เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - ตอนที่ 528
สีหน้าของลี่เฉินซีเคร่งขรึมเล็กน้อย “ใครมา?”
พี่เลี้ยงอึกอักแล้วหลบสายตา “คือว่า คุณลงไปก็ทราบเองค่ะ”
เมื่อเห็นสีหน้าของพี่เลี้ยง เขาก็พอจะเดาได้ว่าใคร
เมื่อเขาลงไปถึงชั้นล่าง ตามคาด เจี่ยงเวินอี๋นั่งอยู่บนโซฟาและมีลี่เจิ้งที่เพิ่งออกจากโรงพยาบาลนั่งอยู่ข้างๆ สวมชุดกีฬาสบายๆ เพราะขาและเท้าของเขาไม่สะดวกจึงต้องนั่งรถเข็นไฟฟ้า
เขาขมวดคิ้วแล้วเดินเข้าไป “ไม่ใช่ว่าจะพาเจิ้งเอ๋อกลับไปอยู่ด้วยเหรอ?”
เจี่ยงเวินอี๋เงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความรำคาญ “แม่ก็คิดแบบนั้น แต่เจิ้งเอ๋อบอกว่าจะอยู่กับลูกที่นี่ เขาคิดถึงลูก”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ลี่เฉินซีหันกลับไปมองลูกชาย ลี่เจิ้งมีหน้าไร้อารมณ์ เด็กน้อยที่แสนสง่างามนั่งอยู่บนรถเข็น เขารู้สึกแปลกแยกราวกับว่าเขากำลังปฏิบัติกับคนแปลกหน้า
คิ้วที่สวยงามของลี่เฉินซีหมวดรวมกันจนกลายเป็นเส้นสามเส้นทันที เด็กคนนี้ ตั้งแต่หายป่วยก็เหมือนกลายเป็นคนละคน!
เมื่อก่อนไม่ใช่แบบนี้!
สุดท้ายในฐานะลูกชายของตัวเอง เขาจึงไม่พูดอะไรได้แต่ให้พ่อบ้านไปจัดการ จากนั้นเขาก็นั่งลงและคุยกับเจี่ยงเวินอี๋ครู่หนึ่ง แต่ยังไม่ทันจะพูดอะไร พ่อบ้านก็ส่งเสียงร้องตกใจ
“คุณชายน้อยครับ!”
พ่อบ้านเองก็เป็นคนเก่าคนแก่ของตระกูลลี่ และมีอายุแล้ว เขาแก่และขยันมาก เพราะบันไดเวียนไม่สะดวกสำหรับรถเข็นไฟฟ้า พ่อบ้านจึงต้องการพยุงหรืออุ้มลี่เจิ้งขึ้นชั้นบน ท้ายที่สุดเด็กคนเดียวจะหนักแค่ไหนกัน แต่เด็กคนนั้นกลับลุกและไม่รับความช่วยเหลือจากพ่อบ้านและเป็นผลให้เขาล้มลงกับพื้นทันที
เจี่ยงเวินอี๋กระเด้งตัวขึ้นทันทีและรีบวิ่งไปพร้อมกับก้าวที่แข็งแรง
ต้องเข้าใจก่อนว่า เด็กคนนี้เป็นเหมือนดั่งทั้งชีวิตสำหรับเธอ เพียงแค่โดนอะไรนิดหน่อยหรือล้มเพียงนิดเดียวก็ทนไม่ได้แล้ว!
“เจิ้งเอ๋อของย่า…” เจี่ยงเวินอี๋รู้สึกเสียใจกับเด็กคนนี้แล้วจ้องที่พ่อบ้านด้วยความโกรธ “เธอทำอะไรของเธอ? แค่เด็กคนเดียวดูแลไม่ได้รึไง?”
ลี่เฉินซีสูดหายใจแล้วลุกขึ้นเดินเข้าไป พ่อบ้านยังขอโทษขอโพย เขากลับเข้าไปขวางไว้แล้วส่งสายตาเย็นชาไปที่ลูกชายที่นั่งอยู่ที่พื้น “ตั้งใจใช่ไหม?”
เจี่ยงเวินอี๋ผงะและผลักเขาด้วยศอกโดยไม่รู้ตัว “ลูกเป็นพ่อนะทำไมถึงพูดแบบนี้?”
เธอพูดพลางพยุงลี่เจิ้งให้ลุกขึ้น เจี่ยงเวินอี๋ไม่รู้ว่าเธอใช้ความพยายามไปมากแค่ไหน แต่เธอไม่สามารถพยุงเด็กขึ้นมาได้ และดวงตาที่หมดหนทางของเธอก็ซับซ้อนขึ้น “เจิ้งเอ๋อ นี่หลาน…”
ลี่เจิ้งก็ไม่มีเสียงเช่นกัน แต่ด้วยสายตาที่จ้องเขม็ง เขามองลี่เฉินอย่างเย็นชา เป็นการส่งข้อความให้เขาช่วยพยุงและให้เขาแบกเขาขึ้นหลังนั่นเอง
ลี่เฉินซีก็ไม่สน เขาได้แต่ถาม “พ่อถามลูกอยู่ เป็นใบ้รึไง?”
เขาไม่ได้ตั้งใจจะพูด แต่รู้สึกโกรธเล็กน้อยอยู่ครู่หนึ่ง แต่เขาไม่คิดว่าด้วยคำพูดจากลี่เจิ้งจะทำให้เขาสีหน้าเปลี่ยนไปทันที
สิ่งที่ลี่เจิ้งพูดคือ “เป็นใบ้? ผู้หญิงที่คลอดผมมาก็เป็นใบ้ไม่ใช่เหรอ? ผมกลายเป็นใบ้ก็ปกตินี่!”
คำพูดนี้ทำให้ลี่เฉินซีเกือบจะทนไม่ไหวแล้วตบหน้าเขาอย่างจัง!
เด็กคนนี้เป็นอะไรกันแน่นะ? !
หากซูย้าวได้ยินคำพูดพวกนี้เข้าจะเสียใจแค่ไหนกัน!
เขาโกรธและหันไปมองเด็กน้อย “ลูก…ถ้าเก่งจริงก็พูดให้พ่อได้ยินอีกรอบสิ!”
ลี่เจิ้งกลับยิ่งโมโหแล้วพูดด้วยท่าทางท้าทาย “เป็นใบ้ๆ หญิงใบ้คลอดลูกออกมาก็ต้องเป็นใบ้สิ ได้ข่าวว่ายัยเด็กนั่นก็พูดไม่ได้ เป็นใบ้เหมือนกันนี่!”
ครั้งนี้เขาทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้วจริงๆ เขาเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรไป เมื่อความโกรธเข้าครอบงำ เขายื่นเท้าออกไปข้างหนึ่งแล้วเตะไปโดนลี่เจิ้ง
เขาไม่ได้ใช้แรงเต็มที่แต่พอสะบัดออกไปก็ทำให้ลี่เจิ้งกระเด็นไปไกลหลายเมตร
เจี่ยงเวินอี๋เห็นดังนั้น ก็ตกใจกลัวจนแทบร้องไม่ออก “เจิ้งเอ๋อ!”
เธอพุ่งตัวเข้ามาหาเด็กทางนี้ ส่วนทางนั้นเธอก็ใช้สายตาพุ่งไปที่ลี่เฉินซี “ลูกเก่งมางั้นสิ? ตั้งแต่เล็กจนโตลูกไม่เคยตีเขาสักครั้ง ตอนนี้ลูกกล้าทำร้ายเขา?”
ใบหน้าที่หมองหม่นของลี่เฉินซีในตอนนี้ไม่น่าดูนัก ดวงตาที่เย็นชาจ้องมองลูกชายที่ตัวเองเตะออกไปไกลหลายเมตร “ถูกต้อง แม่ลูกตอนลูกเกิดเธอเป็นใบ้ แต่ต่อให้เธอเป็นใบ้ พูดไม่ได้ ก็เป็นผู้หญิงที่พ่อรัก ถ้าหากไม่มีเธอ ก็ไม่มีลูกอยู่บนโลกนี้!”
“ลี่เจิ้ง พ่อเสียเงินตั้งมากมายให้ลูกเล่าเรียนหนังสือ ลูกเรียนแต่อะไรแบบนี้งั้นเหรอ? คนโบราณว่าไว้ ความรักของแม่ไม่มีขีดจำกัด ลูกเรียนมาแบบไหน! ตอนนี้ทอดทิ้งแม่แท้ๆ ของตัวเอง ลูกมีจิตสำนึกบ้างไหม ป่วยหนึ่งครั้งหนึ่งทำให้ลูกเปลี่ยนไปเป็นคนเนรคุณแล้วเหรอ?”
ลี่เฉินซีเกิดความรู้สึกทนไม่ได้อยู่ในใจ เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะมีวันที่เด็กคนนี้จะพูดแบบนี้ออกมา!
อีกทั้งยังเรียกซีซีว่ายัยเด็กคนนั้น นั่นคือน้องสาวแท้ๆ ของเขานะ!
เขายกมือขึ้นอย่างไร้อารมณ์และคลายเนกไทของเขาเจี่ยงเวินอี๋จับลี่เจิ้งไว้และไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี “เจิ้งเอ๋อ กลับไปกับย่าเถอะ กลับไปอยู่กับย่า!”
ในสถานการณ์แบบนี้ ให้เด็กอยู่ที่นี่ เจี่ยงเวินอี๋รู้สึกไม่ไว้ใจเลย
แต่ลี่เจิ้งก็ยังไม่ยอมพูดอะไร ยังคงทำหน้านิ่งๆ ไม่เพียงไม่พูดจา ยังคงมองลี่เฉินซีนิ่งด้วยท่าทางที่ไม่ย่อท้อ
ลี่เฉินซีสูดหายใจเข้าลึกๆ ซ้ำๆ หลายครั้ง ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาเป็นลูกชายของเขาเอง
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็เดินกลับมาอีกครั้ง และก้มลงมองดูดวงตาที่เย็นชาของเด็กและหรี่ตาลงเล็กน้อย “ถ้างั้นก็ไสหัวไปพร้อมย่าแก หรือไม่ก็ลุกขึ้นมา เลือกเอง!”
เจี่ยงเวินอี๋โกรธจนแทบจะเป็นบ้า เขาขมวดคิ้วและถลึงตามองไปที่ลูกชาย “ลูกพูดอะไรน่ะ! อย่าคิดว่าแกมีซีซีแล้ว จะทำอะไรตามอำเภอใจ เจิ้งเอ๋อก็เป็นลูกแกเหมือนกัน! เขาเป็นทายาทอันดับหนึ่งของลี่ซื่อ!”
ลี่เฉินซีกวาดตามองแม่ของเขา ก็เพราะความรักและตามใจของเธอ จึงได้โอ๋ลูกของเขาจนกลายไม่รู้จักคิดแบบนี้!
เขากัดฟัน “ทายาทอันดับหนึ่ง? นั่นผมต้องเป็นคนพูดต่างหาก จากที่เขากลายเป็นแบบนี้ในตอนนี้ ผมจะยกทุกอย่างให้ซีซี ลูกสาวก็สามารถสืบทอดกิจการครอบครัวได้เหมือนกัน!”
ลี่เฉินซีตั้งใจพูดอย่างใส่อารมณ์ เขาไม่มีทางจะทำอะไรเพียงเพราะเรื่องเล็กน้อย ก็ทำลายความสัมพันธ์ของลี่เจิ้ง นี่เป็นเพียงเด็กคนหนึ่งเท่านั้น
เจี่ยงเวินอี๋โกรธและไม่พูดอะไรได้แต่ก้มหน้าไปหาเจิ้งเอ๋อ “กลับไปอยู่กับย่าไหม?”
ลี่เจิ้งยังไม่พูดอะไร แต่ไม่ว่าเขาจะดื้อรั้นแค่ไหน เขาก็ต้องถูกจำกัดโดยร่างกายของเขา ขาและเท้าของเขาไม่ยืดหยุ่นในตอนนี้ และเขาทำได้เพียงพยายามดิ้นรนเพื่อลุกขึ้นจากอ้อมแขนของเจี่ยงเวินอี๋
แต่ด้วยแรงที่จำกัดของเด็กและก่อนหน้านี้ที่เขานอนอยู่ในโรงพยาบาลเป็นเวลานาน ขาทั้งสองข้างจึงไม่มีแรง เขาออกแรงอยู่นานแต่ก็ยังไม่มีแรง
สุดท้าย ลี่เฉินซีทนเห็นต่อไปไม่ไว้จึงก้มลง ใช้แขนยาวอุ้มเด็กขึ้นมาแล้วพาดกับไหล่ จากนั้นก็ใช้ฝ่ามือใหญ่ตีไปที่ก้นของเด็กน้อยสองทีอย่างแรง “ลูกเป็นเด็กไม่ดี พูดจาไม่รู้จักกาลเทศะ หากทำอะไรตามอำเภอใจแบบนี้อีก คอยดูเลยว่าพ่อจะจัดการลูกยังไง!”
ลี่เจิ้งไม่ขยับ อันที่จริงช่วงล่างของเขานั้นยังฟื้นตัวได้ไม่สมบูรณ์ จึงไม่ได้รู้สึกเจ็บอะไร
แต่เจี่ยงเวินอี๋ทนดูไม่ได้ แม้ใจอยากจะขวางไว้แต่ลี่เฉินซีก็ก้าวเท้ายาวหนีไป เธอร้อนรนจนสีหน้าดูไม่ได้ “ลี่เฉินซี นั่นลูกชายแกนะ อย่าตีหลานฉันนะ!”
ชายหนุ่มเดินขึ้นไปข้างบนทันที เขาเดินและพูดไปพลาง “เขาเลือกจะอยู่ที่นี่เอง ถ้าไม่ทำตามผม แม่ก็เอาเขากลับไป!”
เจี่ยงเวินอี๋ “…”
เธอยิ่งไม่วางใจที่จะให้เจิ้งเอ๋ออยู่ที่นี่ แต่เมื่อเห็นว่าหลานต้องการจะอยู่ที่นี่มาก ก็ไม่อาจจะขวางไว้ได้ สุดท้าย เจี่ยงเวินอี๋จึงได้แต่กำชับพี่เลี้ยงและพ่อบ้าน
ความทุกข์ใจของคนแก่นั้น ทุกคนสามารถเข้าใจได้
ชั้นบนลี่เฉินซีอุ้มเด็กเข้าไปในห้องของเขา กระแทกประตูห้องด้วยขายาวของเขา และโยนเด็กลงบนเตียงโดยตรง จากนั้น ร่างสูงยืนอยู่ข้างเตียงพร้อมกับจ้องมองอย่างเย็นชา “ครั้งสุดท้าย หากทำผิดอีก พ่อจะตี!”
จากนั้นเขาก็ไม่หันไปมองใบหน้าที่หม่นหมองของลี่เจิ้ง แล้วหันหลังเดินออกจากห้องไป