เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - ตอนที่ 82
บทที่ 82 เธอสำคัญกับผมมาก
เมื่อกลับไปถึงบ้านตระกูลลี่เวลาก็ปาไปสองทุ่มกว่าแล้ว
ทันทีที่เข้าไปในห้องรับแขก ซูย้าวก็ถึงกับอึ้งไป
เป็นไปได้ยากมากที่ลี่เฉินซีจะกลับบ้านแถมยังกลับเช้าขนาดนี้ เขาไม่ได้หมกมุ่นอยู่กับงานแต่กลับนั่งไขว้ขาดูรายการทีวีที่น่าเบื่ออยู่บนโซฟาด้วย
“คุณไปไหนมา? ทำไมกลับช้าจัง!”
เสียงทุ้มต่ำและเย็นชาดังขึ้นจากผู้ชายผู้สูงส่งที่นั่งอยู่บนโซฟานั้น ซูย้าวถึงกับตะลึงไปชั่วขณะ เขาเริ่มสนใจกิจวัตรประจำวันของเธอตั้งแต่เมื่อไหรกัน?
เธอเดินเข้าไปแล้วอธิบายด้วยภาษามือ “ไปเที่ยวกับหว่านหว่านมา”
เธอไม่ได้ตั้งใจจะบอกเรื่องของการรักษาคอกับเขาทันที
เธอจำเป็นต้องเก็บเป็นความลับและไม่สามารถให้คนของตระกูลซูรู้ได้
สายตาของลี่เฉินซียังคงจ้องไปที่ทีวี นิ้วมือที่เรียวยาวถือรีโมทคอนโทรลด้วยท่าทางที่ดูผ่อนคลายทำให้ดูเหมือนความเย็นเยือกในปกติจางหายไปอย่างมาก
จนผ่านไปครู่หนึ่ง ซูย้าวถอดเสื้อกันหนาวออกและถือกระเป๋าเตรียมขึ้นไปชั้นบน แต่เธอกลับเห็นพี่เลี้ยงเด็กเดินลงมาพร้อมกับกระเป๋าเดินทางใบใหญ่
เธอมองด้วยสายตาประหลาดใจ จากนั้นพี่เลี้ยงเด็กก็พูดขึ้นว่า “หนูเก็บเสื้อของคุณหญิงกับคุณชายไว้ในกระเป๋าเดียวกันแล้วค่ะ ใช้กระเป๋าใบเดียวกันน่าจะสะดวกกว่า!” ซูย้าวถึงกับผงะไปพักหนึ่ง
มันหมายถึงอะไร?!
ดูเหมือนจะเห็นถึงความประหลาดใจบนใบหน้าของเธอ พี่เลี้ยงจึงยิ้มพูดต่อ “คุณชายบอกว่าคืนนี้จะไปฝรั่งเศสกับคุณหญิงด้วยกัน ท่านจึงให้หนูเตรียมกระเป๋าเดินทางให้!”
ฝรั่งเศส?!
ไปคืนนี้?
ไปกับเธอด้วย……
ซูย้าวได้แต่ยืนแข็งทื่ออยู่กับที่ ตั้งแต่แต่งงานกันมาพวกเขายังไม่เคยเดินทางไปฮันนีมูนกันเลย แล้วจู่ ๆ ลี่เฉินซีคิดอะไรอยู่?
ความคิดแรกของเธอคือผู้ชายคนนี้กำลังคิดทำอะไรกันแน่? มันคือ‘แผนการ’หรือเป็น‘กับดัก’อะไรสักอย่างที่ไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน
ลี่เฉินซีเหลือบมองไปที่กระเป๋าเดินทางด้วยสายตาเย็นชา เขาก้มดูนาฬิกาจากนั้นลุกขึ้นยืนและร่างอันสูงใหญ่ก็เดินตรงเข้ามาหาเธอแล้วพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “กรุ๊ป Kเชิญพวกเราไปร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำและร่วมปรึกษาหารือเรื่องความร่วมมือไปด้วย” ที่แท้เป็นเรื่องงานนี่เอง
ในที่สุดหัวใจที่ถูกกุมไว้แน่น ๆ ก็ถูกปล่อยวาง แต่จู่ ๆ ทำไมเธอถึงรู้สึกผิดหวังอย่างพูดไม่ถูก?
ซูย้าวไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่านั้น เธอคิดถึงเจิ้งเอ๋อมากกว่า เพราะเมื่อเดินทางไปฝรั่งเศสแล้ว อย่างน้อยต้องใช้เวลาสามถึงสี่วันหรือมากกว่านั้นอย่างแน่นอน แล้วลูกจะทำยังไง?
เธอส่ายหัวทันทีและก่อนที่จะใช้ภาษามือพูด ประตูห้องรับแขกก็ถูกเปิดออก จากนั้นเสียงของเจี่ยงเวินอี๋ก็ดังเข้ามา
“เจิ้งเอ๋อ? คุณยายมาแล้ว!”
พี่เลี้ยงรีบไปต้อนรับอย่างอบอุ่น “นายหญิงท่านมาแล้วเหรอคะ นายน้อยหลับอยู่ชั้นบนค่ะ!”
เจี่ยงเวินอี๋เปลี่ยนรองเท้าแล้วพูดประโยคหนึ่งที่ทำให้ความกังวลของซูย้าวหายไปทันที “พวกเธอไปเถอะ เดี๋ยวแม่ดูแลหลานให้เอง!”
ซูย้าวรู้สึกตะลึง เธอยังไม่ทันพูดอะไรลี่เฉินซีก็หยิบเสื้อสูทขึ้นแล้วดึงเธอออกไปทันที
เธอพยายามดิ้นรนเพื่ออยากเห็นหน้าลูกและอยากขึ้นไปเปลี่ยนชุดก่อน แต่เขากลับไม่ให้โอกาสเธอเลย!
เขาจับมือเธอไว้อย่างอุกอาจและไม่ยอมปล่อย
เมื่อเดินผ่านเจี่ยงเวินอี๋เธอยังได้ยินเสียงบ่นว่า “ออกต่างประเทศทำตัวดี ๆ หน่อย! อย่าสร้างปัญหาให้กับเฉินซี!”
หลังจากหยุดไปครู่หนึ่งเจี่ยงเวินอี๋ก็พูดต่อด้วยสีหน้าไม่พึงพอใจ “พูดก็พูดไม่ได้ พาคนใบ้ไปแบบนี้น่าขายหน้าแค่ไหน! พาฉ่ายหลิงไปยังดีกว่า!”
แม้เสียงพูดจะเบา แต่ทุกถ้อยคำนั้นได้ทิ่มแทงจิตใจซูย้าวอย่างเจ็บปวด
สีหน้าของลี่เฉินซียังคงเฉยเมย เขาไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่จับมือเธอแล้วเดินออกจากบ้านทันที
รถได้จอดรออยู่ด้านนอกก่อนหน้านี้แล้ว แม่บ้านใส่กระเป๋าเดินทางไว้ท้ายรถและหลังจากทั้งสองขึ้นรถก็ออกเดินทางไปที่สนามบินทันที
ทั้งสองบินตรงไปยังเมืองปารีสในคืนนั้น ใช้เวลาในการเดินทางมากกว่าสิบชั่วโมง เมื่อเดินทางไปถึงก็เป็นเวลาช่วงบ่ายของวันที่สองแล้ว
เย็นวันนั้นก็เป็นวันจัดงานเลี้ยงตามนัดหมาย ซูย้าวยังคงปรับตัวกับเวลาที่แตกต่างกันไม่ได้แม้จะได้นอนพักบนเครื่องบินแต่เธอก็ยังรู้สึกเหนื่อยล้าอยู่เล็กน้อย ถึงอย่างไรก็ตามเธอจำเป็นต้องไปร่วมงานเลี้ยงนี้กับลี่เฉินซีอย่างปฏิเสธไม่ได้อยู่ดี
ใต้โคมไฟที่หรูหราเต็มไปด้วยไวน์ราคาชั้นดี
รูปแบบงานเลี้ยงไม่ต่างอะไรกับในประเทศ ซึ่งซูย้าวไม่เคยสอบสิ่งนี้ เธอแค่อยากเข้าไปโซนบุฟเฟ่ต์เพื่อหาอะไรรองท้องอย่างเงียบ ๆ ไปก่อน
เธอไม่รู้ว่าเกิดจากสาเหตุที่ไม่ได้กินอะไรบนเครื่อง จึงทำให้เธอรู้สึกปวดกระเพาะอย่างทรมาน เธอพยายามอดทนกับมันแต่ก็รู้สึกว่ามันปวดเหมือนถูกมีดบาดขึ้นเรื่อย ๆ
เธอเห็นโซนอาหารแล้วอยากจะเข้าไปทันที แต่ลี่เฉินซีกลับจับเธอไว้ไม่ปล่อย อีกทั้งยังหยิบไวน์จากพนักงานเสิร์ฟมาสองแก้วแล้วยื่นให้เธอด้วย
ซูย้าวรู้สึกอึดอัดและสีหน้าก็เริ่มไม่เป็นธรรมชาติ
ประธานไซม่อนของ กรุ๊ป Kได้เดินเข้ามาพร้อมกับคู่หมั้นของเขาแล้วพูดขึ้นมาว่า “ท่านประธานลี่ครับ การที่มีโอกาสได้ร่วมมือกับบริษัทตระกูลลี่ซื่อเป็นเกียรติของเรามาก ผมหวังว่าจากความพยายามของเราทั้งสองฝ่ายจะทำให้โครงการ CCU ของเราไปได้สวยกว่านี้นะครับ!”
ลี่เฉินซีเม้มปากเบา ๆ แล้วยกแก้วขึ้น “ผมก็หวังอย่างนั้นเช่นกันครับ”
ทั้งสองยกแก้วชนกัน จากนั้นสายตาของประธานไซม่อนก็หันมามองที่ซูย้าวแล้วพูดขึ้นอีกครั้ง “ว่ากันว่าเบื้องหลังการประสบความสำเร็จนั้นต้องมีผู้หญิงที่ยอดเยี่ยมคอยหนุนชูอยู่ข้างหลัง ผมคิดว่าท่านประธานลี่ที่ประสบความสำเร็จได้เช่นนี้เพราะมีคุณผู้หญิงลี่คนนี้คอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอนครับ!”
ซูย้าวรู้สึกเกรง เธอได้แต่ส่ายหัวแล้วยิ้มตอบ
“อย่ามองว่าคุณหญิงลี่นั้นพูดไม่ได้นะ เธอต้องเป็นผู้หญิงที่มีความสามารถคนหนึ่งอย่างแน่นอน เราสามารถมองออกได้” ทันใดนั้นคริสตินก็พูดขั้นมา
เธอส่ายหัวอีกครั้งและไม่กล้ารับคำชมนี้เลยจริง ๆ
โดยที่ไม่รอเธอมีปฏิกิริยาใด ๆ แขนยาวนั้นก็สวมกอดเข้ามาที่เธอทันที การกระทำนั้นดูใกล้ชิดและเป็นธรรมชาติมาก จากนั้นลี่เฉินซีพูดขึ้นมาว่า “คุณคริสตินเป็นคนฉลาดจริง ๆ แม้ภรรยาผมคนนี้จะพูดไม่ได้ แต่เธอก็เป็นกำลังใจหลักในชีวิตผมอย่างปฏิเสธไม่ได้เลยจริง ๆ นะครับ”
เสียงอันอบอุ่นดังมาจากด้านบนของศีรษะ เธอเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ ใบหน้าหล่อเหลาของลี่เฉินซีอยู่ใกล้แค่เอื้อม เขาโอบเอวเรียวบางของเธอไว้ด้วยดวงตาอ่อนโยนที่เต็มไปด้วยความเสน่หาซึ่งไม่เคยเห็นมาก่อน “เธอสำคัญกับผมมาก อาจพูดได้ว่าถ้าไม่มีเธอทุกอย่างของผมก็ไร้ความหมายเลยก็ว่าได้”
น้ำเสียงที่แข็งกระด้างแต่อ่อนโยน ซูย้าวจมอยู่กับความหวานชื่นที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหันจากลี่เฉินซี เขากดศีรษะลงแล้ววางจูบตรงที่ริมฝีปากอันอ่อนโยนของเธอ
ทำให้เธอติดอยู่ในกับดักอย่างสมบูรณ์แบบ?!
สมองของเธอดูเหมือนจะเต็มไปด้วยสิ่งต่าง ๆ มากมาย แต่ทันใดนั้นมันกลับว่างเปล่าอีกครั้ง จนกระทั่งการจูบนั้นสิ้นสุดลง
เขาที่ซึ่งแตกต่างจากซูย้าวยกริมฝีปากขึ้นอย่างไม่แยแส จากนั้นหันมองไปที่ประธานไซม่อน “การที่ได้รับโครงการนี้ อาจพูดได้ว่าทั้งหมดเป็นเพราะผมมีเธอคนนี้”
เป็นอีกคำพูดที่ทำให้ซูย้าวต้องผงะอีกครั้ง!
คืออะไรกันแน่?!
นัยน์ตาของเธอเต็มไปด้วยความสับสน หรือว่าลี่เฉินซีรู้แล้วว่าเธอก็คือมิส S ซึ่งเป็นคนก่อตั้งโครงการ CCU และเป็นเบื้องหลังคนที่ทำให้ กรุ๊ป Kเลือกที่จะร่วมมือกับบริษัทลี่ซื่อ……
ไม่มีทางหรอก!
แม้เพ้ยส้าวหลี่จะรู้จักตัวตนของเธอ แต่ลี่เฉินซีไม่เคยสนใจเธอเลย แล้วเป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะรู้?
เธอคงคิดมากไปเอง!
เธอครุ่นคิดอยู่สักพัก พยายามปลอบใจตัวเองและไม่อยากคิดมากไปเอง แต่ปรากฎว่าเธอคิดมากไปจริง ๆ
หลังจากประธานไซม่อนพูดชมเสร็จเขาก็พาคริสตินเดินจากไป และทันทีที่พวกเขาแยกจากกันใบหน้าหล่อเหลาของลี่เฉินซีก็เข้มขรึมขึ้นมา
สีหน้ายิ้มแย้มที่จงใจแสดงออกก่อนหน้านี้ก็กลายเป็นความกดอากาศที่เย็นมืดครึ้มขึ้นมาทันที
ไม่จำเป็นต้องเงยหน้ามองซูย้าวก็เดาได้ว่าสีหน้าของชายคนนี้กลับกลายเป็นเย็นชาอีกครั้ง
มันก็แค่การแสดงนี่เอง!
เธอถอนหายใจด้วยความผิดหวังและเงยหน้าขึ้นแล้วกระดกค็อกเทลในมือจนหมดแก้ว
ยังมีเจ้าของธุรกิจชาวเอเชียอีกมากมายที่อยู่ในงาน ซึ่งทุกคนต่างก็เข้ามาทักทายเพราะชื่นชมในความสามารถของลี่เฉินซี ดังนั้นเธอจึงจำเป็นต้องเขาสังคมกับเขาด้วย แต่เธอเริ่มรู้สึกหงุดหงิดและโฉยโอกาสออกมาในจังหวะที่เขาคุยกับคนอื่น
เธอเดินเข้าไปถึงโซนอาหาร แต่รู้สึกว่ากินอะไรไม่ลงแล้ว เธอจึงหยิบเค้กขึ้นมาชิ้นหนึ่งแล้วเอาเข้าปาก
“ความสัมพันธ์ของคุณนายลี่กับท่านประธานลี่ไม่ได้ดีเหมือนที่พูดใช่ไหมคะ?”
เสียงผู้หญิงแผ่วเบาดังมาจากด้านข้าง ซูย้าวรู้สึกตกใจแล้วหันไปมองและเธอได้เห็นคริสตินยืนอยู่ตรงหน้า