เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - ตอนที่ 564
ตกเย็น ภายในห้องรับประทานอาหารสุดหรู แม่บ้านและสาวใช้ต่างพากันวิ่งวุ่นไปมา แต่บรรยากาศบนโต๊ะอาหารกลับดูมืดมนและน่าอึดอัด
เป็นเพราะช่วงสองปีที่ผ่านมาลี่เฉินซีงานยุ่งมาก เขาแทบจะไม่มีเวลามากินข้าวกับลูกๆ เลย ในตอนนี้ก็เช่นกัน เด็กทั้งสามคนนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร ลี่เจิ้งกินข้าวอยู่เงียบๆ ลี่หมิงที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็กินข้าวอยู่เงียบๆ เช่นกัน มีเพียง ซีซีคนเดียวเท่านั้นที่กินข้าวไป แล้วก็มองพี่ชายทั้งสองคนซึ่งกำลังกินข้าวด้วยท่าทางสง่างามไปด้วย
“กินข้าวก็ตั้งใจหน่อย!” อยู่ๆ น้ำเสียงที่เย็นชาของลี่เจิ้งก็ลอยผ่านเข้ามา
ซีซีเบะปากเล็กน้อย ในชามมีเนื้อปลาที่ถูกแกะก้างออกให้แล้ววางอยู่ ลี่หมิงมองเธอด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะพูดขึ้นว่า “รีบกินเถอะ”
เด็กหญิงตัวน้อยสูดหายใจเข้าลึกๆ อย่างไม่ค่อยพอใจ พร้อมกับจ้องไปที่กุ้งอบที่วางอยู่ไม่ไกล “ฉันอยากกินกุ้ง”
ลี่หมิงรีบยื่นตะเกียบออกไป แต่กลับถูกลี่เจิ้งหยุดไว้เสียก่อน จากนั้นก็หันมามองน้องสาวด้วยสายตานิ่งเรียบ “ไม่มีมือรึไง? อยากกินก็แกะเองสิ”
พูดจบก็หันไปมอง ลี่หมิง “ไม่ต้องไปสนเธอ”
ลี่หมิงชะงักไป เขาชักมือกลับเข้ามาอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะก้มหน้าก้มตากินต่อ
ซีซีจึงพูดขึ้นด้วยสีหน้าบึ้งตึงว่า “คุณแม่เคยบอกว่า ถ้าผู้หญิงอยากกินกุ้งผู้ชายต้องแกะเปลือกกุ้งให้ หนูยังเด็กอยู่ ยังไม่ได้แต่งงาน แล้วก็ไม่มีแฟนด้วย เพราะงั้นพี่ชายต้องแกะให้หนู!”
เธอพูดขึ้นอย่างขุ่นเคือง แต่ก็ดูสมเหตุสมผล
พอลี่หมิงได้ฟังดังนั้น เขาก็พยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย ก่อนจะยื่นมือออกไปกะจะคีบกุ้งขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้ลี่เจิ้งไม่ได้ห้ามเขา แต่กลับหยิบจานกุ้งอบขึ้นมา จากนั้นก็มีเสียง ‘เพล้ง’ ดังขึ้น ลี่เจิ้งโยนจานลงไปกับพื้น จนจานใบนั้นแตกเป็นเสี่ยงๆ
พอแม่บ้านได้ยินเสียงนั้นก็ตกใจ ก่อนจะรีบเข้ามาเก็บกวาดทันที
พ่อบ้านก็เดินเข้ามาเช่นกัน เพราะอยากจะถามว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ต้องตกตะลึงกับภาพเบื้องหน้าที่เห็น
ลี่เจิ้งใช้สายตาเย็นชามองไปทางซีซี อย่างไม่ใส่ใจ “แม่เคยพูดแบบนี้เหรอ? เธอแน่ใจรึเปล่าว่าไม่ใช่แม่ทูนหัวพูด?”
ซีซีพูดไม่ออก คำพูดเหล่านี้ จริงๆ แล้วก็เป็นโม่หว่านหว่านที่เป็นคนบอกเธอ…
ลี่หมิงพยายามรีบทำลายบรรยากาศนี้ “เอาล่ะ พี่ใหญ่ครับ ซีซีก็ไม่ได้พูดอะไรผิด เธออยากกินกุ้ง ผมก็แค่แกะมัน…”
อยู่ๆ ลี่เจิ้งก็วางตะเกียบในมือลง จากนั้นก็ยืนขึ้นด้วยท่าทีเย็นชา “นายคอยช่วยเหลือเธอทุกอย่าง นายคิดว่าจะช่วยเธอไปได้อีกนานแค่ไหน? จะคอยช่วยเธอตลอดชีวิตเลยรึไง”
หลังจากหยุดชะงักไปชั่วครู่ สีหน้าไม่พอใจของลี่เจิ้งก็ค่อยๆ จางลง “เราเป็นแค่พี่ชายเธอ ไม่ใช่พ่อกับแม่สักหน่อย ไม่มีใครคอยอยู่ดูแลเธอไปตลอดชีวิตหรอกนะ ถ้าอยากกินก็ต้องทำเอง ต้องรู้จักพึ่งพาตัวเองเข้าใจรึเปล่า?”
ซีซีพ่นลมหายใจออกมาก่อนจะตอบว่า “ไม่เข้าใจ!”
เด็กหญิงรู้สึกขัดใจเวลาเห็นลี่เจิ้งมานานแล้ว เขาเอาแต่ดุเธอกับลี่หมิงตลอด แถมยังชอบบอกอีกว่าที่แม่จากไปทั้งหมดก็เป็นเพราะพวกเธอซีซียังคงจำสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้นได้ เธอก็ไม่ได้อยากให้แม่จากไปเหมือนกัน ถ้าเป็นไปได้เธอก็อยากจะเปลี่ยนตัวเองกับซูย้าวด้วยซ้ำ!
“ฉันรู้แค่ว่าพี่ไม่ชอบใจที่เห็นฉันกับพี่รอง ก็เลยชอบรังแกพวกเรา พี่ดูเหมือนพี่ใหญ่ตรงไหน ดูอย่างกับเป็นโรค!” ยิ่งคิด ซีซีก็ยิ่งโมโห เธอยืดตัวขึ้นก่อนจะเดินออกไป โดยที่ไม่ได้กินอะไรต่อ
ลี่หมิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อย่างจนปัญญา ก่อนจะรีบเข้าไปดึงน้องสาวเอาไว้ เขาแค่อยากจะพูดปลอบใจเธอสักสองสามคำ แต่พอเห็นว่าลี่เจิ้งเดินมาอยู่ข้างๆ เขาก็ได้แต่หลุบตาลงพร้อมกับมองไปที่เธอ “เด็กน้อย เอาแต่ใจตัวเองให้มันน้อยลงหน่อย รอให้เธอโตก่อนเถอะ ถ้าฉันไม่อยู่คนแรกที่จะได้แต่งงานออกไปก็คือเธอ!”
ซีซีชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกะพริบตาคู่สวยแล้วจ้องมาที่เขา “ในแง่ของอายุ ก่อนที่ฉันจะได้แต่งงาน พี่นั่นแหละที่จะได้แต่งก่อน!”
ลี่เจิ้งอดยิ้มออกมาไม่ได้ “ฉันเป็นพี่ชายคนโต ต่อไปฉันกับลี่หมิงจะเป็นคนสืบทอดธุรกิจของบ้านเรา คนที่จะได้แต่งงานก่อนก็คือเธอ พอถึงตอนนั้นฉันจะหาผู้ชายที่เหมือนกับพ่อเรา แล้วให้เธอแต่งงานออกไปให้เร็วที่สุด!”
ซีซีพูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง ใบหน้าเล็กของเธอเต็มไปด้วยความโกรธ แต่เธอก็พยายามเค้นคำพูดออกมา “ไม่เอา ให้ตายฉันก็จะไม่มีวันแต่งงานกับผู้ชายแบบคุณพ่อ ที่เอาแต่ดุด่าแล้วก็รังแกคุณแม่!”
หลังจากพูดจบ เธอหันหลังแล้วก็วิ่งขึ้นไปชั้นบน แต่วิ่งออกไปได้แค่สองก้าว ซีซีก็ต้องหยุดชะงัก เพราะเธอเห็นลี่เฉินซีกำลังเดินเข้ามาจากด้านนอกพอดี
ซีซีทำหน้าไม่ถูกเล็กน้อย เมื่อนึกถึงคำพูดที่เธอเพิ่งพูดออกไป ใบหน้าเล็กๆ ดูอึดอัดใจ ก่อนจะพูดขึ้นมาอย่างติดๆ ขัดๆ ว่า “คือว่า คุณพ่อคะ หนูไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นนะคะ……”
หลังจากอธิบายจบ เธอก็รู้สึกเป็นส่วนเกิน ซีซีอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา พร้อมกับหันหลังแล้วก็วิ่งขึ้นไปชั้นบนอย่างดื้อรั้น
พอลี่หมิงเห็นดังนั้น เขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างหมดหนทางเช่นกัน จากนั้นจึงเหลือบมองคุณพ่อเล็กน้อย ก่อนจะเดินตามน้องสาวขึ้นไปชั้นบน
ลี่เฉินซีถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพัง เขายืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ ก่อนจะมองไปทางลี่เจิ้งที่ยืนอยู่ไม่ไกลด้วยสายตาที่คาดเดาไม่ได้ ผ่านไปสักพัก เขาจึงค่อยๆ ยื่นมือออกมา พร้อมกับพูดขึ้นว่า “มานี่สิ”
ลี่เจิ้งรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย แม้ว่าปกติเขาจะรับผิดชอบทุกอย่างในบ้านเวลาที่คุณพ่อไม่อยู่ และเขาก็ไม่ได้ดุน้องชายกับน้องสาวไปเสียทุกเรื่อง แต่ในสถานการณ์แบบนี้ เขาก็ยังแอบกลัวคุณพ่ออยู่นิดหน่อย
เขาค่อยๆ เดินไปหยุดอยู่ข้างๆ ลี่เฉินซี พร้อมกับมองดูมือที่กำลังยกขึ้นมาช้าๆ เขานึกว่ากำลังจะถูกตี เลยหลับตาลงโดยไม่รู้ตัว แต่ผ่านไปสักพักลี่เฉินซีก็ทำเพียงแค่ยกมือขึ้นลูบหัวเขา ก่อนจะกระซิบอย่างแผ่วเบาว่า “คิดถึงแม่แล้วใช่ไหม?”
ลี่เจิ้งชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะมองไปยังผู้เป็นพ่อด้วยสายตาที่ตกตะลึง
ลี่เฉินซีถอนหายใจออกมาเบาๆ พร้อมกับตบไหล่ลูกชาย เด็กคนนี้โตเร็วมากในระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา อีกไม่กี่ปีข้างหน้าคงจะสูงเกินกว่าเขาไปอีก
เขาฝืนยิ้มพร้อมกับมองไปยังลูกชาย จากนั้นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “เจิ้งเอ๋อ หลายปีมานี้เมื่อไรกันที่พ่อเคยทำให้ลูกผิดหวัง?”
ลี่เจิ้งขยับริมฝีปากเบาๆ แต่ก็ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมา
คำตอบนั้นไม่มีอะไรต้องสงสัย
ไม่มี
ไม่มีเลยสักครั้ง
ลี่เฉินซีรักษาสัญญาและทำทุกอย่างได้ตามที่พูดเสมอ นอกจากนี้ทุกสิ่งที่เขาทำมันมีค่ามากกว่าคำพูดที่พูดออกมาอยู่แล้ว ไม่ว่าจะกับลูกๆ หรือกับคนอื่นๆ
“ถ้าอย่างงั้น พ่อรับปากกับพวกลูกไว้แล้วว่าแม่จะกลับมา แม่ก็จะต้องกลับมา เชื่อพ่อนะ ตกลงไหม?” เขาพูดออกมาอย่างจริงจัง โดยปกติแล้วเขาไม่ค่อยพูดเรื่องพวกนี้กับลูกชายเขาเท่าไร
ลี่เจิ้งก็อายุไม่ใช่น้อย เขาอายุได้ 10 ขวบแล้ว อีกอย่างเด็กคนนี้ก็ถือว่ามีพรสวรรค์มาก เรียนชั้นประถมยังไม่ทันจบ เขาก็ได้ข้ามขึ้นไปเข้าเรียนมัธยมต้น แม้แต่หลักสูตรในโรงเรียนมัธยมหลายหลักสูตรเขาก็ยังทำความคุ้นเคยและเข้าใจได้ไวกว่าเด็กคนอื่นๆ ที่อายุเยอะกว่า มันแสดงให้เห็นว่าการโกหกด้วยคำพูดที่สวยหรู ก็มีแต่จะทำร้ายตัวเขาเองเสียมากกว่า
เพราะงั้นลี่เฉินซีถึงได้เตรียมใจสำหรับเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่พอเวลาที่เด็กๆ พูดขึ้นมา มันก็เป็นเรื่องยากที่จะหลีกเลี่ยงความทุกข์และความเศร้าที่เกิดขึ้นในใจเขา และต่อให้จะพยายามหลีกหนียังไง สุดท้ายมันก็หนีไม่พ้นอยู่ดี
เขากางแขนออก ดึงลี่เจิ้งเข้ามาในอ้อมแขน จากนั้นก็กอดเขาเอาไว้แน่น “ลูกชายของพ่อเก่งที่สุด ทำให้พ่อสบายใจได้ทุกที เลิกไปทะเลาะกับน้องๆ ได้แล้วนะ พวกเขายังเด็กอยู่ ยอมให้พวกเขาหน่อย ได้ไหม?”
แค่คำพูดเพียงไม่กี่คำของผู้เป็นพ่อก็ทำให้หัวใจของลี่เจิ้งสั่นไหว ใจของเขาอ่อนลงในทันทีทันใด เขาจึงพยักหน้ารับเบาๆ ในอ้อมแขนของผู้เป็นพ่อ ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “อืม เข้าใจแล้วครับ”
ลี่เฉินซียิ้มพร้อมลูบหัวลูกชายอีกครั้งอย่างอ่อนโยน ก่อนจะลากเขาให้ไปกินข้าวต่อจนเสร็จ จากนั้นเขาก็ไม่ได้ขอให้แม่บ้านขึ้นไปส่งมื้อเย็นให้เด็กทั้งสอง แต่เป็นเขาที่เอาขึ้นไปเอง
ลี่หมิงกับซีซีเพิ่งอายุได้แค่ 7 ขวบ อีกอย่างพวกเขาก็เป็นฝาแฝดกัน เลยได้นอนห้องเดียวกันมาตั้งแต่เด็ก เขาตั้งใจให้คนออกแบบห้องนี้ให้เป็นพิเศษ เป็นห้องสำหรับเด็กที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นห้องห้องเดียว แต่จริงๆ แล้วสามารถแบ่งออกเป็นสองห้องเล็กๆ แยกจากกันได้
พอลี่เฉินซีเปิดประตูเข้าไป ลี่หมิงกำลังพลิกหน้าหนังสืออยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ พลางดูหน้าจอไปด้วย ท่าทางกำลังยุ่งมาก
ลี่หมิงเอียงคอเล็กน้อย พอเห็นพ่อเข้ามา ก็รีบวางทุกอย่างในมือ แล้ววิ่งออกไปรับถาดจากผู้เป็นพ่อทันที “คุณพ่อ”
เขายกมือลูบหัวลูกชายอย่างอ่อนโยน “เด็กดี มื้อเย็นพึ่งทานไปแค่นิดเดียวเอง ทานเพิ่มอีกหน่อยนะ”
เด็กชายก้มหน้าลง ก่อนจะหันไปตะโกนเรียกซีซี แต่เด็กหญิงตัวน้อยกำลังนอนฟุบอยู่บนเตียงด้วยความโกรธ เธอกดตุ๊กตาตัวใหญ่ไว้กับหัวตัวเอง พอได้ยินเสียงเรียก เธอก็ถีบขาไปมาด้วยความไม่พอใจ พร้อมกับตะโกนออกไปว่า “ไม่กิน!”
ลี่เฉินซีบอกให้ลูกชายกินก่อน จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปนั่งลงที่ข้างเตียง ก่อนจะยื่นมือออกไปดึงลูกสาวขึ้นจากตุ๊กตาเข้ามาไว้ในอ้อมแขน พร้อมกับพูดเบาๆ ว่า “ลูกสาวที่รักของพ่อเป็นอะไรไปนะ?”
ซีซียังคงรู้สึกทำตัวไม่ถูกอยู่นิดหน่อย เธอกลอกตาไปมาเบาๆ ผ่านไปสักพักใหญ่ๆ เธอก็พูดขึ้นมาว่า “คุณพ่อคะ หนูแค่พูดว่าถ้านะ ถ้าคุณแม่ไม่กลับมาแล้ว แล้ว…คุณพ่อจะแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่นไหม?”