เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - ตอนที่ 593
ลี่เฉินซีมองดูลูกชายที่อยู่ข้างหน้าเขาด้วยท่าทางที่ซับซ้อน ดวงตาที่เย็นชาของเขายังคงหดตัว เขาดูไม่น่าเชื่อเล็กน้อย นี่คือลูกชายตัวน้อยของเขาที่ถูกเลี้ยงดูมาด้วยตัวคนเดียว
ไม่เหมือนปฏิกิริยาของลี่เฉินซี ซูย้าวอึ้งไปแต่ในทันใดนั้นเองเธอก็รู้สึกอายและไม่มีความกล้าจะเผชิญหน้ากับสองพ่อลูกนั้นเลย
นี่มันอะไรกับอะไรกันเนี่ย!
ส่วนลี่เจิ้งนั้นกลับไม่รู้สึกว่าตัวเองทำผิดอะไร เขายังมองลี่เฉินซีและขยิบตาให้เขาด้วยซึ่งหมายความว่าเขากำลังสร้างโอกาสให้กับเขา
ถึงแม้ลี่เฉินซีจะตกใจแต่ที่มากกว่านั้นคือเขายังอยากจะบอกกับเจิ้งเอ๋อว่า ทำดีมาก สมกับที่เป็นลูกชายของเขา!
แต่ว่าคำพูดนี้จะพูดออกมาตรงๆ ไม่ได้
เขารีบเก็บสายตาและยกมือขึ้นลูบหัวลูกชายแล้วพูด “ไปหาลุงหวาง”
ลี่เจิ้งพยักหน้า หันหลังและรีบวิ่งไป
ลี่เฉินซีซึ่งถูกทิ้งไว้ข้างหลังสงบลงแล้วมองไปที่ซูย้าว “ลูกยังเด็ก ไม่รู้เรื่อง ฉันขอโทษแทนเขาด้วย”
ซูย้าวเปลี่ยนสีหน้าและยกริมฝีปากล่างไปทางเขาเล็กน้อย ฉันไม่อะไรกับเด็กหรอกค่ะ เพียงแต่ว่าคุณลี่คงจะต้องใส่ใจเรื่องอบรมสั่งสอนลูกเสียหน่อยนะคะ”
พูดจบแล้วก็ก้มศีรษะอย่างสุภาพแล้วหันหลังเดินจากไป
ลี่เฉินซีก้าวขาออกไปในทันทีเพื่อห้ามเธอไว้ และทันใดนั้นเองโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น
เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาดูหมายเลขผู้โทรบนหน้าจอ ใบหน้าที่มืดมนตามปกติของเขาดูมากขึ้นเล็กน้อย แล้วพูดว่า “รอสักครู่” ก่อนจะเดินไปที่อื่นเพื่อรับสาย
ซูย้าวจะรอเขาอย่างเรียบร้อยได้ยังไงกัน ในเมื่อเด็กมีพฤติกรรมแบบนี้แล้ว หากรอเขากลับมาแล้วทำอะไรอีก เธอจะทำยังไง?
เธอไม่แม้แต่จะคิดที่จะออกไปจากสวนของวิลล่าในทันที ทันใดนั้นหวางอี้ก็มาถึงด้านหน้า ก่อนจะพยักหน้าด้วยความเคารพแล้วกล่าว “คุณครับ พอจะขอให้คุณช่วยหน่อยได้ไหม?”
หวางอี้คนนี้ ซูย้าวไม่ค่อยรู้จักเขานัก ส่วนใหญ่แล้วก็พบเจอข้อมูลบางอย่างเมื่อตรวจสอบลี่เฉินซี
ดูเหมือนเขาจะจงรักภักดีและอยู่เคียงข้างลี่เฉินซีมานานหลายปีแล้ว เป็นคนสนิทที่เขาไว้ใจอย่างยิ่ง
ในรถโรลส์ รอยซ์ที่อยู่ด้านหลัง ร่างเล็กๆ ของลี่เจิ้งยังคงอยู่ที่นั่น และซูย้าวรู้สึกตีบตันอย่างบอกไม่ถูกอีกครั้ง แต่เธอถามอย่างสุภาพ “มีอะไรเหรอคะ?”
หวางอี้มองไปที่เธอ “วันนี้ประธานลี่อารมณ์ไม่ค่อยดี คุณช่วยรับประทานอาหารเป็นเพื่อนเขาได้ไหมครับ?”
ซูย้าวได้ยินแล้วรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงจากนอกโลก เหลือเชื่อจริงๆ
เธอสูดหายใจลึก “ทำไมคะ?”
เขาอารมณ์ไม่ดีแล้วจะให้เธอชวนเขาไปกินข้าวเหรอ? !
มันเป็นหลักการแบบไหนกัน
หวางอี้รู้สึกเกรงใจเล็กน้อยและใบหน้าที่เคร่งขรึมของเขาตอนนี้อายเล็กน้อย แต่เขาก็ยังอธิบาย “ขอเพียงคุณชวนประธานลี่ไปกินข้าว เขาจะต้องไปแน่ ยิ่งกว่านั้น คุณก็มีเหตุผลที่จะทำแบบนั้น”
ซูย้าวสงสัย “เหตุผลอะไรคะ?”
“เหตุผลคุณคงรู้ดีอยู่แล้วนะครับ?” หวางอี้ไม่อยากจะพูดให้ชัดเจนเกินไป สถานะของเขาไม่ควรจะพูดถึงเรื่องนี้ เขาจึงพูดเบี่ยง “หรืออีกสักครู่จะให้ประธานลี่อธิบาย”
ดวงตาที่สวยงามของซูย้าวดูเต็มไปด้วยคลื่นเมื่อเห็นการแสดงออกที่สง่างามของชายตรงหน้าเธอ เธอรู้ดีว่าหวางอี้ไม่ได้ล้อเล่น และไม่ได้หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาในทันใด
ส่วนเรื่องเหตุผลที่พูดถึงเมื่อครู่ เธอพอจะเดาได้บ้าง
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็ยังคงไม่อยากจะอยู่ลำพังกับลี่เฉินซี จึงพูดด้วยความลังเล “ต่อให้ฉันมีความคิดอย่างนั้น เกรงว่าคุณลี่จะให้เกียรติฉันหรอกค่ะ”
แต่ทันทีที่เสียงนี้หายไป เสียงที่น่าดึงดูดของผู้ชายที่มีโทนต่ำก็ดังมาจากด้านหลัง “ชวนฉันไปกินอะไรเหรอ?”
ซูย้าวอึ้งไป เดิมที่หาทางแถเพื่อจะปฏิเสธหวางอี้ไป อย่างไรก็ตามลี่เฉินซีเดินออกจากลานบ้านโดยถือโทรศัพท์ที่เพิ่งวางสายไว้ในมือและดวงตาลึกๆ ของเขาก็มองมาที่เธอดูเหมือนไม่สนใจมากนัก
เธอหลับตาลงช้าๆ และพูดอย่างไม่คิด “ถ้าอย่างนั้นอาหารเจเป็นไงคะ?”
ใบหน้าของหวางอี้มืดลงโดยฉับพลัน แสงสาดส่องไปที่ลี่เจิ้งในรถ และรอยยิ้มของเด็กก็หยุดนิ่ง
สีหน้าของลี่เฉินซีดูไม่ดีนัก มันดูเย็นชาและขมขื่น และจะเห็นได้ว่าเขาพยายามระงับอารมณ์ของเขา แต่เขาก็ยังมองมาที่เธอ ก้าวไปข้างหน้า เอนตัวลงที่ข้างหูของเธอ และกดน้ำเสียงต่ำ “เธอกำลังจะบอกฉันว่า คนที่ทำร้ายญาติสนิทอย่างฉันควรจะถือศีลกินเจ เพื่อขอให้พ้นผิดงั้นเหรอ?”
ท่าทางที่สนิทสนม ความรู้สึกมีเสน่ห์ ตามเสียงของเขา และเต็มไปด้วยความเย็นชา
ซูย้าวขมวดคิ้วและอยากจะตอบโต้ด้วยคำว่า “ประมาณนั้น” ออกมาแต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้พูดออกไปก็ถูกชายหนุ่มยื่นมือออกมาจับแก้มของเธอ เขาใช้นิ้วหนาออกแรงไม่มากถูใบหน้าของเธอเบาๆ “แต่เธอลืมไปแล้วรึเปล่าว่าทั้งหมดนี้เป็นเพราะใคร?”
เพียงคำเดียวมันทำให้ซูย้าวเจ็บไปถึงแก้วหู!
ปฏิกิริยาของลี่เฉินซีนั้นต่างจากเธอ ขณะที่เธอเอนไปข้างหน้า เขาก็จับมือเธอ มือเล็กๆ ของเธอเย็นลงเล็กน้อย วางลงบนฝ่ามืออันอบอุ่นของเขา และนิ้วของเธอก็ประสานกัน “ดังนั้น ตอนนี้เธอมีเหตุผลจะชวนฉันไปกินข้าวรึยัง?”
ซูย้าวหมดคำพูดแล้วจริงๆ
ก่อนหน้านี้ เรื่องที่หลินเจว๋หาเรื่องลี่เหิงจิ่ว ลี่เฉินซีรู้เรื่องหมดแล้ว คาดว่าเขาเองจงใจจะทำลายบันทึกกล้องวงจรปิด
เพียงแต่ว่าซูย้าวยังไม่เข้าใจ ในเมื่อเขารู้อยู่แล้ว ถ้าอย่างนั้นตอนที่โดนรุม ทำไมถึงไม่พูดออกมาเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์? อีกทั้งยังยอมเป็น “แพะรับบาป” แทนเธอทั้งหมดด้วย
เธอขมวดคิ้วแน่น แต่ชายคนนั้นไม่สนใจปฏิกิริยาทางใบหน้าของเธอ เพียงแค่จับมือเธอแล้วเดินไปที่รถ เปิดประตูรถและพูดกับลี่เจิ้งที่อยู่ด้านใน “ไปนั่งข้างหน้า!”
ลี่เจิ้งเข้าใจและรีบลงจากรถอ้อมไปนั่งที่นั่งข้างคนขับ
หวางอี้เองก็ขึ้นรถ ลี่เฉินซีเอนตัวเข้าไปในรถ ขยับร่างของเขา และสร้างที่ว่างให้กับเธอโดยเจตนา
ซูย้าวไม่เต็มใจแต่ก็ได้แต่อดทนไว้ ความคิดของเธอยังคงผันผวน และทันใดนั้นก็มีมือข้างหนึ่งยื่นออกไปในรถ คว้าข้อมือของเธอและลากเธอเข้าไปในรถทันที
เธอไม่ทันได้ตั้งตัวและเข้าไปในรถด้วยท่าทางฉับพลัน เธอใช้อีกมือหนึ่งเพื่อยันตัวของเธอไว้จึงได้กดลงไปที่ขาของเขาอย่างไม่ตั้งใจ หลังจากนั้นไม่นานเมื่อเธอได้สติรถก็สตาร์ทแล้ว และเธอกำลังจะหันหลังกลับ แต่แล้วพบว่าชายที่อยู่ข้างๆ เขากำลังจ้องมองเธอด้วยดวงตาที่เย็นชาคู่หนึ่ง
ซูย้าวยังคงสับสน เธอก้มหน้าลงและพบว่ามือของตัวเองนั้นกำลังกดทับอยู่บริเวณนั้นของชายหนุ่ม
ถึงแม้เธอจะไม่ทรงจำเรื่องรักๆ ใคร่ๆ แต่เธอก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ย่อมมีความรู้เรื่องพวกนี้ ในขณะที่กำลังจะดึงมือกลับอย่างไม่ทันตั้งตัวนั้น กลับถูกลี่เฉินซียื่นมือออกมาและกดมือเธอลงไปที่เดิม สายตาเย็นชาของเขาจ้องมองเธอและคร่อมร่างของเธอช้าๆ “เธอแน่ใจนะว่าอยากจะกินเจ ไม่ใช่กินเนื้อ?”
ดวงตาที่สะพรึงกลัวของซูย้าวเคลื่อนไหว และคิดจะดึงมือออก แต่กลับถูกชายหนุ่มกดลงไป ริมฝีปากบางของเขาขยับ “ลูบอีกสิ รู้สึกยังไงบ้าง?”
เธออายจนหน้าแดงไปหมด ตอนนี้เลือดของเธอแทบจะไหลออกมาได้แล้ว เธอหันไปตอบอย่างงุ่มง่าม “โรคจิต!” พร้อมกับหันไปและดึงมือเล็กๆ กลับ
ลี่เฉินซีเหลือบมองที่นั่งผู้โดยสารข้างคนขับและพบกับลี่เจิ้งที่มองพวกเขาสองคนด้วยท่าทางแปลกๆ เขารีบส่งสายตาห้าม เขาจึงกลับไปนั่งที่เดิมและเหยียดแขนออก และกอดเธอไว้ในอ้อมแขนของเขา “ใครโรคจิต? เห็นชัดๆ ว่าเธอจับฉันก่อน ดีไหมล่ะ?”
แต่น้ำเสียงของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยและพูดขึ้นอีก “ไม่ต้องรีบ อีกเดี๋ยวมันก็จะได้เจอเธอแล้ว”
ซูย้าว “…”
เธอดิ้นอยู่ในอ้อมแขนของเขาและเตือนด้วยเสียงต่ำ “คุณลี่มีฝีมือทำให้ผู้คนต้องเปิดมุมมองใหม่จริงๆ นะคะ แต่ว่า คุณเป็นพ่อคนแล้ว ไม่ควรจะทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกดูเหรอคะ?”
ลี่เฉินซีก็พยักหน้าหงึกๆ แล้วหันไปพูดกับลี่เจิ้งที่นั่งอยู่ด้านหน้าด้วยใบหน้าที่เย็นชา “หันกลับไป ห้ามมอง!”
ลี่เจิ้งก็ให้ความร่วมมือและตอบกลับมา “ครับ พ่อ”
ซูย้าวยิ่งพูดไม่ออกหนักกว่าเดิม
พ่อลูกคู่นี้มันยังไงกันนะ! นี่เธอกำลังเจอกับคนประเภทไหนกันเนี่ย!