เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - บทที่ 609 ถ้าจูงแล้วไม่เดิน จะตีให้ถอย
จู่ๆ เธอก็ตกลงมาในน้ำ ทำให้ความคิดอันสับสนของซูย้าวชะงักลง ผ่านไปเนิ่นนานทีเดียวกว่าร่างกายของเธอจะเคยชินกับน้ำในสระ ตอนที่เธอโผล่ศีรษะขึ้นมาก็ได้ยกมือขึ้นเช็ดหยดน้ำที่เกาะบนใบหน้าก่อนจะมองไปทางชายหนุ่มที่นั่งตรงขอบสระแล้วพูดว่า “นี่คุณ……!”
เธอโมโหมากจริงๆ และรู้สึกงุนงงกับท่าทางที่เปลี่ยนไปดังนี้ “คุณเป็นโรคจิตรึไง?”
แต่ด้านของลี่เฉินซีเองไม่ได้โกรธ เขานั่งยองๆ อยู่ตรงสระน้ำ แล้วโน้มตัวมองจากมุมบนลงไปมุมร่าง ใบหน้าอันหล่อเหลาหันไปทางพระอาทิตย์ที่กำลังจะลาลับขอบฟ้างดงามดุจดั่งเทพเจ้า
น้ำเสียงไพเราะน่าฟังของเขาดูเป็นธรรมชาติ มันลึกซึ้งและเต็มไปด้วยแรงดึงดูด “ผมจะถามครั้งสุดท้าย ไปกับผมหรืออยู่ที่นี่?”
ซูย้าวโมโหกระฟัดกระเฟียด ที่จริงแล้วเธอต้องการจะไปจากที่นี่ ไม่ใช่เพราะการสนทนาก่อนหน้าที่ไม่ค่อยรื่นอารมณ์เท่าไรนักกับอานเจียเย้น แต่ที่สำคัญก็คือเธอรู้สึกสงสัยในตัวตนของเธอเอง เธอจำเป็นต้องไปจากที่นี่จึงจะสามารถตรวจสอบตัวตนของเธอได้
แต่ต่อให้เป็นแบบนี้เธอก็ไม่อยากเดินทางไปกับลี่เฉินซีในเวลานี้
เธอกัดฟันทำหน้าบูดบึ้งและดื้อรั้นพูดออกมาเพียงว่า “ฉันจะอยู่ที่นี่!”
ลี่เฉินซีไม่ได้แสดงสีหน้าท่าทางอื่นใด เพียงแค่ก้มหน้าลงแล้วตอบว่า “อ้อ”
เมื่อสิ้นเสียงลงเขาก็ไม่ได้ลุกขึ้นแล้วเดินจากไปทันทีแต่กลับยื่นมือมาทางเธอ สายตาที่มองมานั้นดูเหมือนว่าเขาต้องการจะช่วยพยุงเธอขึ้นมา
ซูย้าวมองดูเขา ดวงตาคู่นั้นของเธอหดเกร็งอีกครั้งหนึ่ง เธอหลบหลีกมือของชายหนุ่มที่ยื่นออกมา เปลี่ยนเป็นการว่ายน้ำไปอีกฝั่งหนึ่งแทน แล้วนำมือจับตรงราวบันไดค่อยๆ ปีนขึ้นมาอย่างช้าๆ ลี่เฉินซีหัวเราะหึๆ เบ้ปากนิดหน่อย เมื่อเขาลุกขึ้นยืนก็ได้เอื้อมมือไปหยิบผ้าขนหนูที่อยู่ข้างๆ จากนั้นก็คลายมันออก แล้วโอบไปยังเรือนร่างอันบอบบางของเธอ ก่อนจะอุ้มเธอเข้ามาไว้ในอ้อมแขน แล้วนำมือของเขาสอดไปตรงข้อพับขาเธออุ้มเธอขึ้นมา
ซูย้าวตกตะลึงไปชั่วครู่ เธอรีบคว้าคอเสื้อของเขาเอาไว้โดยสัญชาตญาณ “คุณจะทำอะไรอีก?”
“พาคุณกลับบ้าน” เขาพูดเบาๆ ดวงตาของเขามองไปข้างหน้าและก้าวไปยังทางเข้าคฤหาสน์
ซูย้าวถ้าทำท่าทางตกตะลึงและพยายามดิ้นรนอยู่ในอ้อมอกเขา “ฉันบอกว่าฉันจะอยู่ต่อยังไงล่ะ คุณฟังไม่ออกรึไง!?”
ชายหนุ่มเผยอยิ้มขึ้น “ปากคุณพูดว่าอยากอยู่ต่อ แต่ใจของคุณคิดอย่างนั้นจริงๆ เหรอ?”
เธอรู้สึกประหลาดใจมากแต่ยังไม่ทันจะได้แสดงปฏิกิริยาอะไรออกมา ก็ถูกชายหนุ่มอุ้มเอาไว้และก้าวเข้าสู่รถอย่างรวดเร็ว
หลังจากวางเธอไว้บนเบาะเรียบร้อยแล้ว ลี่เฉินซีก็ยืนอยู่ข้างๆ รถตรงด้านนอก ดวงตาของเขามองมาที่เธออย่างหนักแน่น “ต่อไปนี้คุณจะเข้าใจเองว่าการที่ไปกับผมเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคุณ”
“คุณพูดเรื่องไร้สาระอะไรกัน? แล้วทำไมฉันถึงต้องไปกับคุณด้วย?” ซูย้าวพยายามดิ้นรนขัดขืน เพราะตอนนี้เธอเองก็ไม่รู้ว่าสถานการณ์เป็นเช่นไร
ลี่เฉินซีมองดูเธอ ดวงตาของเขาหรี่ลงแล้วตอบว่า “อย่างน้อยผมก็จะไม่ทำร้ายคุณ ไม่ทำให้คุณต้องเจ็บปวด”
จากนั้นเขาก็ไม่ได้ให้โอกาสเธอในการพูดอะไรอีก มือใหญ่ของเขาปิดประตูรถดัง “ปึง” จากนั้นเขาก็หันหลังกลับเดินอ้อมไปอีกฝั่งหนึ่งแล้วขึ้นรถ คนขับรถรีบติดเครื่องและแล่นออกไปจากคฤหาสน์
ในห้องหนังสือที่ชั้นสอง ร่างสูงยาวของอานเจียเย้นยืนอยู่ตรงหน้าต่าง ดวงตาอันหนักแน่นลึกซึ้งคู่นั้นมองไปยังรถคันที่ค่อยๆ ขับออกไปเนิ่นนานทีเดียว
ต่อมาพ่อบ้านก็เข้ามาเคาะประตูได้จังหวะพอดี ในมือของเขาถือกาแฟเข้ามาแล้วยื่นให้พูดว่า “ในเมื่อตัดใจไม่ได้แล้วทำไมต้องทำแบบนี้?”
พ่อบ้านคนนี้อยู่รับใช้อานเจียเย้นมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว ตั้งแต่ตอนเด็กๆ ที่แม่บุญธรรมของเขาจากไป และเตร็ดเตร่เร่ร่อนเตร็ดเตร่เร่ร่อนไปทั่ว จากนั้นก็ได้ถูกนายท่านพากลับมา และคอยดูแลเขาตั้งแต่ตอนนั้น ตลอดหลายปีมานี้เรียกได้ว่าเป็นญาติกันก็ยังได้
อานเจียเย้นรับกาแฟเข้ามาจิบไปอึกหนึ่ง มันยังร้อนอยู่เล็กน้อยเขาจึงเอามือทั้งสองข้างกุมแก้วกาแฟเอาไว้
“นายท่าน อย่าได้เรียนแบบกับนายท่านใหญ่ ที่รอให้เวลาถึงบัดนี้แล้วจึงรู้สึกเสียดายเสียใจ ท่านต้องเข้าใจว่าบางเรื่องบางสิ่งนั้นหากคลาดกันไปแล้วครั้งหนึ่งก็อาจจะคลาดกันไปตลอดชีวิต”
คำพูดของพ่อบ้านบ่งบอกถึงเรื่องราวในใจที่หนักอึ้ง และประโยคสนทนาก็จบลงเพียงเท่านี้
อานเจียเย้นเม้มปากเล็กน้อยเบาๆ เสียงหัวเราะและรอยยิ้มของเขาช่างเย็นชาเหมือนกับกำลังเยาะเย้ยตนเองอยู่ “แต่ถ้าไม่ลองปล่อยเธอไปให้เธอเลือกด้วยตัวเองอีกสักครั้ง เธอจะตัดใจอย่างขาดได้ยังไง?”
“เทียบกับการตัดใจแล้ว การอยู่เคียงข้างไปตลอดจึงจะสำคัญ” พ่อบ้านพูดขึ้นในทันที คำพูดของเขากระฉับกระเฉงชัดเจน
อานเจียเย้นหัวเราะ แต่น้ำเสียงหัวเราะนั้นไม่ได้มาจากใจ มันเป็นเพียงสิ่งที่เสแสร้งขึ้นมา “ชีวิตในภายภาคหน้ายังอีกยาวไกลครับ สักวันหนึ่งเธอจะกลับมาเอง”
พ่อบ้านมองดูเขาแล้วอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้
อีกด้านหนึ่ง ลี่เฉินซีขับรถพาซูย้าวออกจากเมืองมาถึงสนามบิน ดูเหมือนว่าค่อนข้างจะรีบร้อน เครื่องบินส่วนตัวได้บินตรงไปยังเมือง A ในชั่วข้ามคืน
การเดินทางนับสิบชั่วโมงเป็นเรื่องลำบากมากสำหรับซูย้าว
ที่ระดับความสูงหลายหมื่นเมตรเหนือพื้นดินนี้ ต่อให้เธอมีปีกก็ไม่สามารถหลบหนีไปได้ อารมณ์โกรธของเธอสับสนวุ่นวายเละเป็นโจ๊ก
เธอนั่งพักอยู่ในห้องโดยสารจนกระทั่งประตูถูกเปิดออก ลี่เฉินซีก็เดินมาหาเธอพร้อมกับอาหารและแชมเปญ
เขาวางอาหารทีละอย่างลงบนโต๊ะอาหารอันวิจิตรงดงาม รินแชมเปญหนึ่งแล้วยื่นไปที่มือของเธอ “กินอะไรสักหน่อยสิครับ”
เสียงทุ้มของเขายังคงแข็งทื่อ ฟังไม่ออกถึงความหมายแอบแฝงที่ลึกซึ้งใดๆ
ซูย้าวขมวดคิ้วขึ้นด้วยความไม่พอใจและจ้องมาที่เขาอย่างเย็นชา “คุณรู้อยู่ว่าคุณไม่สามารถกักขังฉันไว้แบบนี้ได้ แล้วคุณจะทำไปเพื่ออะไร?”
“กักขังเหรอ?” คำนี้ทางใจลี่เฉินซีมาก ดวงตาดุจฟีนิกซ์ที่แหลมคมเขาเบิกกว้างเล็กน้อย “ผมกักขังคุณตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ซูย้าวมองไปรอบๆ “นี่ไม่ใช่หรือไง?”
เธอไม่เคยบอกว่าเธอจะออกจากเมืองนั้น หรือออกไปจากยุโรป แต่เขาก็ฝืนพาเธอขึ้นเครื่องบินมา นี่ไม่ใช่การกักขังแล้วมันเรียกว่าอะไร?!
ลี่เฉินซีเดินตรงเข้ามาหลังจากได้ยิน เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยและยิ้มขึ้น รอยยิ้มนั้นจางบางเบาและเต็มไปด้วยความรู้ช่วยไม่ได้ ท้ายที่สุดเขาก็พูดเพียงว่า “กินอะไรก่อนเถอะครับ รอให้เมืองAแล้วคุณสามารถไปได้ทุกที่ที่คุณต้องการ”
“หึ!” ซูย้าวส่งเสียงเยาะเย้ยออกมา “เพราะเมืองAเป็นเขตอิทธิพลของคุณน่ะสิ คุณรู้ว่าไม่ว่าฉันจะไปที่ไหน ฉันก็หนีจากฝ่ามือคุณไม่ได้!”
ริมฝีปากบางของเขาขยับเล็กน้อย แล้วถอนหายใจออกมา “อยู่เคียงข้างผมแบบนี้ไม่ดีเหรอ? คุณลืมสิ่งที่สัญญากับผมไว้ก่อนหน้านี้แล้วสินะ?”
ดวงตาของซูย้าวหรี่ลงราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่าง จากนั้นเธอก็พูดอย่างเร่งรีบว่า “ฉันไม่เคยตกลงสัญญากับข้อเสนอก่อนหน้านี้ โอเค?!”
ลี่เฉินซีก้มศีรษะลงเล็กน้อย เขาเอนหลังพิงโซฟาแล้วนั่งไขว่ห้างอย่างสง่างาม “ในเมื่อเป็นแบบนี้ ตอนนี้เรามาร่างสัญญาใหม่กันเถอะ!”
ซูย้าวเลิกคิ้ว “อะไรนะ?”
นัยน์ตาของชายหนุ่มดูลึกซึ้ง เขาเจาะเข้าประเด็นหลักว่า “อยู่เคียงข้างผม เป็นผู้หญิงของผม ระยะเวลาผมจะเป็นคนกำหนด ในขณะเดียวกันช่วงเวลานี้ผมจะตอบสนองความต้องการของคุณทั้งหมด ตกลงไหม?”
เธอหรี่ตาแล้ววางมือลงบนโต๊ะ “นี่คุณแน่ใจว่าเป็นคำถามเหรอ?”
ลี่เฉินซีมองเธอโดยไม่พูดอะไร
ภายใต้การจ้องมองลึกๆ ของเขา เธอปฏิเสธออกไปโดยตรงว่า “ถ้าเป็นการสอบถามความสมัครใจละก็ ฉันไม่เห็นด้วย!”
เขาหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะนั้นจริงจัง รอยยิ้มจางๆ ดูเหมือนจะปนเปื้อนด้วยเวทมนตร์ ทำให้คนฟังหัวใจเต้นรัว
ร่างของลี่เฉินซีก้าวไปข้างหน้าเล็กน้อย เขาอยู่ห่างจากเธอเพียงมีโต๊ะเล็กๆ กั้นไว้ เขากุมมือเธอเบาๆ ด้วยมือข้างหนึ่ง “การปฏิเสธไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนะครับ”
ซูย้าวรู้สึกถูกบีบหัวใจ ซึ่งตอนนี้มันเต็มไปด้วยความซับซ้อน เธอถามขึ้นว่า “ทำไม?”
อันที่จริงเธออยากจะถามตรงๆ ด้วยซ้ำว่าทำไมเขาถึงกล้าแสดงออกและเสนอเงื่อนไขแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า!
ลี่เฉินซีมองเธอด้วยดวงตาเป็นประกายลึกซึ้ง “เพราะว่าคุณจะตกลงในไม่ช้าก็เร็ว แทนที่จะใช้วิธีที่คุณไม่ชอบที่สุด สู้ตอบตกลงมาเสียในตอนนี้ จะได้ไม่วุ่นวายมากไปกว่านี้”
ซูย้าวไม่เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร จู่ๆ เธอก็รู้สึกว่าตนถูกละเมิด จึงเม้มริมฝีปากของเธอโดยไม่รู้ตัว “คุณลี่อาจไม่เข้าใจฉันนะคะ ฉันเป็นคนอารมณ์ร้อนตลอดเวลา ไม่ว่าเงื่อนไขที่คุณหยิบยกมานั้นจะเย้ายวนใจขนาดไหน แต่คำตอบที่ฉันให้ยังคงคือไม่!”
ลี่เฉินซีก้มหน้าลงอีกครั้ง “อ้อ จูงไปดีๆ ไม่ชอบ ชอบให้ตีจนถอยหลังซินะ”
ซูย้าว “……”
เขาใช้คำอะไรมาบรรยายเธอเนี่ย?!
จากนั้นเขาก็จับมือเธอเบาๆ แล้วเอนตัวไปข้างหน้าพร้อมปล่อยเธอ “ถ้าอย่างนั้น ผมก็ได้แต่หวังว่าคุณอานสวดภาวนาให้ตัวเองแล้วละนะ!”
พูดจบเขาก็หันหลังเดินออกจากห้องโดยสารไป
อีกหลายชั่วโมงต่อมา ทั้งสองก็ไม่ได้พบกันอีก ซูย้าวพักผ่อนอย่างเงียบๆ ในห้องโดยสารของเธอ ส่วนเขาอยู่ในห้องโดยสารด้านนอกเพื่อตรวจสอบเอกสารและจัดการกับงาน
ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงัด ทั้งสองคนรู้สึกอึดอัด แต่ก็ไม่ได้ไปรบกวนกันและกัน