปหลินสามารถประสบ ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่!”
ทุกคนยิ้มอย่างดีอกดีใจ ต่างก็แสดงความยินดีกับหลินโม่ป่าย ยกย่องเขาเป็นผู้นำ
ช่วงรัชสมัยหนึ่งก็ย่อมมีข้าราชบริพารกลุ่มหนึ่ง กรุ๊ปหลินกำลังจะเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงยุคสมัย และจะต้องสับไพ่ใหม่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
อาสามที่นั่งอยู่ที่นั่นมาตลอด กลับเงียบตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนนี้ไม่พูดสักคำ ได้แต่มองทั้งหมดอย่างเงียบๆ ทั้งหมดนั้นราวกับว่ากำลังเล่นพ่อแม่ลูกเหมือนเด็กๆ ยิ้มอย่างมีความสุข หลังจากการประชุมจบลง หลินจิ้งซูถึงจะเดินมาอย่างช้าๆ
“ตั้งแต่เธอเตรียมตัวสนับสนุนเขาให้ขึ้นตำแหน่งอย่างเต็มอกเต็มใจในวันนั้น เธอก็คาดการณ์ไว้ว่าจะ ต้องมีวันนี้!” อาสามมองจากสถานการณ์ปัจจุบันของเธอ ในสายตาเผยความรู้สึกสงสารออกมา
แม้ว่าหลินจิ้งซูจะเป็นเช่นนั้น แต่ก็ไม่ถูกใครเห็นอกเห็นใจ เธอรีบเก็บสายตาที่ซับซ้อนในแววตา กวาด ผ่านหมอกควัน ยิ้มเล็กน้อยอย่างสุภาพ “อาสามพูดเกินไปแล้ว ไม่ว่ายังไง ฉันก็เชื่อมั่นในโม่ป่าย ยังไง เขาก็เป็นผู้ชายคนเดียวในตระกูล บริษัทยกให้เขาก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ?”
“ปกติ?” อาสามพูดซ้ำยิ้มอย่างขบขัน สายตาจ้องมาที่เธออย่างลึกซึ้ง “ถ้าเธอคิดว่าปกติ งั้นก็ปกติแล้วกัน!”
เมื่อเห็นอาสามจากไป หลินจิ้งซูหลับตาลง ในหัวใจเจ็บปวดยากที่จะปกปิดได้ ไม่ง่ายเลยที่เธอจะจับโต๊ะ ด้านหนึ่งไว้ถึงจะฝืนร่างกายไม่ให้โซเซล้มลง
เมื่อเธอมาถึงที่สำนักงาน ซูย้าวยังไม่จากไป
เมื่อผลักประตูออก ก็เห็นคนสองคนนั่งอยู่บนโซฟา หลินจิ้งซูเต็มไปด้วยความอาฆาตในทันที ยังไม่ทัน
ออกฤทธิ์ กลับได้ยินหลินโม่ป่ายพูดว่า “พี่ ตอนนี้พี่มาซักความผิดเหรอ?”
“ซักความผิด?” หลินจิ้งซูพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา สายตาเพ่งมองไปที่เขา อยากดูออกว่าในสายตาของน้องชายแอบซ่อนอะไรไว้ จ้องมองเป็นเวลานาน ก็ไม่มีอะไรเลย ที่มองเห็น เป็นเพียงความสงบเยือกเย็น ธรรมดา และความมุ่งมั่นที่เหลือเชื่อ ทำให้เธอเย็นชาอย่างเทียบไม่ได้
“ฉันไม่สนใจหรอกว่าสุดท้ายกรุ๊ปหลินให้นาย หรือให้ฉัน เพียงแต่โม่ป่าย ประธานมากมายขนาดนั้น ไม่ใช่ว่านายจะพูดว่าขับไล่ก็สามารถขับไล่ได้! พวกเขาล้วนเป็นผู้ที่มีผลงานต่อบริษัท ถ้าไม่มีพวกเขา กรุ๊ปหลินจากนี้…”
ไม่รอหลินจิ้งซูพูดจบ ก็ถูกหลินโม่ป่ายขัดขวางอีกครั้ง—
“กรุ๊ปหลินจากนี้ ถือคำพูดผมเป็นหลัก!”
คำพูดเดียว ก็ทำให้จิตใจของหลินจิ้งซูโกรธ วินาทีนั้นราวกับเทคอนกรีต ตัวแข็งในทันที
หลินโม่ป่ายลุกขึ้นยืน มองไปทางเธอ “พี่สาว จากนี้สถานะของคุณ ก็เป็นคุณหนูใหญ่ของกรุ๊ปหลิน สนุกกับชีวิตสักหน่อย ออกไปเที่ยว มีความรัก เรื่องที่เมื่อก่อนไม่เคยทำ ลองทำในเรื่องที่อยากทำ ดีไหม?”
“นายพูดว่าอะไร?” หลินจิ้งซูจินตนาการไม่ออก ประโยคนี้ คิดไม่ถึงว่าจะออกมาจากปากของน้องชายตัวเอง
เธอเชื่อมั่นในหลินโม่ป่ายขนาดนั้น สนับสนุนเขาอย่างไม่มีเงื่อนไข ถึงกับเพื่อสนับสนุนให้เขาเป็น ประธานกรรมการ ไม่เสียดายยอมผิดใจกับญาติๆ ทุกคนเพื่อให้เขามีอำนาจที่แข็งแกร่ง ตั้งแต่ต้น คาดไม่ถึง…คาดไม่ถึงก็เพื่อให้เขาเตะตัวเองออกด้วยมือเขาเอง?
“พี่สาว ตอนนี้กรุ๊ปหลินเป็นของผมแล้ว ยังไม่เข้าใจเหรอ?” หลินโม่ป่ายพูดอย่างชัดเจน บนใบหน้าที่เย็นชา สายตาที่ไม่แยแสมองดูครั้งเดียวก็เข้าใจหมด
หลินจิ้งซูจ้องมาที่เขาอย่างเหม่อลอย จากนั้นยกมือขึ้นตบที่หน้าเขาอย่างแรง น้ำเสียงสั่นคลอนด้วยความ โมโห “นายจะให้ฉันจากไป? มีสิทธิ์อะไร? อย่าลืม ฉันก็ลูกตระกูลหลิน มีสิทธิ์ในมรดกเหมือนกัน!ที่กรุ๊ปหลินมีอย่างทุกวันนี้ทั้งหมด ฉันก็ทุ่มเทและเสียสละ!”
“นอกจากฉันยินยอมจากไป มิเช่นนั้น ไม่มีใครสามารถขับไล่ฉันได้!” หลินจิ้งซูกัดริมฝีปากล่างของเธออย่างแรงจนควบคุมไม่ได้
เดิมเธอไม่อยากเชื่อคำพูดของคนพวกนั้น จะว่าไปเธอไม่เพียงแต่ปักชุดวิวาห์ให้ผู้อื่น(หมายถึงตนเองลำบากมาแทบตาย สุดท้ายกลับต้องยกผลประโยชน์ให้คนอื่นไปเสียเฉยๆ) เธอทุ่มสุดใจเพื่อน้องชายของเธอ แต่น้องชายของเธอไม่เพียงแต่อกตัญญู แม้แต่พ่อของเธอก็เหมือนกัน ก่อนหน้านี้ที่เตียงผู้ป่วยคนที่ดูแลทั้งชีวิตจิตใจก็คือเธอ แต่พอหันหลัง ในพินัยกรรมกลับไม่พูด ถึงเธอแม้แต่ตัวอักษรเดียว
นี่คือลูกสาวที่ทุ่มเททุกอย่างเพื่อครอบครัว เพื่อพ่อแม่ ทุ่มเทเพื่อน้องชาย แต่ที่เธอได้คืออะไร? แต่ไหนแต่ไรมาเธอไม่เคยอยากจะเชื่อเลย ยิ่งไม่อยากไปคิดเกี่ยวกับมัน แต่ตอนนี้วินาทีนี้ หลินโม่ป่ายถึงกับใจร้ายไร้ความปรานี
ตั้งแต่ยังเด็กจนโต ออกมาจากท้องแม่เดียวกัน ทำไมเธอถึงดูไม่ออก หลินโม่ป่ายถึงกับโหดร้ายและไร้หัวใจ…
หนึ่งฝ่ามือ เธอลงมือสุดกำลัง ทำเอามุมปากของหลินโม่ป่ายเลือดไหลออกมา จริงๆ แล้วเขาสามารถหลบได้ แต่เขาไม่ทำ เขาแค่ยืนตัวตรง มองไปที่แววตาเธอ ส่งสายตาที่เศร้าโศกลึกๆ ราวกับว่าคนที่ได้รับ บาดเจ็บจริงๆ คือตัวเขา
“จำไว้นะ นายไม่ใช่เป็นแค่ประธานกรรมการของกรุ๊ปหลินเท่านั้น กรุ๊ปหลินยังมีของฉันครึ่งหนึ่ง หากฉัน ไม่ยินยอม นายก็ไม่มีสิทธิ์ทำอะไร!” หลินจิ้งซูเกือบจะผิดหวังในตัวเขาอย่างสมบูรณ์ แต่ที่ผิดหวังกว่านั้น ก็คือหัวใจของตัวเอง
เรื่องมาถึงวันนี้ คิดไม่ถึงว่าเธอยังคิดว่าเธอสามารถเชื่อใจน้องชายได้ คิดว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงเพราะเธอ เข้าใจเขาผิด แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า มันจะเป็นจริงแล้ว
หลินจิ้งซูปิดประตูและจากไปด้วยความโกรธ เสียงดัง หลินโม่ป่ายหันกลับมา เช็ดเลือดจากริมฝีปาก และ มองไปที่ซูย้าวอย่างเศร้าๆ “เฮ้ ทำให้คุณหัวเราะเยาะแล้ว!”
ซูย้าวไม่พูด นั่งบนโซฟาครู่หนึ่ง ลุกขึ้นและเดินตรงไปที่ชั้นวางไวน์เพื่อหยิบไวน์แดงหนึ่งขวด เปิดออก และเทลงแก้วสองใบ
ยื่นให้เขาหนึ่งแก้ว แล้วตัวเองก็ถือแก้วใบหนึ่งนั่งลงอีกครั้ง “ในเมื่อคิดดีแล้ว เสียใจทีหลัง ยังไงไม่ช้าก็เร็วต้องมาถึงขั้นนี้อยู่ดี”
หลินโม่ป่ายดื่มไวน์ในมือของเขาจนหมด วางแก้วไวน์ลง แล้วเดินไปที่หน้าต่าง
ซูย้าวมองไปที่เขา ไม่เหมือนว่าอยากชมวิว แทบจะรู้สึกได้ถึงความโดดเดี่ยวที่สามารถรู้สึกได้จากด้าน
หลังของเขา หรือว่า การเลือกแบบนี้ คงทำให้เขาลำบากใจไม่น้อย!
…
ในตอนเย็นโรงเรียนอนุบาลเลิกเรียน
โม่หว่านหว่านมาถึงที่หน้าประตูโรงเรียนนานแล้ว เตียวเตียวพาซีซีออกมา เมื่อเห็นเธอ เขาก็โบกมือ อย่างรวดเร็ว “คุณน้า!”
จากนั้นเตียวเตียวก็ดึงซีซี รีบวิ่งมาถึงข้างๆ เธอ “คุณน้า ทำไมวันนี้คุณถึงมารับพวกเราล่ะ?”
“อืม แม่ของพวกเธอมีธุระน่ะ!” โม่หว่านหว่านใจลอย สายตาของเธอยังคงจดจ่ออยู่ในเด็กคนอื่นๆ สแกน
ทีละคน มองหาร่างเล็กๆ ที่คุ้นเคย
ในที่สุด เธอก็เห็นชาร์ลีในฝูงชน
ดวงตาของโม่หว่านหว่านเปล่งประกาย รีบโบกมือให้ชาร์ลี และเดินไปอย่างรวดเร็ว “ชาร์ลี…”
ชาร์ลีทักทายเธออย่างสุภาพ เรียก‘คุณน้า‘ แล้วเดินผ่านโม่หว่านหว่านไป
โม่หว่านหว่านชะงัก หันกลับไป คิดไม่ถึงว่าจะเห็นลี่เฉินซี
ผู้ชายลงจากรถ ชาร์ลีก็รีบวิ่งเข้าไป “คุณลุง!”
เขากอดชาร์ลีอย่างเป็นธรรมชาติ ด้วยแขนยาวที่แข็งแรง และพูดเบาๆ ว่า “วันนี้ลุงจะพาเธอกลับบ้าน ดีไหม?”
ชาร์ลีพยักหน้าอย่างมีความสุข
ลี่เฉินซีมองไปที่โม่หว่านหว่านอีกครั้ง “คุณโม่ คุณมารับเตียวเตียวกับซีซีเหรอ?”
“…ใช่สิ!” โม่หว่านหว่านจดจ่ออยู่ที่ชาร์ลี แทบจะไม่ได้สังเกตเด็กสองคนที่อยู่ข้างๆ เลย ถึงอย่างนั้นเตียวเตียวกับซีซีขึ้นรถกันไปแล้ว เธอยังไม่รู้สึกตัว
จนกระทั่งลี่เฉินซีพูดว่า “คุณโม่ ดูเหมือนว่าเด็กๆ จะขึ้นรถไปกันหมดแล้ว คุณยังมีธุระ?”
“อืม…” โม่หว่านหว่านหันกลับมาและเหลือบมองดูเด็กเจ้าเล่ห์ตัวน้อยสองตัวที่ปีนขึ้นไปบนรถเป็นเวลา
นานแล้วถอนหายใจลึกๆ “อันนั้น คุณลี่ คุณพอจะมีเวลาไหม? มีเรื่องที่อยากจะคุยกับคุณ…” เมื่อเห็นท่าทางจริงจังของเธอแล้ว รู้สึกว่ามันอาจจะเป็นเรื่องใหญ่ที่สำคัญ ลี่เฉินซีคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ “ถ้างั้นหลังจากที่ผมส่งเด็กกลับบ้านแล้ว ค่อย… ”
“ไม่ต้องลำบากหรอก พวกเราแค่หาที่ว่าง พาเด็กๆ ไปกินข้าว กินไปคุยไปก็ได้แล้ว!”
โม่หว่านหว่านรีบพูด และในขณะเดียวกันก็ดึงชาร์ลีออกจากอ้อมแขนเขา ลูบที่ศีรษะมีขนปุกปุยของเด็ก น้อย คิดว่าจะทำยังไงถึงจะหาโอกาส คว้าผมมาสักสองสามเส้นมาได้…