เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - ตอนที่ 473
เป็นไปไม่ได้!”
โม่หว่านหว่านใจเย็นลงแล้วคิดอยู่สักพัก สุดท้ายก็ส่ายหัวด้วยรอยยิ้ม “เป็นไปไม่ได้แน่นอน!”
หลินเวยขมวดคิ้ว “ทำไมถึงแน่ใจนัก
“ซูย้าวได้ตรวจสอบประวัติทั้งหมดของเตียวเตียวอย่างรอบคอบแล้ว และฉันก็รู้ว่าเด็กคนนี้เป็นเด็กกำพร้า ดูเหมือนว่าพ่อแม่เสียชีวิตโดยอุบัติเหตุ เป็นไปไม่ได้ที่จะถูกขโมยและถูกทอดทิ้ง ”
โม่หว่านหว่านจำได้อย่างแม่น เพราะเธอไม่สนับสนุนรับลูกของคนอื่นมาเลี้ยง ถึงอย่างไร ซูย้าวก็คลอดลูกได้หลายคน ด้วยเหตุใดจึงต้องรับเอาลูกที่ไม่ใช่สายเลือดเดียวกันมาเลี้ยง?
ดังนั้นเรื่องเหล่านี้ เธอรู้หมด
หลินเวยมองเธอ “แกแน่ใจเหรอ”
“ในตอนนั้นก็ทำการตรวจสอบอย่างรอบคอบแล้ว ถ้าแกไม่เชื่อ สามารถไปที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าตรวจสอบอีกครั้ง ไม่ผิดแน่นอน”
โม่หว่านหว่านพูดจบ และพูดเสริมอีกว่า“ได้โปรด พี่สาว นี่คือความจริง ไม่ใช่การถ่ายหนัง จะมีเรื่องบังเอิญมากมายขนาดนี้ได้ยังไง มีคนว่างแผนขโมยเด็กในตอนนั้น แต่กลับกลายเป็นความผิดพลาด หลังจากผ่านมาเป็นเวลาห้าปี ก็กลับมาอยู่ที่ซูย้าว ”
ยิ่งกว่านั้น ตอนนี้ ซีซีและเตียวเตียวอยู่ด้วยกันเป็นเวลานาน และพวกเขาก็มีความผูกพันกันแล้ว ถ้าเป็นพี่ชายและน้องสาวกัน ก็เป็นเหตุการที่เข้าใจผิดนั้นเหรอ ? เป็นไปไม่ได้
เมื่อพูดเช่นนั้น หลินเวยรู้สึกว่าการคาดเดาของเธอค่อนข้างเป็นไปไม่ได้ “โอเค อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นชาร์ลีหรือเด็กคนอื่น แกต้องทำให้เรื่องนี้แน่ใจให้ได้ หาเวลาตรวจดีเอ็นเออีกครั้ง! เปลี่ยนตัวอย่างตรวจ อย่างเช่นประเภทพวกเลือดหรืออะไรสักอย่าง”
โม่หว่านหว่านก็รู้สึกว่ามันจำเป็นที่จะต้องทำแบบนี้เช่นกัน ถ้าจะให้เจาะเลือด จะเอาข้ออ้างอะไรมาอ้างดี
ใจกลางเมืองในห้างสรรพสินค้า ซูย้าวไปที่ร้านเพื่อที่จะตรวจสอบด้วยตนเอง และบังเอิญพบลู่ส้าวหลิงก็อยู่ที่นี้ตรวจการณ์
“ซูย้าว” ”ลู่ส้าวหลิงเข้ามาทักทายเขาอย่างดีอกดีใจ เห็นเธอทำงานได้อย่างเชี่ยวชาญ อดไม่ได้ที่จะชมเชย “ตอนนี้ควรเปลี่ยนเรียกเป็น ประธานซูแล้ว”
เธอเม้มริมฝีปากเบาๆ “” ไม่ต้อง เรียกอย่างไงก็ได้ คุณชายลู่ว่าแต่ บังเอิญจัง!”
เขาพยักหน้า และเคลื่อนตัวออกห่างจากผู้คนรอบๆ แล้วพูดว่า “ด้วยความสามารถของทำไมไม่ออกจากจู้สือ ไปทำคนเดียวล่ะ หรือแต่งตั้งบริษัทซูซื่อขึ้นใหม่ ”
เธอรู้สึกแปลกใจเมื่อได้ยินคำพูดนี้” ทำไมช่วงนี้มีแต่คนเสนอแนะให้ฉันฟื้นฟูบริษัทซูซื่อล่ะ”
“มีแต่คนเสนอแนะ ? มีใครอีกที่เสนอ” ลู่ส้าวหลิงเป็นคนที่ช่างสังเกต เขารู้สึกถึงความแปลก ในสายตาของผู้หญิง
แม้ว่าซูย้าวไม่ได้พูด แต่เขาก็เดาได้และพูดทันทีว่า “คือประธานลี่หรือเปล่า”
เธอยิ้มและไม่ตอบ
ในขณะนี้ ก็บังอิญเจอผู้จัดการร้านค้าที่มาหาลู่ส้าวหลิงเพื่อเซ็นชื่อ มันคือใบเสร็จของโกดัง เขาเหลือบไปมองแล้วถามขณะตอนเซ็นว่า “ออเดอร์ใหญ่ขนาดนี้ เป็นของลูกค้าคนนี้คนเดียวเหรอ?”
“นี่มัน… ประธานลี่ เขาจองเครื่องประดับมี่ทั้งหดเที่จะวางขายในครั้งนี้ ให้ส่งไปที่บริษัทหานซื่อ ดูเหมือนว่าจะเป็นเครื่องประดีบมี่สำหรับคู่หมั้นโดยเฉพาะ เป็นคนรวยจริงๆ !” ผู้จัดการร้านค้าพูดพร้อมถอนหายใจออก
ลู่ส้าวหลิงเหลือบมองที่เขา และผู้จัดการก็สังเกตเห็นซูย้าวที่อยู่ข้างๆ เขาปิดปากของเขาโดยทันที
เอาเอกสารแล้วเดินออกจากไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อสังเกตดูผิดหวังเล็กน้อยในตัวผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ หลู่ส้าวหลิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ที่จริงแล้ว หัวใจผู้หญิงเปรียบเหมือนเข็มใต้ทะเล ยากที่จะคาดเดาได้ แต่ความจริงแล้ว ก็มีความคล้ายคลึงหัน ผู้ชายก็เช่นเดียวกัน ”
ซูย้าวมองมาที่เขา “คุณชายลู่ต้องการจะพูดอะไร”
“ที่ฉันอยากจะพูดก็คือ บางครั้งผู้ชายที่ทำดีกับใคร ไม่ได้หมายความว่าเขาจะรักใครคนนั้นจริงๆ การเพิกเฉยอาจเป็นเพราะไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร ” รอยยิ้มลู่ส้าวหลิงนั้นมีความหมายแฝงอยู่ ราวกับว่ามีบางอย่างซ่อนอยู่บนใบหน้าของเขา
แต่เธอไม่ต้องการที่จะอยากรู้ เธอแค่ยักไหล่และยิ้ม “อ้อ อย่างงี้นี้เอง”
“ยังไงก็ตาม ซูย้าวคุณน่าจะยังไม่รู้หรอก ห้าปีที่แล้ว คุณกับลี่เฉินซีไปขึ้นศาลเพื่อที่จะยื่นคำร้องต่อศาลขอสิทธิ์เป็นดูแลของลี่เจิ้ง แม่ของคุณก็เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุรถยนต์ ในตอนนั้นเเขาตัดสินใจ ที่จะให้คุณเป็นผู้มีสิทธิ์ดูแลลี่เจิ้ง โดยที่ไม่มีเงื่อนไขใดๆ ”
คำพูดในประโยคนี้ ทำให้ซูย้าวประหลาดใจ และดวงตาตื่นตะลึง
คือความจริง ตอนนั้นฝั่งเขาพร้อมที่จะถอนคำฟ้องร้อง และให้ทนายเตรียมพร้อมแล้วด้วย น่าเสียดาย ที่คุณไม่ให้โอกาสเขา แล้วตรงไปที่เมืองM เขาคิดไว้ว่าจะรอคุณกลับมาหลังจากที่คลอดลูกเสร็จ แล้วค่อยนำลี่เจิ้งให้คุณเพียงแต่ว่าคุณไม่กลับมา ซ้ำยังไปที่ต่างประเทศ”
ลู่ส้าวหลิงเห็นสายตาที่อึ้งของเธอนั้น และรู้ได้เลยว่า ลี่เฉินซียังไม่ได้บอกเธอ
ซูย้าวตกใจจริงๆ ตอนนั้นเขาต้องการยกสิทธิ์การดูแลเด็กให้ตัวเองโดยไม่มีเงื่อนไขเหรอ?
เขา…
“ตอนนั้นที่คุณแต่งงานกับเขา ผมไม่สนับสนุนงานแต่งของพวกคุณเลย อาจจะยังเข้าใจผิดเกี่ยวกับคุณในตอนแรก! เพราะคุณในตอนนั้นไม่ชอบพูดคุย ระหว่างเราก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกัน และไม่เคยติดต่อกันและกัน ” หลู่เส้าหลิงพูด
ซูย้าวมองมาที่เขา โดยไม่พูดอะไรสักคำ
“ผมกับเฉินซีเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาโดยตลอด แต่ผมไม่เคยเข้าไปยุ่งหรือถามถึงเรื่องความรักเลย แต่หลายปีที่ผ่านมานั้น ที่เห็นพวกคุณจากมุมมองของผม ในตอนแรกผมคิดว่าเขาแค่ทำตามคำพินัยกรรม และต้องแต่งงานกับเธอเพราะไม่มีทางเลือก มันเป็นเพียงแค่ทำตามหน้าที่รับผิดชอบคุณและลูกคุณ …”
หยุดพูดไปสักพัก เขาก็พูดขึ้นมาอีกครั้งว่า “แต่หลายปีที่ผ่านมานั้น มองดูในตอนนี้แล้ว เหมือนว่าในตอนนั้นเขาไม่ได้รู้สึกอย่างงั้น หรือพูดง่ายๆ ว่า เขาอาจจะ… …รักคุณมากกว่าที่คุณคิด ซูย้าว ไม่ใช่ว่าผมกำลังพูดเพื่อให้เพื่อนได้ดี แต่พฤติกรรมในปัจจุบันที่เขาแสดงออกมา ผมก็อธิบายไม่ถูก และก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน”
ตั้งแต่ลี่เฉินซีและหานฉ่ายหลิงหมั้นกัน ลู่ส้าวหลิงก็ยิ่งไม่เข้าใจใหญ่เลย ด้วยความที่เป็นลูกผู้ชาย ถึงจะเป็นเพื่อนที่สนิทกันแค่ไหนก็จะไม่มานั่งวิเคราะห์เรื่องความรัก หรือสำรวจเรื่องพวกนี้
เพียงแค่ตัดสินจากมุมมองและความรู้สึกของมุมมองของผู้ที่เห็น
เขาบอกว่า“อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณยังคงมีความรักที่เล็กน้อยต่อเขา ก็จงไว้วางใจเขา! เขาจะไม่ทำร้ายคุณ และเขาก็ไม่กล้าที่จะทำร้ายคุณ สุดท้ายแล้ว เขาจะให้คำอธิบายกับคุณ แน่นอน แต่ผมไม่สามารถรับรองได้ว่าคำอธิบายของเขานั้น , จะเป็นเรื่องที่ดีหรือ … ”
ลู่ส้าวหลิงลากเสียงยาวยิ้มออกมาอย่างรู้สึกผิด “อย่างไรก็ตาม ฉันหวังว่าคุณ จะได้คำตอบที่ดี อย่างน้อย ผมที่ไม่เชื่อในเรื่องของความรัก ให้ผมอิจฉาที่ได้เห็นคนอื่นรักกัน ผมหวังว่าพวกคุณจะดีขึ้น”
ซูย้าวยิ้มอย่างจริงใจ เธอรู้ว่า ลู่ส้าวหลิงเป็นคนที่ไม่ชอบพูด โดยเฉพาะความสัมพันธ์แบบธรรมดาๆ ระหว่างเธอกับเขา วันนี้เขาสามารถพูดเรื่องเหล่านี้ออกมาได้ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงเขาจริงใจอย่างมาก
เมื่อออกจากร้านค้า ซูย้าวขับรถกลับไปที่บริษัท ในสมองเธอวนอยู่กับคำพูดที่ลู่ส้าวหลิงได้พูดกับเธอ
5 ปีที่แล้ว เขาต้องการมอบสิทธิ์การดูแลเด็กให้กับเธอจริงๆ หรือ?
ถ้าเป็นเช่นนั้น
แล้วเธอก็พลาดโอกาสที่จะได้คืนดีกับเขาแล้วครั้งหนึ่งล่ะสิ!
ระหว่างทาง โทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนเบาะข้างคนขับ ก็มีสายเรียกเข้าไม่หยุด
เหลือบมองหน้าจอโทรศัพท์
ลี่เฉินซี
ซูย้าวลังเลว่าจะรับโทรศัพท์ดีไหม เพราะคาดเข็มขัดนิรภัยไว้ เลยไม่สะดวกรับจริงๆ อีกอย่างภาพของเขาและหานฉ่ายหลิง ก็โผ่เข้ามาในสมองของเธอครั้งแล้วครั้งอีก ก็ทำให้เธอไม่อยากรับโทรศัพท์เป็นธรรมดา
ปล่อยให้โทรศัพท์ดังขึ้นหลายครั้ง และเมื่อขับรถถึงบริษัท ฉันพบสายที่ไม่ได้รับสามสาย
เธอเม้อริมฝีปาก แล้วโยนโทรศัพท์กลับเข้าไปในกระเป๋า
ตอนที่ฉันไปโรงเรียนอนุบาลตอนกลางคืน ก็ดึกพอสมควร
ดังนั้นเมื่อ ซูย้าวมาถึง เหลือเพียงครูที่กับเด็กทั้งสองคือเตียวเตียว และซีซี เธอรีบวิ่งเข้าไปขอโทษ
เธอยังไม่ทันที่จะพูด เธอเห็นชิงช้าที่อยู่ฝั่งโน้น ยังคงมีชาร์ลีนั่งอยู่บนนั้น
ครูพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา แม่ของชาร์ลีดูเหมือนจะยุ่งงานมาก เลยไม่ได้มารับลูกเลย”
หยุดพูดไปครู่หนึ่ง ก็พูดเสริมว่า “แต่นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดานะ ปกติแล้ว คนปู่จะเป็นคนมารับเขากลับ ”
อย่างงี้นี้เอง! ซูย้าวหายใจเข้าลึกๆ เฝ้าดูกิริยาของชาร์ลี ใบหน้าของเขาเห็นได้ชัดเลยว่าไม่มีความสุข โดยเฉพาะเมื่อเห็น ซีซีและเตียวเตียวที่ออดอ้อนงอแงใส่เธอ เด็กก็ก้มหัวลงทันที .
อายุน้อยนี้ ควรเป็นวัยที่เขากำลังออดอ้อนงอแงงอยู่ในอ้อมแขนของพ่อแม่ ชาร์ลีที่น่าสงสาร…
เธอฝากเด็กทั้งสองให้ครูดูแลชั่วคราว ตัวเองก็เดินไปหาชาร์ลี
“ชาร์ลี?” ซูย้าวเดินไปหาเด็ก และนั่งลงยองๆ “ทำไมเราถึงอยู่คนเดียวละ”
ชาร์ลีมองเธอ และพูดอย่างสุภาพว่า “น้าครับ”
เธอลูบหัวเด็กไปมา “ชาร์ลี เป็นเด็กดี แม่ต้องยุ่งอยู่แน่ๆ ชาร์ลีต้องเข้าใจแม่นะ โอเคไหม”
“น้าครับ ผมไม่ได้เจอแม่มานานแล้ว!”ใบหน้าของเด็กน้อยเต็มไปด้วยความเศร้า คิ้วที่ขมวดนั้น
รู้สึกถึงมีความโดดเดี่ยวซ้อนอยู่
รูปลักษณ์เล็กๆ นั้น ทำให้ซูย้าวรู้สึกไม่อยากจากเขาไป และเธอก็กอดเด็กไว้ในอ้อมแขนของเธอ และความรักของแม่ที่ไม่สามารถบรรยายออกมาได้ ดวงตาของเธอสั่นไหว และทันใดนั้นเธอก็สังเกตเห็นบางสิ่งบางอย่าง แล้วถามว่า “ชาร์ลีแม่ของเรา เป็นแบบนี้มาตลอดเหรอ? ปกติเธอทำดีกับเราไหม?”
คำถามที่ถามออกมานั้น ดูเหมือนจะกระทบโดนจิตใจของเด็ก และดวงตาของเขาม้วนงอเล็กน้อย เม้มริมฝีปากและก้มหัวลงทันที