เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - ตอนที่ 602
เพียงรูปภาพเรียบง่ายธรรมดาแค่สองรูป ทำลายความคิดของซูย้าวจนยุ่งเหยิง
ถ้าหากว่าอานเจียเย้นตัวจริงเสียชีวิตไปตั้งแต่ตอนห้าหกขวบเพราะโรคร้าย แล้วอานเจียเย้นตอนนี้เป็นใครกัน?!
“พวกคุณหมายความว่า คนในรูปนี้จึงจะเป็นอานเจียเย้นลูกพี่ลูกน้องของฉันเหรอคะ?” ดวงตาของซูย้าวลึกล้ำซับซ้อน และมองไปทางผู้ใหญ่สองคนนี้ด้วยความสับสน
คุณป้าทั้งสองคนต่างพากันพยักหน้าตอบว่า “ใช่แล้วล่ะ แต่ต่อมาก็มีอานเจียเย้นอีกคนหนึ่ง”
ซูย้าวสะดุ้งเล็กน้อย “หมายความว่าอย่างไรคะ?”
คุณป้าอีกคนหนึ่งจึงได้เริ่มเล่าถึงเรื่องราวในครั้งก่อนว่า “ในตอนนั้นเมื่ออานเจียเย้นพาลูกของเธอจากไปเป็นเวลาสามปีและจู่ๆ ก็กลับมาอีก แต่เธอไม่ได้กลับมาคนเดียวหรอกนะ เธอพาเด็กคนหนึ่งมาด้วย”
พวกเราที่อาศัยอยู่ในท้องที่นี้ล้วนได้ยินมาว่าลูกชายของเธอป่วยเป็นโรคและจากไปแล้ว แต่จู่ๆ เธอก็พาเด็กคนหนึ่งกลับมาด้วย มองดูแล้วอายุน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับอานเจียเย้น เธอยืนยันว่านี่คือลูกชายของเธอ แต่พวกเราก็มองออกว่าเด็กคนนี้ไม่ได้มีอะไรเหมือนเธอแม้แต่นิดเดียว
ซูย้าวได้ยินดังนั้นก็รู้สึกสับสนยิ่งขึ้นอีก “เพราะอะไรคะ?”
คุณป้าถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “ตอนนั้นอานเจียเย้นรูปร่างหน้าตาอย่างไรพวกเราจำได้ดี แต่เด็กคนที่อานชินพากลับมานั้นไม่ได้เหมือนเจียเย้นเลยแม้แต่นิดเดียว ที่สำคัญก็คือเด็กคนที่เธอพากลับมานั้นเป็นลูกครึ่ง ใครเห็นใครก็รู้”
ซูย้าวชะงักลงเล็กน้อย “ลูกครึ่งเหรอคะ?”
คุณป้าทั้งสองพากันพยักหน้าอีกครั้ง “ใช่แล้วเป็นลูกครึ่ง แต่ว่า ในตอนนั้นสภาพจิตใจของอานชินดูเหมือนจะมีปัญหาอยู่เล็กน้อยจริงๆ เนื่องจากสามีของเธอประสบอุบัติเหตุและจากไป ต่อมาลูกชายก็ป่วยและทิ้งเธอไปอีกคน จะมีผู้หญิงคนไหนสามารถอดทนและยอมรับสิ่งเหล่านี้ได้กัน? เธอดูเหมือนจะมีอาการทางจิต และยืนยันว่าเด็กคนที่พากลับมาด้วยเป็นอานเจียเย้น แล้วพวกเราจะพูดอย่างไรล่ะ?”
“พวกเราทำได้เพียงปลอบโยนเธอ และพยายามไม่เปิดโปงความจริงนั้น ในเมื่อเธอบอกว่านี่คือเจียเย้น เช่นนั้นเด็กคนนี้ก็คือเจียเย้น คาดว่าคงจะเป็นเด็กกำพร้าและเธอได้รับมาอุปการะเอาไว้พอดี”
หลังจากหยุดชะงักลงเล็กน้อย ดูเหมือนคุณป้าคนหนึ่งจะนึกอะไรขึ้นมาได้เธอจึงรีบพูดขึ้นว่า “แต่ถึงอย่างไรเด็กคนนี้ก็ดูมีความกตัญญูไม่น้อย เป็นเด็กดีมากทีเดียว หลังจากที่อานชินเดินทางกลับมาแล้วร่างกายของเธอก็ย่ำแย่ขึ้นทุกวัน เธอแทบจะไม่ก้าวขาออกจากบ้านเลย ทุกครั้งที่โรคกำเริบขึ้นมา เธอก็จะวิ่งไปทั่วบ้านราวกับคนบ้า และในทุกๆ ครั้งเด็กคนนี้ก็จะไปตามเธอกลับมาและช่วยเธออาบน้ำหวีผมทำกับข้าวให้เธอกิน คอยดูแลเธอแบบนี้ทุกวัน เมื่อเด็กคนนั้นอายุได้สิบกว่าปี อานชินก็จากโลกนี้ไป”
“ตอนทำพิธีฝังศพ ตระกูลอานไม่มีเงินแม้แต่บาทเดียว ตามปกติแล้วสองคนแม่ลูกนี้ก็ไม่ได้มีชีวิตที่ดีเท่าไหร่นัก เงินที่นำมาใช้ล้วนเป็นเงินที่ทำงานแลกกับแรงงานของเด็กคนนี้มา ก่อนที่อานชินจะจากไป บ้านที่พวกเขาอาศัยอยู่นั้นก็ค้างค่าเช่าไว้มาก พวกเราก็พยายามช่วยกันรวบรวมเงินทองจะเอามาช่วยเหลือจัดงานศพ แต่จู่ๆ เจ้าเด็กคนนี้ก็ไม่รู้ว่าไปยืนเงินก้อนโตมาจากที่ไหน และจัดพิธีฝังศพให้กับอานชินอย่างสมเกียรติ”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ คุณป้าทั้งสองก็อดสงสัยไม่ได้ว่าในตอนนั้นอานเจียเย้นที่อายุเพียงสิบกว่าปี จะเอาความสามารถที่ไหน จะไปรู้จักใครที่สามารถให้เขายืมเงินจำนวนมากมายขนาดนั้นได้ ไม่เพียงเท่านั้นนะ เขายังสามารถชดใช้หนี้สินและทำพิธีฝังศพให้อานชินได้อย่างดี”
แต่ถึงอย่างไรเรื่องมันก็นานมามากแล้ว ไม่ว่าจะสงสัยมากขนาดไหน มันก็จางหายไปตามกาลเวลา
คุณป้าทั้งสองถอนหายใจออกมา “เฮ้อ พวกเราในละแวกบ้านนี้ก็เลยพูดกันว่า ไม่เสียแรงที่อานชินรับเด็กคนนี้มาเลี้ยง เมื่อตอนที่เจ้าหนูนั่นป่วย เธอก็วิ่งขอคำแนะนำจากหมอไปทั่ว ไม่ได้นอนเป็นเวลาหลายวันหลายคืน ส่วนเด็กคนนี้ เมื่อเธอตาย ก็ถือว่าเป็นลูกกตัญญูทีเดียว”
ซูย้าวพอจะเข้าใจเรื่องราวขึ้นมาบ้างแล้ว อานชินคือป้าของเธอ ส่วนลูกชายที่เธอกำเนิดได้เสียชีวิตลงเมื่ออายุได้ 5-6 ขวบ ด้วยเหตุผลบางอย่าง เธอจึงได้รับบุตรบุญธรรมคนหนึ่งมาเลี้ยงแทนลูกชายที่เสียชีวิตไป จึงได้มีอานเจียเย้นในตอนนี้
“แล้วยังไงต่อคะ? เกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น?” ซูย้าวรีบสอบถามต่อ
คุณป้าคนหนึ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “อานชินฝังไปได้ประมาณเดือนกว่าๆ เจียเย้นก็ออกไปจากที่นี่อย่างกะทันหัน พวกเราไม่มีใครรู้อะไรเลย แต่เดาว่าคงไม่อยากถูกสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ารับไปเลี้ยงก็เลยออกไปทำงานชดใช้หนี้!”
“แต่แล้วสองปีต่อมา จู่ๆ เจียเย้นก็กลับมาอีกครั้งและให้เงินพวกเราจำนวนหนึ่ง ขอร้องให้เราช่วยดูแลบ้านหลังเก่านี้ แล้วเขาก็จากไปไม่เคยกลับมาอีกเลยจนถึงตอนนี้”
เรื่องที่คุณป้าทั้งสองคนนี้รู้ก็มีเพียงเท่านี้ พวกเธอพูดออกมาขนหมดแล้ว ทุกคนจึงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความโล่งอก “เสี่ยวชิง ตอนนี้ได้ติดต่อกับเจียเย้นบ้างไหม?”
ซูย้าวยังคงหมกมุ่นอยู่ในความคิดของเรื่องที่เพิ่งได้ยินมาเมื่อครู่ จากนั้นเธอจึงค่อยๆ รู้สึกตัวและพูดว่า “ค่ะ ติดต่ออยู่บ้าง”
“งั้นก็ดีแล้ว ทำตัวดีๆ กับลูกพี่ลูกน้องคนนี้ล่ะ! แม้ว่าเขาจะไม่ใช่ลูกพี่ลูกน้องของคุณในสายเลือด แต่เขาก็ใจดีกับป้าของคุณมาก!”
คุณป้าอีกคนพูดอย่างพออกพอใจว่า “ก็ใช่น่ะสิ บางทีลูกในไส้ยังไม่กตัญญูได้เท่านี้เลย อย่างไรเสียเขาก็อยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับป้าของคุณมาถึงเจ็ดแปดปี ด้วยเหตุผลนี้เราหวังว่าคุณจะปฏิบัติเหมือนเขาเป็นพี่ชายแท้ๆ เถอะนะ!”
ซูย้าวหลับตาลงอย่างอ่อนแรง จากนั้นพูดคุยกับป้าทั้งสองอีกนิดหน่อยก่อนที่จะส่งพวกเธอกลับไป
ระหว่างการสนทนาทั้งหมดนั้น ลี่เฉินซีพิงโต๊ะนั่งอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ เขาฟังการสนทนาของทุกคนโดยไม่พูดอะไรสักคำ
เมื่อแขกจากไป ความคิดของซูย้าวเริ่มสับสนมากขึ้น เธอไม่ได้ต้องการจัดการกับอานเจียเย้น แต่เธอรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยในใจ จึงอยากจะเดินทางมาสอบถามดูด้วยตนเอง
และเธอไม่คาดคิดว่าจะได้ยินเรื่องอันน่าตกใจมากแบบนี้
ลี่เฉินซีคอยจับตาดูการแสดงออกของเธอตลอดเวลา จากนั้นก้าวไปหาเธอในจังหวะที่ควร เอื้อมมือออกไปและกอดเธอไว้ในอ้อมแขนของเขา “ได้ยินเรื่องทั้งหมดแล้ว แต่กลับไม่มีความสุขใช่ไหม?”
ซูย้าวตกใจเล็กน้อย เธอถอนหายใจออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า “ฉันบอกไม่ได้ว่าฉันมีความสุขหรือทุกข์ใจ มันเป็นแค่เรื่องที่คาดไม่ถึงเท่านั้นเองค่ะ!”
เขาจ้องมาทางเธอด้วยดวงตาลึกล้ำอัน ดวงตาอันดุจนกฟีนิกซ์ที่สวยงามของเขาหรี่ลง “คุณชอบลูกพี่ลูกน้องคนนี้ของคุณเหรอ?”
คำพูดเพียงคำเดียว ทำให้ซูย้าวตกใจถึงขีดสุด หูของเธอที่ได้ยินดูเหมือนจะมีอะไรแตกสลาย เธอจึงผงะไปครู่หนึ่งจากนั้นเธอจึงสะบัดออกจากอ้อมแขนของเขาอย่างรวดเร็ว จากนั้นถอยหลังออกไปหลายก้าว
“คุณ คุณกำลังพูดเรื่องอะไรกัน?” เธอพูดติดๆ ขัดๆ “เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องของฉันนะคะ!”
ปฏิกิริยาดังกล่าวยากที่จะให้ลี่เฉินซีไม่คิดมาก ดวงตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อยแล้วก้าวเข้ามาหาเธอ จับแขนเธอเอาไว้แล้วดึงเธอเข้าไปในอ้อมอกของเขาอย่างรุนแรง “คุณ โกหกไม่เก่ง ตอนนี้ก็เหมือนกัน”
ดวงตาของซูย้าวตื่นตระหนก “คุณ……”
เขาโน้มตัวลง ลมหายใจแผ่วเบาพูดอู้อี้ข้างหูของเธอว่า “เพราะเขาและคุณอยู่ด้วยกันมานานถึงสองปี ต่อให้คุณรู้สึกแบบนั้นผมก็ไม่แปลกใจเลย”
“คะ?” คิ้วของซูย้าวขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “คุณรู้ได้อย่างไรว่าฉันอยู่กับเขามาสองปีกว่าๆ ?”
ในความทรงจำที่เธอมีอยู่นั้น ดูเหมือนว่าเธอจะอยู่กับอานเจียเย้นมาโดยตลอด ทั้งสองทำธุรกิจร่วมกัน เตร็ดเตร่ไปมาคอยพึ่งพาอาศัยกัน
ลี่เฉินซีจับจ้องไปที่เธอด้วยดวงตาหนักแน่น ก่อนจะเอื้อมไปจับมือน้อยๆ ที่เย็นเยือกของเธอไว้ “มีบางเรื่อง ยังไม่เหมาะที่จะพูดกับคุณในตอนนี้ แต่ไม่ต้องกังวลนะครับ เมื่อเวลาผ่านไปแล้วคุณจะเข้าใจในภายหลัง”
แม้ว่าตอนนี้เขาจะอธิบายให้เธอฟังอย่างละเอียด แต่คาดว่าเธอก็คงจะไม่เชื่อ
ความทรงจำของเธอดูเหมือนจะถูกใครจงใจทำให้สับสน และลบความทรงจำของเธอกับเขาไป จากนั้นเพิ่มความทรงจำที่สมมติขึ้นมาแทน
หัวใจของซูย้าวยุ่งเหยิงมากพอแล้ว เธอไม่ต้องการเพิ่มปัญหาอะไรให้มากกว่านี้อีก ดังนั้นเธอจึงก้มศีรษะลงและพูดว่า “ตามแต่คุณแล้วกันค่ะ!”
เธอพูดพร้อมกับปลีกตัวออกจากเขา แล้วเดินตรงเข้าไปในห้องนอน
เมื่อเขาเข้ามาและเห็นว่าเธอยืนอยู่ข้างเตียง ก้มหาบางสิ่งในกระเป๋าของเธอ ลี่เฉินซีจึงเดินเข้ามาถามขึ้นว่า “คุณกำลังหาอะไรครับ?”
“เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร แค่ต้องการจะทำความสะอาดสักหน่อย!” เธอพูดอย่างเรียบง่ายและเงยหน้าขึ้นมองชายที่อยู่ข้างๆ นัยน์ตาเธอเป็นประกายระยิบระยับ ทันใดนั้นเธอก็ก้าวไปข้างหน้าเอามือโอบรอบคอของชายผู้นั้น มืออีกข้างดึงปกเสื้อของเขาเข้ามาใกล้ๆ จากนั้นเขย่งเท้าขึ้นไปจูบเขา
จูบที่มาอย่างกะทันหันนี้ทำให้ลี่เฉินซีประหลาดใจจริงๆ
เธอช่างไร้เดียงสา หลังจากจูบอยู่นานก็ยังไม่เป็นท่า ท้ายที่สุดเขาเองจึงอดไม่ได้ที่จะบรรเลงจูบเธออย่างหนักหน่วง เนิ่นนานทีเดียวจนในที่สุดเขาก็ปล่อยเธอออก “เด็กดื้อ ร่างกายไม่พร้อมแล้วยังทำตัวซุกซนแบบนี้อีก!”
ซูย้าวยิ้มให้เขา “ถ้าฉันไม่ซุกซนแบบนี้ แล้วจะทำให้คุณไม่ระวังตัวได้ยังไงล่ะคะ?”
ทันทีที่เสียงของเธอสิ้นสุดลง ดวงตาของลี่เฉินซีก็กะพริบขึ้น แต่มันก็สายเกินไปแล้ว ความรู้สึกเจ็บจี๊ดจากเข็มฉีดยาในมือของซูย้าวได้ถูกฉีดเข้าไปในร่างกายของเขาแล้ว