เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - ตอนที่ 479
ภัตตาคารหมุนรอบที่ใหญ่โต อาหารดินเนอร์ที่แสนโรแมนติก รอบข้างที่เต็มไปด้วยแชมเปญโรส ชุดแต่งงานสีขาวที่ตัดเย็บด้วยมือทั้งหมด
หานฉ่ายหลิงยืนอยู่ตรงนี้และพูดช้าๆเธอเห็นสิ่งที่เธอกำลังเจออยู่ เธออึ้งไปอยู่กับที่ ตอนแรกที่ความหวานเข้าไปถึงในหัวใจขณะนี้คำพูดเดียวแทนที่ทั้งหมด
ตอนนี้ที่เขากำลังจะคุยเรื่องงานแต่งงานกับเขานั้น เธอรอมานานหวังมานานเกือบที่จะสำเร็จ แต่ทำไมต้องเป็นตอนนี้ด้วย…..
นี่เป็นความบังเอิญหรือ?
คนนั้นอยู่ตั้งนานไม่ฟื้นขึ้นมาทำไมถึงต้องมาฟื้นขึ้นมาตอนนี้ด้วย ฟื้นขึ้นมาแบบกะทันหันด้วย
เพียงแค่โทรศัพท์สายเดียวทำให้ลี่เฉินซีทิ้งเธอและรีบจากไป
จ้องมองไปที่เงาร่างของผู้ชายที่กำลังจะจากไปคนนี้ หานฉ่ายหลิงอึ้งอยู่กับที่และยิ้มอย่างเยือกเย็น เธอคิดได้ตั้งแต่แรกแล้วว่าลี่เฉินซีในตอนนี้ ในใจของเขา ถึงจะเป็นผู้หญิงที่เขารักมาก แต่ก็ไม่อาจจะเทียบกับลูกของเขาได้
ลี่เจิ้งฟื้นขึ้นมาแล้ว
จากอุบัติเหตุครั้งนั้น ลี่เจิ้งที่สลบไปหกเดือนกว่าตอนนี้ได้ลืมตาฟื้นขึ้นมาแล้ว
ลี่เฉินซีรีบขับรถไปที่โรงพยาบาลเอกชนตอนที่เขาถึงโรงพยาบาล มีรถหรูจำนวนมากจอดอยู่หน้าโรงพยาบาล เจี่ยงเวินอี๋ถึงโรงพยาบาลก่อนเขา
ห้องผู้ป่วยสีขาวที่ใหญ่ หมอกำลังตรวจอาการของเด็กอยู่ เจี่ยงเวินอี๋เดินอยู่ตรงช่องทางเดิน วินาทีที่เห็นลี่เฉินซี เธอตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูก
เธอรีบเดินเข้าไป ยื่นแขกไปกอดแม่ “เจิ้งเอ๋อฟื้นแล้ว”
“ใช่แล้ว เป็นเรื่องที่ดีมาก เจิ้งเอ๋อตื่นแล้ว……” เจี่ยงเวินอี๋ดีใจจนร้องไห้ ยิ่งรู้สึกดีใจแทบจะเป็นบ้า
ตอนนี้ใจของลี่เฉินซีก็รู้สึกตื่นเต้นมากเช่นกัน อยากที่จะบอกข่าวดีนี้กับซูย้าวเร็วๆ แต่ตอนนี้วีแชทพึ่งพิมพ์เนื้อหาเสร็จ ยังไม่สามารถส่งข้อความได้ และหมอได้เปิดประตูเข้ามา
“ดัชนีต่างๆของร่างกายของนายน้อยยังสมดุลอยู่ และแผลนอกบริเวณศีรษะก็หายดีแล้ว และเลือดคั่งในศีรษะได้ถูกร่างกายดูดซึมไปแล้วผ่านระยะที่สลบอยู่…….”
คำพูดทั้งหมดเป็นข่าวดี แต่ไม่รู้เป็นเพราะอะไร ลี่เฉินซีเห็นความผิดปกติบนใบหน้าของหมอ
เจี่ยงเวินอี๋ที่ดีใจได้เดินอ้อมหมอ และเข้าห้องไป ไปเยี่ยมหลานของเธอ
ลี่เฉินซีไม่ได้รีบเข้าไปและมองไปที่หมอและถามต่อว่า “ยังมีอะไรอีกมั้ยหมอ?”
หมอมองไปที่เขาขมวดคิ้ว หมอยังไม่ทันพูดออกมาเจี่ยงเวินอี๋ได้ออกมาจากห้องผู้ช่วยด้วยมีหน้าที่ตกใจ และมองหมอด้วยสีหน้าที่อึ้ง “ทำไมถึงเป็นแบบนี้? เจิ้งเอ๋อฟื้นแล้วไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงเป็นแบบนี้ได้!”
ได้ยินแบบนี้ ลี่เฉินซีได้เดินเข้าห้องผู้ป่วยไป
ตอนที่เห็นลูกตัวเองนั่งอยู่บนเตียงใบหน้าที่เอ๋อ แววตาที่ว่างเปล่า ถึงจะฟื้นขึ้นมาแล้ว แต่สภาพก็ไม่ต่างกับตอนสลบอยู่
หมอถอนหายใจ ถึงพูดออกมาว่า “ต้องขอโทษด้วย นายน้อยไม่ได้พ้นจากสภาพของมนุษย์พฤกษ์ เขาในตอนนี้ ก็แค่ลืมตาเฉยๆ อวัยวะอื่นผมไม่รู้ว่าจะตอบสนองหรือเปล่า”
“แปลว่าอะไร?” เจี่ยงเวินอี๋มีสีหน้าที่เคร่งครัด
“ก็แปลว่าสภาพเขาตอนนี้ ไม่มีความสามารถทางด้านการคิด อาจจะไม่รับรู้ภาพหรือเสียงต่างๆ ด้วย ที่พวกเราเห็นว่าเขาลืมตา ก็แค่ลืมตาเฉยๆ นอกเหนือจากนี้ ก็เป็นสภาพเดียวกับเมื่อก่อน” หมอพูดแบบนี้
เจี่ยงเวินอี๋ยากที่จะรับได้ ร่างกายของเธอโซเซเกือบที่จะล้มลงไป ยังดีที่ลี่เฉินซีประคองเธอไว้ทัน “งั้นเจิ้งเอ๋อจะพ้นจากสภาพนี้เมื่อไหร่ครับ? ”
“ต้องขอโทษด้วยนะครับ เวลาที่แน่ชัดผมยังไม่รู้ สภาพแบบนี้ ไม่ได้เกิดจากการกระทบกระเทือนภายนอก แต่เกิดมาจากในใจของเขาเอง ก็เหมือนเป็นการกั้นตัวเองอยู่ในโลกที่ตัวเองสร้างขึ้นมา ไม่อยากที่จะออกมา ผมแนะนำให้ไปหาหมอทางจิตวิทยาและสอบถามหมอ เรื่องอาการของนายน้อยตอนนี้นะครับ แต่ก็อาจจะไม่ได้ช่วยอะไร”
เจี่ยงเวินอี๋เอามือปิดปากด้วยความประหลาดใจ น้ำตาได้ไหลออกมาจากดวงตาไม่หยุด “ทำไมถึงเป็นแบบนี้ เจิ้งเอ๋อพึ่งอายุแปดขวบ ทำไมถึงเป็นแบบนี้…….”
ลี่เฉินซีพยายามที่จะปลอบใจแม่ แค่เห็นลูกต้องตกอยู่ในสภาพนี้ ใจของเขาก็รู้สึกไม่ดีเหมือนกัน
“ป้า…….”
หานฉ่ายหลิงรีบวิ่งตรงเข้ามาทันท่วงที เห็นสถานการณ์แบบนี้รีบไปประคองเจี่ยงเวินอี๋ “ป้าเป็นอะไร?”
รู้อาการตอนนี้ของลี่เจิ้งจากคุณหมอ เธอได้เข้าไปในห้องผู้ป่วย ลี่เจิ้งนั่งอยู่บนเตียง สีหน้าที่เอ๋อ นั่งนิ่งไม่ได้ขยับเลย ถึงจะลืมตาแต่แววตาดูว่างเปล่า ดูโศกเศร้า เขาเหมือนดั่งตุ๊กตาที่สลักจากฝีมือคน
ท่าทางใจลอย
เหมือนดั่งคนที่แข็งทื่อเหมือนตอไม้
ในใจของหานฉ่ายหลิงยิ้มอย่างเย็นชา เธอคิดว่าเจ้าเด็กคนนี้โชคดีได้ฟื้นขึ้นมา ที่จริงแล้วก็แค่ฟื้นขึ้นมาแบบไม่มีสติ แบบนี้ก็ดีเหมือนกันจะได้หมดปัญหาอื่นๆ ที่จะตามมา
ออกมาจากห้องผู้ป่วย เธอมองเจี่ยงเวินอี๋ด้วยสีหน้าที่เศร้าโศก และปลอบใจเธอว่า “คุณป้า คุณป้าไม่คิดมากนะ เจิ้งเอ๋อลืมตาขึ้นมาได้ ก็แปลว่าน้องใกล้ที่จะได้สติกลับคืนมาแล้ว! อีกไม่นาน น้องจะหายเป็นปกติแน่นอน…….”
สำหรับเจี่ยงเวินอี๋ในตอนนี้ ถึงจะเป็นคำพูดที่โกหกหลอกลวง เธอก็ยอมจะฟัง
หานฉ่ายหลิงประคองเธอ และเช็ดน้ำตาให้เธอไม่หยุด และพูดกับลี่เฉินซีว่า “เฉินซี ฉันกลับไปอยู่เป็นเพื่อนป้าก่อนนะ นายอยู่เป็นเพื่อนเจิ้งเอ๋อที่นี่ก่อนนะ!”
เขาพยักหน้าและเห็นแม่และหานฉ่ายหลิงจากไปถึงได้ผลักประตูห้องผู้ป่วยออก
ห้องนี้ใหญ่มาก สีของฝ่าห้องเป็นสีขาวและปนสีเขียวอ่อนๆ กลิ่นดอกไม้อ่อนๆฟุ้งไปทั่วห้อง ลี่เฉินซีนั่งแนวขวางอยู่ข้างๆเตียง และจับมือลี่เจิ้งอยู่ มองไปที่เด็กผู้ชายคนนี้ แล้วหลับต่อย่างเจ็บปวด
“เจิ้งเอ๋อ……”
สำหรับลูกคนนี้ลี่เฉินซีรู้สึกตัวเขาเองติดหนี้เขาเยอะมากๆ โดยเฉพาะเขาที่เป็นพ่อ เขารู้สึกผิดต่อลูกคนนี้มาก
วินาทีที่หลับตาในสมองของเขาปรากฏภาพเหตุการณ์เมื่อหลายปีก่อน ตอนนั้นลี่เจิ้งพึ่งอายุห้าขวบ วันนั้นพึ่งกลับมาจากโรงเรียนอนุบาล ลี่เจิ้งกลับมาพร้อมจมูกเขียวและใบหน้าที่บวม
บังเอิญว่าตอนนั้นเขาอยู่บ้านด้วยก็ถามเจิ้งเอ๋อไปว่าเกิดอะไรขึ้น ลูกพูดเพียงว่า “แม่ผมอยู่ไหน? พ่อเอาแม่ผมไปไว้ไหน? รีบคืนแม่ให้ผม!”
คำพูดเด็กที่ไร้เดียงสา
เพียงแค่ประโยคเดียวก็ทำให้เขาเจ็บปวดใจได้ ลี่เฉินซีไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร หันหลังและเดินออกจากบ้าน ทิ้งลูกไว้ให้แม่บ้านและย้ายดูแล
ตอนนี้มาคิดดูแล้วเขาเป็นพ่อที่ไม่เหมาะสมเลยจริงๆ
ความทรงจำแบบนี้มีมากมา
ตอนที่เขาหย่าเจิ้งเอ๋อพึ่งอายุสามขวบ ร้องหาแม่ทุกวันร้องเรียกแม่จนเสียงแหบหมดแล้ว
การร้องไห้ของลูกแต่ละครั้งก็เหมือนมีมีดไปกรีดหัวใจของเขากรีดจนเลือดออก เหลือเพียงความอยากจะหนีไปให้ไกล นี่เป็นวิธีที่ผู้ใหญ่ใช้ประจำ แต่ลูกละ? ตอนแรกเขาคิดว่าเวลาจะเยียวยารักษาทุกสิ่งได้ แต่เจิ้งเอ๋อโตขึ้นทุกๆวัน ก็จะรับความจริงนี่ได้เอง
ตอนนี้มาคิดใหม่ เขาคิดผิด
“เจิ้งเอ๋พ่อเป็นคนผิดเอง ตอนนี้พ่อพาแม่ของลูกกลับมาแล้ว ให้แม่มาพบลูกแล้ว ดีมั้ย?”
แขนที่ใหญ่กำลังลูบหน้าของเด็กคนนี้อยู่ และเอาเด็กคนนี้กอดเข้าอ้อมกอดตัวเอง ยากที่จะควบคุมไม่ให้ตัวเองต้องร้องไห้
ปั้ง!
ประตูของห้องผู้ป่วยถูกผลักออกด้วยแรงจากด้านนอกอย่างรุนแรง เสียงที่ดังสนั่นหวั่นไหว และไปกระทบลี่เฉินซีที่กำลังย้อนคิดเรื่องเก่าๆอยู่ เขาหันไปมองที่ประตู ซูย้าวปรากฏตัวขึ้นมาต่อหน้าเขาอย่างรวดเร็ว
ในมือของเธอยังถือโทรศัพท์อยู่ และหยุดอยู่หน้าแชทของวีแชท เป็นหน้าที่เธอคุยกับลี่เฉินซี เธอไม่สนใจที่จะเปลี่ยนชุดแล้วยังไม่ได้แต่งหน้าทาปากเลย ในสมองของเธอมีเพียงความคิดถึง เพราะเธอจะได้เจอ ลูกที่ไม่ได้เจอกันมาห้าปี
เธอในตอนนี้ ใส่เสื้อผ้าที่ใส่อยู่บ้าน และสวมเสื้อกันหนาวขนแพะ ผมที่ยาวของเธอดูยุ่งเหยิง ได้รีบวิ่งขึ้นบันไดไป จนเธอหอบจนหายในไม่ทัน
เธอยืนพักหายใจอยู่หน้าประตู เธอถึงได้เข้าห้องผู้ป่วยไป และเธอมองไปที่ลี่เจิ้งด้วยสีหน้าที่สับสน ตอนที่เธอเห็นลูกของเธอที่มีอาการเอ๋อ เธออึ้งไปเลย
“เจิ้ง เจิ้งเอ๋อ?”
วินาทีต่อมาเธอได้รีบเดินเข้าไป และแกว่งมือไปมาต่อหน้าเขา เธอตกใจจนยากที่จะเชื่อ เมื่อได้สติกลับมาแล้วถอยหลังไปสองก้าว แล้วมองไปที่ลี่เฉินซี “นี่ นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
ลี่เฉินซีลุกขึ้น และใช้แขนดึงเธอแล้วพาเธอเดินออกจากห้องไป
แล้วเล่าสิ่งที่หมออธิบายทั้งหมดให้เธอฟังสุดท้ายเขาก็พูดว่า “ฉันก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจะเป็นแบบนี้”
ความหวังที่พึ่งเกิดขึ้น ตอนนี้ก็ได้หายไปความรู้สึกในใจของจะแย่แค่ไหนก็ไม่ต้องบอก
ซูย้าวเงียบไปสิบกว่านาที แล้วค่อยๆ ยอมรับความจริง
โล่งใจไปนิดหนึ่งและเงยหน้าไปมองเขา “ขอบคุณนะที่นายเล่าเรื่องนี้ให้ฉันฟัง แต่ก็ไม่เป็นไร ไม่ว่าเจิ้งเอ๋อกลายเป็นสภาพแบบไหน เขาก็ยังเป็นลูกฉัน ถึงจะได้แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว……