เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - บทที่ 624 มาหาถึงหน้าประตู
ค่ำคืนค่อยๆถูกความมืดปกคลุม แสงไฟนีออนสว่างไสวจากสองข้างถนนราวกับมังกรตัวยาว เพิ่มสีสันฉูดฉาดให้กับเมืองที่มีผู้คนพลุกพล่านเช่นนี้
ตอนที่ซูย้าวเดินทางมาถึงบริษัทลี่ซื่อ พนักงานแผนกต้อนรับที่หน้าเคาน์เตอร์พบกับเธอเข้า แววตาก็เริ่มมีความปั่นป่วน แต่ก็ยังปฏิบัติอย่างสุภาพและให้ความเคารพ
เมื่อได้ยินว่าเธอต้องการเข้าพบลี่เฉินซี พนักงานต้อนรับก็ไม่ได้เข้าไปขวางแต่กลับรีบเชื้อเชิญเธอขึ้นไปด้านบน
เมื่อซูย้าวก้าวไปข้างหน้า พนักงานต้อนรับก็กระซิบกับเพื่อนร่วมงานของเธอด้วยเสียงอันเบาว่า “เหมือนมากจริงๆ! เหมือนคนคนเดียวกันเลย!”
“ก็นั่นน่ะซิ ก่อนหน้านี้นะที่ฉันเห็นข่าวบนอินเทอร์เน็ตฉันยังคิดว่าเป็นแค่ข่าวลือ แต่ตอนนี้ดูสิ โอ้พระเจ้า! ฉันคิดว่าศพฟื้นคืนชีพ!”
ฝีเท้าของซูย้าวช้าลงเล็กน้อย ดวงตาอันเปี่ยมไปด้วยความสงสัยของเธอกะพริบลง ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าพวกคนเหล่านี้กำลังคุยกันเรื่องเธอและซูย้าวเป็นคนคนเดียวกันหรือไม่
ว่าแต่ศพฟื้นคืนชีพหมายถึงอะไรกัน?
หรือว่าซูย้าวในตอนนั้นตายแล้วเหรอ?!
เธอขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความสงสัย ตลอดทางเดินนับว่าค่อนข้างราบรื่นไม่มีใครเข้ามาขัดขวาง ลิฟต์ขึ้นมาถึงชั้นบนสุดและทันทีที่เธอกำลังจะก้าวออกไปจากประตูลิฟต์ เธอก็ได้พบเข้ากับหวางอี้ที่กำลังจะเลิกงาน
เมื่อหวางอี้พบเธอก็รีบโค้งตัวลงและพยักหน้า “คุณอานครับ”
จากนั้นดูเหมือนซูย้าวไม่ต้องพูดอะไรมาก ชายหนุ่มก็ชี้ไปทางห้องทำงานของประธานพูดว่า “ท่านประธานลี่ยังอยู่ที่ห้องทำงานครับ”
เธอจึงพยักหน้าเบาๆแล้วเดินตรงไป
“ก๊อกๆๆๆ!” เสียงเคาะประตูดังขึ้น ด้านในมีเสียงของชายหนุ่มที่ดูเหมือนมีพลังแม่เหล็กพูดออกมาว่า “เชิญ”
ซูย้าวจึงผลักประตูห้องเข้าไป นี่คือครั้งแรกที่เธอมายังห้องทำงานของเขา โทนสีและเลย์เอาท์ในการตกแต่งดูเรียบง่ายไม่ได้ น่าดึงดูดอะไร แต่เมื่อพิจารณามองดูดีๆ ก็รู้สึกถึงความแปลกใหม่ ดูมีความสมบูรณ์แบบ เป็นเอกลักษณ์ สะท้อนให้ถึงอารมณ์ของชายหนุ่มผู้นี้ได้เป็นอย่างดี
สายตาของเธอกวาดมองไปยังรอบห้องทำงานขนาดใหญ่ จากนั้นจึงมาจบลงที่ชายหนุ่มซึ่งนั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะทำงาน
เนื่องจากลี่เฉินซียังคงยุ่งอยู่กับงานเขาจึงไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา ท่าทางโดดเด่นมีสไตล์เช่นนั้น ไม่ว่าจะเป็นเวลาไหนก็สามารถทำให้ สายตาของผู้คนเปล่งประกายทุกเมื่อ ดูเหมือนวันเวลาจะไม่ทิ้งร่องรอยใดๆบนใบหน้าเขาไว้เลย ถึงตอนนี้ เขาจะอายุสามสิบกว่าปีแล้วแต่ก็ยังคงดูหล่อเหลาดังเดิม ไม่ต่างไปกับไอดอลในทีวีเหล่านั้นแม้แต่น้อย
ผู้ชายคนนี้สามารถใช้หน้าตาทำมาหากินได้เลยทีเดียว แต่เขากลับเลือกพรสวรรค์และความแข็งแกร่ง ทำให้คนทั่วไปยากจะเข้าใจได้
ส่วนด้านของซูย้าวก็ไม่ได้อ้อมค้อมใดๆ เธอเดินตรงไปที่โซฟาแล้วนั่งลง สายตามองไปที่โต๊ะทำงานอีกครั้ง ดูเหมือนชายหนุ่มจะยังไม่สนใจเธอดังเดิมและก้มหน้าก้มตายุ่งอยู่กับงาน ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองเธอด้วยซ้ำ
เธอมีความรู้สึกเหมือนกับถูกทิ้งไว้กลางแดด แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็เป็นตัวเธอเองนี่ที่หน้าด้านหน้าทนมาหาเขาเอง ดังนั้นเธอจึงทำได้เพียงนั่งรออย่างอดทน จนกระทั่งเขาจัดการธุระเสร็จแล้วค่อยสนทนากัน
แต่สิ่งที่เธอคิดไม่ถึงก็คือ การที่เธอตัดสินใจรอในครั้งนี้เธอต้องรออยู่ถึงสองชั่วโมงเต็ม!
แรกเริ่มซูย้าวรู้สึกน่าเบื่อ จริงได้หยิบนิตยสารบนโต๊ะน้ำชาขึ้นมาเปิดอ่าน ต่อมาเธอก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาอ่าน แต่ยิ่งอ่านก็ยิ่งโมโห เนื่องจากบนอินเทอร์เน็ตนั้นเธอถูกโจมตีด่าทอ หรือกล่าวได้ว่าถูกล่วงละเมิดทางวาจา ดังนั้นเธอจึงได้เก็บโทรศัพท์ลง นำมือข้างหนึ่งเท้าคางแล้วหลับตาลงเพื่อพักผ่อน
อาจเป็นเพราะหลายวันมานี้เธอทำงานหามรุ่งหามค่ำจนทำให้ไม่ได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ ร่างกายเหนื่อยล้าเกินไป จนกระทั่งผล็อยหลับด้วยความงัวเงีย
เมื่อตอนที่เธอตื่นขึ้นมา หรืออันที่จริงพูดให้ถูกก็คือเธอถูกปลุกจากการเคลื่อนไหวบางอย่าง เมื่อลืมตาขึ้นเธอก็พบว่าลี่เฉินซีอยู่ใกล้ๆเธอ ในมือของเขามีเสื้อคลุมตัวใหญ่กำลังคลุมให้เธอ
ความง่วงของซูย้าวหายไปเป็นปลิดทิ้ง เธอยกมือขึ้นมาขยี้ตาตัวเอง จากนั้นความอับอายเขินก็ตามมา
เธอทำอะไรไม่ถูกได้แต่นำมือขึ้นสางผมยาวสลวย แล้วพูดออกมาอย่างตะกุกตะกักว่า “คุณจัดการธุระเสร็จแล้วหรือคะ?”
ลี่เฉินซีมองดูเธอด้วยสายตาลึกล้ำ “ง่วงเหรอ?”
เมื่อเขาพูดจบ ก็ได้พิจารณาไปยังใบหน้าของเธออย่างละเอียดแล้วพูดต่อไปว่า “ไม่ได้นอนมากี่วันแล้ว?”
เธอพูดออกมาอย่างไม่แยแสว่า “อืม ฉันไม่เป็นไรหรอก”
“ชอบตาดำๆอย่างกับหมีแพนด้า” ชายหนุ่มเอื้อมมือไปสัมผัสแก้มของเธอเบาๆ ลูบไล้ไปบริเวณใต้เปลือกตา “ทำไมไม่นอนยุ่งขนาดนั้นเลยเหรอ?”
เธอยิ่งรู้สึกทำอะไรไม่ถูก
ความเอาใจใส่และเป็นห่วงที่ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน มักทำให้เธอไม่ทันป้องกันตนเอง
เดิมทีเธอพยายามจะหาหัวข้ออื่นขึ้นมาสนทนา แต่จู่ๆก็ได้ยินลี่เฉินซีพูดขึ้นว่า “ทำไมถึงมาโดยไม่ได้นัดไว้ล่ะครับ? กังวลว่าผมปฏิเสธคุณไปแล้วจะไปเดทกับคนอื่น?”
ราวกับว่าความคิดในใจของเธอถูกเปิดเผยออกมา วินาทีนั้นสีหน้าของซูย้าวก็เปลี่ยนไปเป็นซับซ้อน ความอับอายของเธอถึงขีดสุด จึงรีบก้มหน้าลงแล้วกระซิบแก้ตัวออกมาว่า “เปล่านี่คะ ฉันก็แค่บังเอิญผ่านมา เท่านั้นเอง……”
มุมปากของลี่เฉินซีเผยอขึ้นด้วยความสนใจ จากนั้นเขาก็พยักหน้าเบาๆพูดว่า “อ๋อ แบบนี้นี่เอง”
จากนั้นซูย้าวก็ก้มหน้าลงอย่างให้ความร่วมมือ “ก็ใช่น่ะสิคะ แต่ดูเหมือนว่าคุณยังยุ่งอยู่ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวก่อน!”
เมื่อเธอพูดจบก็ลุกขึ้นและจะเดินไปหยิบกระเป๋าเพื่อออกจากห้องไป แต่ข้อมือของเธอกลับถูกชายหนุ่มเข้ามาคว้าเอาไว้ ลี่เฉินซีก้าวไปข้างหน้าไม่เพียงแต่สกัดกั้นกิริยาของเธอ อีกทั้งยังใช้แขนอันเรียวยาวโอบเอวเธอกลับมากดเธอไว้บนโซฟาแล้วพูดว่า “กว่าคุณจะเป็นคนเริ่มเข้าหาผมก่อนไม่ใช่เรื่องง่าย อะไรก็ยังไม่ได้ทำคิดว่าผมจะปล่อยคุณไปเหรอ?”
ซูย้าวตกอกตกใจ ท่าทางของเธอดูเป็นกังวล ทำไมจู่ๆจึงกลายเป็นว่าเธอมาเข้าหาเขาด้วยตนเองถึงที่ได้ล่ะ?!
เดิมที่เธอต้องการจะหักล้าง แต่กลับถูกมือใหญ่ของเขากดเอาไว้ที่ไหล่อย่างแน่นหนา จึงทำให้เธอไม่อาจหนีไปได้พ้น เธอไม่อาจขยับเขยื้อนได้เลย จึงได้เงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วถามว่า “คุณอยากจะทำอะไร?”
ลี่เฉินซีหรี่ตาลงมองมาที่เธอ “เรื่องที่ผมอยากทำมากมายไปหมด คุณจะให้ความร่วมมือหรือเปล่า?”
“คุณ……” เธอสูดหายใจเข้าอย่างช่วยไม่ได้
ลี่เฉินซีมองเห็นความเขินอายจากแววตาของเธอที่ซ่อนเอาไว้จึงไม่อยากจะแกล้งเธออีกต่อไป เขาคลายพลังจากข้อมือออก จากนั้น จูงมือเธอพูดว่า “จะทานข้าวไม่ใช่เหรอครับ อยากทานอะไรดีล่ะ?”
ดวงตาของซูย้าวกะพริบขึ้น ที่จริงแล้วการที่เธอนัดเขากินข้าวเพียงแค่ต้องการใช้ประโยชน์จากช่วงเวลารับประทานอาหาร ถามคำถามที่เกี่ยวกับโครงการกู่อานเท่านั้น
เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะกินอะไรก็ไม่สำคัญ เธอเพียงแค่พูดออกไปอย่างนั้นเอง “กินอะไรก็ได้ค่ะคุณเป็นคนตัดสินใจเลยแล้วกัน”
ลี่เฉินซีจูงมือเธอออกไปทางด้านนอก อีกมือหนึ่งก็เอื้อมไปหยิบเสื้อคลุมตัวยาวที่วางอยู่บนโซฟา เขามองเธอด้วยสายตาลึกล้ำแล้วถามว่า “คุณจะเลี้ยงข้าวใครสักคน ทำไมถึงไม่พิถีพิถันเลยล่ะครับ? คุณอานปฏิบัติกับคนอื่นแบบนี้เหมือนกันหรือเปล่า?”
ประโยคนี้ทำให้ซูย้าวพูดไม่ออก
จะให้เธอบอกออกไปว่า เขาแตกต่างไปจากคนอื่นอย่างงั้นเหรอ?
ซูย้าวได้แต่ขมวดคิ้วอย่างช่วยไม่ได้และเดินตามเขาออกไปด้านนอกพูดขึ้นว่า “งั้นกินอาหารพื้นบ้านก็ได้ค่ะ!”
ลี่เฉินซีลังเลอยู่สักพักก่อนจะหันมามองดูเธออีกครั้ง แววตาอันบูดบึ้งของเขาดูลึกล้ำขึ้นมาทันใด “ผมรู้จักร้านอาหารร้านหนึ่ง รสชาติไม่เลวเลยผมจะพาคุณไปลองชิมนะ”
ซูย้าวไม่ได้คิดมาก และเดินลงจากอาคารไปพร้อมเขา หลังจากขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว เธอก็ปล่อยให้เขาขับรถไปตามอำเภอใจ ในสมองของเธอมีแต่ความคิดที่ว่าอีกเดี๋ยวตอนกินข้าวกันเธอจะถามเกี่ยวกับเรื่องโครงการกู่อานกับเขาอย่างไร
ในวงการธุรกิจนั้น ลี่เฉินซีนับว่าเป็นทหารผ่านศึกอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์กลยุทธ์หรือเรื่องอื่นๆ อานเจียเย้นเย็นกับเขาไม่แตกต่างกันเท่าไหร่
แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือบริษัทที่ดำเนินกิจการโดยบริษัทลี่ซื่อ มุ่งเป้าหมายไปที่ตลาดภายในประเทศ เมื่อเปรียบเทียบกับอานเจียเย้นแล้ว เขารู้จักแนวโน้มในประเทศเป็นอย่างดี ส่วนเรื่องความคิดเห็นจากสาธารณชนภายนอกนั้นคาดว่าเขาก็มีมาตรการและวิธีการรับมือได้อย่างดีด้วยสินะ!
หากว่าสามารถให้เขาทำให้เขาพูดอะไรหลุดปากออกมาได้ คิดว่าเรื่องนี้ก็คงไม่ใช่เรื่องยากที่จะแก้ปัญหา
ซูย้าวได้แต่ครุ่นคิดอยู่ตลอดทาง ตอนที่เธอได้สติกลับคืนมานั้นก็พบว่ารถได้จอดลงแล้ว
เมื่อเธอมองดูดีๆก็พบคฤหาสน์หลังหนึ่งท่ามกลางความมืดมน เธอรู้สึกประหลาดใจมาก เมื่อมองออกไปรอบๆทั้งสี่ทิศก็เห็นได้ชัดว่านี่เป็นคฤหาสน์ ไม่ใช่ร้านอาหาร!
ลี่เฉินซีลงจากรถก่อนแล้วเดินอ้อมมาเปิดประตูฝั่งข้างคนขับให้แก่เธอ จากนั้นยื่นมือออกไปพูดว่า “ลงรถ”
ซูย้าวดูท่าทางกระสับกระส่าย เธอค่อยๆก้าวขาลงจากรถแล้วมองไปยังคฤหาสน์สีขาวหลังนั้นก่อนจะเอ่ยถามขึ้นว่า “คุณลี่คะ คุณแน่ใจว่านี่คือร้านอาหาร?”
ชายหนุ่มเผยอริมฝีปากขึ้นแล้วตอบว่า “สำหรับคุณแล้ว นี่เป็นร้านอาหารส่วนตัวที่สะดวกที่สุด”
“คะ?” แววตาของซูย้าวเต็มไปด้วยความสงสัย
ชายหนุ่มไม่ได้สนใจกับท่าทางของเธอเหล่านี้ ได้แต่เดินจูงมือเธอและก้าวเข้าไปในคฤหาสน์อย่างรวดเร็ว เมื่อประตูถูกเปิดออก ก็พบกับพี่เลี้ยงเด็กที่เดินตรงเข้ามาต้อนรับทั้งสองคน เธออดไม่ได้ที่จะชะงักและเอ่ยถามขึ้นว่า “นายท่าน ผู้นี้คือ……”
“คุณผู้หญิง” ลี่เฉินซีให้คำตอบขึ้นในทันควันโดยไม่สนใจความสับสนและซับซ้อนของซูย้าวแต่อย่างใด
แต่สิ่งที่ทำให้เธอไม่อาจควบคุมสติตัวเองเอาไว้ได้ก็คือ วินาทีนั้นมีร่างเล็กๆสองคนพุ่งเข้ามายังเธอด้วยความรวดเร็วอีกทั้งยังตะโกนขึ้นว่า “คุณแม่!”
“แม่คะ ในที่สุดก็กลับมาแล้ว!”