เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - ตอนที่ 601
ประตูไม้ที่เก่าแก่ที่อยู่ข้างหลังซูย้าวนั้น ภายใต้น้ำหนักที่เขาเอนกายโน้มไปทำให้เกิดเสียง “เอี๊ยดอ๊าด” เบาๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
บรรยากาศโดยรอบเงียบสงบขึ้นมาทันใด ตอนนี้แม้แต่เสียงเข็มที่ตกกระทบสู่พื้นคาดว่าคงได้ยินชัดเจน
เธอจ้องเขม็งไปยังดวงตาลึกล้ำของชายที่อยู่ตรงหน้า จู่ๆ เธอก็รู้สึกประหม่าขึ้นมาดื้อๆ จึงได้กลืนน้ำลายพูดว่า “คุณ……”
ลี่เฉินซีเอื้อมมือไปจับคางของเธอเอาไว้ ใบหน้าอันหล่อเหลานั้นทำให้เธอมึนงง แม้แต่รอยยิ้มก็ดูมีจุดประสงค์ที่ไม่บริสุทธิ์ มันแฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์ แต่ก็มีเสน่ห์ “นอกจากจัดการกับคุณแล้ว ผมจะทำอะไรได้อีก?”
ซูย้าวรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาทันควัน ยังไม่ทันที่เธอจะได้โต้ตอบ ก็ได้ยินเขาพูดขึ้นอีกครั้งว่า “ไม่ว่าคุณจะปฏิเสธอย่างไร คุณก็คงจะรู้สึกได้เหมือนกัน แม่ผู้ให้กำเนิดของคุณกับซูย้าวเป็นคนเดียวกัน อดีตภรรยาของผมใช้นามสกุลของพ่อ ส่วนคุณเลือกใช้นามสกุลของแม่ ไม่ว่าจะเป็นอานหว่านชิงหรือซูย้าว พวกคุณไม่ใช่คนคนเดียวกันหรือไง?”
เขาจับมือเล็กๆ อันเย็นเยือกของเธอมากำไว้แน่นที่ จากนั้นค่อยๆ ยกขึ้นวางไว้บนหน้าอกของเขาจนสัมผัสได้ถึงการเต้นของหัวใจชายคนนั้นดัง “ตุ้บๆ !” ทั้งแรงและหนักแน่น
“หยุดหาข้อแก้ตัวที่ไม่สมจริงเหล่านั้นมาได้แล้ว คุณลองใช้หัวใจมาสัมผัสผมบ้างสิ”
เสียงอันแหบแห้งเล็กน้อยของลี่เฉินซีดูเหมือนจะเต็มไปด้วยพลังเวทมนตร์ เขาปล่อยมือของเธอออกแล้วเลื่อนไปยังตำแหน่งของหัวใจเธอ “ดวงตาหลอกลวงคนได้ แต่หัวใจทำไม่ได้”
ขณะที่เขาพูดนั้น ใบหน้าอันหล่อเหลาก็ล้มลงช้าๆ จากนั้นจุมพิตเธอเบาๆ ช้าๆ และค่อยๆ ลึกล้ำลงไป
ซูย้าวตกตะลึง เธอราวกับเป็นใบ้ไม่ตอบสนอง แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธเขาอีก อาจเป็นเพราะคำพูดอันเต็มไปด้วยพลังของเขา หรืออาจเป็นไปได้ว่าช่วงนี้พวกเขาทั้งสองคนมีความรู้สึกที่ดีต่อกันจริงๆ ทำให้ความดื้อรั้นของเธอเริ่มพังทลายลงเรื่อยๆ
เขากอดเธอแน่น มือใหญ่ของเขากระสับกระส่ายซุกซนไปทั่ว ซูย้าวหลับตารับทุกสิ่งอย่างนี้ แต่ดูเหมือนจู่ๆ เธอก็คิดอะไรขึ้นมาได้ แท้จะถูกเขาทำเอาเสียจนหายใจเหนื่อยหอบ แต่เธอก็พยายามดิ้นรนขึ้นมาอีกครั้ง “ฉัน คือฉัน……”
เธอยังไม่ทันได้พูดจบ เขาก็ได้แสดงท่าทางออกมาขัดจังหวะเสียก่อน
หลังจากปล่อยให้เขาสำรวจตามอำเภอใจเป็นเวลานาน เขาก็ค่อยๆ ปล่อยเธอ สัมผัสไปที่ริมฝีปากแดงเรื่อบวมเป่งของเธอ ชายหนุ่มเผยอริมฝีปากของเขาเบาๆ พูดว่า “วันนี้ร่างกายคุณไม่พร้อม รออีกสองสามวันค่อยทำ”
เสียงของเขาลดลงเล็กน้อย แขนเรียวยาวเข้ามาสอดไปตรงเข่าของเธอ จากนั้นโอบตรงเอวอุ้มเธอขึ้นมา
เขาหันหลังเดินตรงกลับเข้าไปยังห้องนอนด้านใน ซูย้าวเอนตัวอยู่ในอ้อมอกเขาอย่างไม่เป็นธรรมชาติ เธอเอื้อมมือไปโอบรอบคอเขาเอาไว้ ดวงตาอันสวยงามและซับซ้อนของเธอสั่นเทา เธอยอมรับว่าสิ่งที่ผู้ชายหล่อเหลาคนนี้พูดมามีเหตุผลจริงๆ
เธอเองก็สงสัยเช่นกัน ดังนั้นเธอจึงยอมทิ้งอาตงและอาเจว๋ เพื่อที่จะหาข้อมูลเหล่านี้ด้วยตนเอง
แต่เธอจะเป็นคนคนเดียวกันกับซูย้าวจริงหรือ?
หรือพูดได้อีกอย่างว่าลี่เฉินซีเป็นอดีตสามีของเธอ? เด็กๆ สามคนนั้นเธอเป็นคนคลอดพวกเขาออกมาเหรอ?
ทำไมเธอจึงไม่มีความทรงจำเหล่านี้อยู่เลย?
เกิดอะไรขึ้นกันแน่……
เธอคิดไปต่างๆ นานา จนในที่สุดก็ถูกชายหนุ่มวางเธอบนเตียงใหญ่เบาๆ แล้วดึงผ้าห่มมาคลุมร่างกายของเธอเอาไว้อย่างอ่อนโยน ลี่เฉินซีลุกขึ้นเปิดผ้าห่มไฟฟ้าและเสียบปลั๊กถุงน้ำร้อน
“รอให้น้ำร้อนก่อนค่อยอาบน้ำนะ” เขาพูดเบา ๆ
เพราะที่นี่เป็นคฤหาสน์เก่า เครื่องทำน้ำอุ่นที่นี่ไม่สะดวกเหมือนคฤหาสน์ที่เขาเคยอยู่ก่อนหน้านี้ ที่มีน้ำร้อนตลอดเวลา พวกเครื่องใช้ไฟฟ้าเก่าๆ เหล่านี้ใช้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่
ซูย้าวพยักหน้า ร่างเล็กๆ ของเธอหดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มแล้วมองดูไฟสีแดงบนสวิตช์ผ้าห่มไฟฟ้าอย่างเงียบๆ ด้วยหัวใจที่ยุ่งเหยิง
“ก๊อกๆ ๆ !” เสียงเคาะประตูจากด้านนอกดังขึ้นขัดจังหวะทั้งสองคน
เมื่อเปิดประตูออกไปก็พบว่ามีป้าเพื่อนบ้านสองคนยืนอยู่ด้านนอกประตู ใบหน้าดูรู้สึกเกรงใจที่เข้ามาขัดจังหวะ แต่ดูเหมือนมีบางอย่างจะพูด
ลี่เฉินซีหันข้างและเชิญทั้งสองเข้าไปในห้องนั่งเล่น ซูย้าวเองก็เดินออกมาจากห้องนอนด้วย เมื่อทุกคนนั่งลงเรียบร้อยแล้ว คุณป้าคนหนึ่งก็ได้เริ่มพูดขึ้นว่า “เอ่อ ฉันต้องขอโทษไว้ ณ ที่นี้ ที่จริงแล้ว เรื่องราวเกี่ยวกับตระกูลอานไม่ใช่ว่าพวกเราไม่รู้ เพียงแค่ไม่อยากเอ่ยถึงมันเท่านั้น……”
ข้อแก้ตัวนี้ดูปัดความผิดได้อย่างชัดเจน
ป้าอีกคนจึงได้พูดต่อไปว่า “ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เราทั้งคู่ได้รับเงินโอนเป็นประจำ จำนวนเงินอาจไม่มากสำหรับพวกคุณ เพียงไม่กี่แสน แต่สำหรับเราทั้งคู่มันมากมายล้นฟ้า เราได้รับมอบหมายให้ดูแลบ้านหลังนี้ ดังนั้นที่ผ่านมาเรื่องราวของตระกูลอาน พวกเราจะไม่เอาไปพูดกับคนนอกเด็ดขาด”
เงินจำนวนปีละหนึ่งแสนหยวนสามารถปิดปากสองคนนี้ได้ อีกทั้งยังสามารถบำรุงรักษาดูแลคฤหาสน์ด้วย เงินจำนวนนี้ถือว่าใช้ได้คุ้มมากๆ
ดวงตาของซูย้าวมืดมนลงเล็กน้อย เรื่องนี้เธอพอจะเดาออกมาระยะหนึ่งแล้ว ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
“แต่เสี่ยวชิงก็เป็นคนในตระกูลอาน ดังนั้นต่อให้เราจะพูดบางอย่างกับคุณ ก็ไม่นับว่าพวกเราปากดีใช่ไหม?” คุณป้าคนหนึ่งพูดขึ้นและอีกคนที่อยู่ข้างๆ ก็หันมามองหน้ากัน ทั้งสองล้วนรู้สึกเช่นนั้น
ซูย้าวยิ้มขึ้นบางๆ เธอยังไม่ต้องการจะพูดอะไร เพียงแค่ฟังป้าทั้งสองคนคุยกันอยู่อย่างเงียบ ๆ
“เรื่องมันผ่านมาได้ 20-30 ปีแล้ว ป้าของคุณอานชิน เป็นหญิงงามที่มีชื่อเสียงของที่นี่ เธอได้แต่งงานกับครูฝึกสอนโรงเรียนประถมใกล้บ้านของเรา ทั้งสองคนมีความสามารถเหมาะกันราวกับกิ่งทองใบหยก ชีวิตหลังแต่งงานก็มีความสุขมาก ทั้งสองรักกันหวานชื่นจนทำให้พวกเราต่างพากันอิจฉา!”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ป้าทั้งสองก็เริ่มพูดไม่หยุด “แต่ช่วงเวลาดีๆ มีอยู่ได้ไม่นาน อาจเพราะเบื้องบนก็ยังอิจฉา!! สามีของอานชินเป็นครูที่มีความสามารถมาก หลังจบการสอนที่นี่ลง เขาก็ถูกจ้างด้วยเงินเดือนสูงจากหลายๆ ที่ เขาเองก็วางแผนจะพาภรรยาย้ายไปยังเมืองใหญ่ด้วย แต่ในตอนนั้นอานชินกลับตั้งครรภ์ขึ้น”
“เพื่อให้ภรรยาของเขามีสภาพแวดล้อมที่ดีในบำรุงครรภ์และชีวิตในอนาคต เขาจึงตั้งใจจะย้ายไปในเมืองใหญ่ แต่ในตอนนั้นดูเหมือนว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นในตระกูลของชายหนุ่ม และดูเหมือนจะหนักหนาเอาการ ดังนั้นสามีของอานชินจึงได้เดินทางกลับบ้านไป ครอบครัวของเขาอพยพไปต่างประเทศตั้งนานแล้ว เมื่อเขาจากไปก็เป็นเวลากว่าครึ่งปี!”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ใบหน้าของป้าทั้งสองคนก็มืดมน ซูย้าวเองก็รู้สึกถึงความผิดปกติ ไม่รอให้เธอเอ่ยถาม ป้าคนหนึ่งก็พูดขึ้นต่อไปว่า “อานชินรอเขาอยู่ที่นี่คืนวัน ผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังตั้งครรภ์ ต้องทำงานต้องดูแลตัวเองและนั่งรอคอยสามีกลับมาทุกวันแบบนี้ คิดดูว่าเธอจะรู้สึกยังไง……”
“รอไปรอมา ก็ได้ข่าวการเสียชีวิตของสามีเธออย่างแน่ชัด ตอนนั้นอานชินกำลังจะคลอดลูก พวกเราจึงเก็บความลับนี้ไว้จนกระทั่งเธอให้กำเนิดลูกและอยู่ไฟจนครบกำหนด วันหนึ่งไอ้ลูกชายปากพล่อยของฉันมันไปพูดเข้า เธอจึงได้รู้ความจริงว่าสามีของเธอตายไปแล้ว เธอตัดสินใจหอบลูกไปยังต่างประเทศโดยไม่สนใจคำเตือนของพวกเรา”
ดวงตาอันสวยงามของซูย้าวค่อยๆ จดจ่อมากขึ้น “แล้วยังไงต่อคะ?”
“เธอเดินทางไปต่างประเทศมานานกว่าสองเดือน เมื่อตอนที่เธอกลับมาดูน้ำหนักลดลงมาก ต่างจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง ดูเหมือนจะมีปัญหาทางจิตบ้างเล็กน้อย แต่การที่เธอสามารถจัดการกับเรื่องใหญ่โตเหล่านี้ได้นับว่าดีมากแล้วใช่ไหมล่ะ?”
ป้าคนนั้นถอนหายใจ “จากนั้นเอและลูกก็อาศัยอยู่ที่นี่ เมื่อลูกเธออายุได้ประมาณ 5 ขวบ ครอบครัวของสามีเธอก็ส่งคนมารับสองแม่ลูกไป อย่างไรเสียเธอก็ได้ให้กำเนิดบุตรชายออกมา สามารถสืบทอดธุรกิจครอบครัวได้ในอนาคต”
“ครั้งนั้นตอนที่เธอจากไป ลูกชายคนโตของฉันเดินทางไปกับเธอด้วย เขาคิดว่าจะไปต่างประเทศเพื่อหางานทำ หาเงินเพิ่มสักเล็กน้อย เธอจากไปถึงสามปี ระหว่างนั้นลูกชายของฉันได้กลับมาและเล่าให้ฟังว่า ลูกชายของเธอนั้นป่วยหนักและสิ้นชีวิตลงในต่างประเทศ”
คำพูดนั้นดังก้องอยู่ในหู ซูย้าวตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง “คุณพูดว่า พูดว่าอะไรนะคะ?”
หากว่าลูกชายของอานชินเสียชีวิตไปเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว แล้วตอนนี้อานเจียเย้นคือใคร?
“เขาป่วยตายไปแล้วจริงๆ พวกเราไม่ได้โกหก!” พวกเธอกังวลว่าหล่อนจะตั้งคำถามขึ้นมา จึงได้รีบอธิบายว่า “พวกเราเป็นพยานได้ เรามีรูปด้วย……”
เมื่อพูดจบก็ได้หยิบรูปถ่ายออกมาสองใบ มองดูก็รู้ว่าเป็นภาพที่เก็บไว้เป็นเวลานาน นานเสียจนเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลือง แต่ยังคงสามารถมองเห็นคนในภาพได้ชัดเจน เป็นหญิงสาวกำลังโอบเด็กชายตัวเล็กๆ เอาไว้
เด็กชายตัวเล็กๆ อ้วนๆ ทั้งขาวและน่ารักมาก
ไม่ว่าจะมองจากมุมใดก็สามารถเห็นได้ชัดเจนว่าเด็กชายในรูปภาพนี้ไม่ใช่อานเจียเย้นในตอนนี้อย่างแน่นอน
เนื่องจากเด็กชายในภาพนี้เป็นเด็กชายที่มีรูปลักษณ์เป็นชาวเอเชียทั่วไป ดวงตาของเขาสีดำสนิทเห็นได้ชัดเจน แต่ว่าอานเจียเย้นกลับมีดวงตาสีน้ำตาล เขาเป็นลูกครึ่ง…