เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - บทที่ 639 เจอโดยบังเอิญ
คำพูดที่นุ่มนวลของเขา เต็มไปด้วยความกังวล แต่ช่างเข้ากับใบหน้าที่เคร่งขรึมและดวงตาสีเข้มของเขา ทำให้ทุกอย่างกลายเป็นยากที่จะต้านทานได้
ซูย้าวหดร่างเล็กๆ อย่างทำอะไรไม่ได้ อยากจะปล่อยวางความรู้สึกมีตัวตนให้มากที่สุด
ตอนนี้ร่างกายของเธอไม่เหมาะ ปวดท้องยากที่จะทนไหว ไร้เรี่ยวแรงใดๆ ที่จะต่อต้านเขาอย่างแท้จริง ได้เพียงปล่อยให้เขากอดตนอยู่แบบนี้ ลูบคลำท้อง
แต่กระนั้น ไม่รู้ว่ายาออกฤทธิ์ หรือว่าเธอเพลียแล้วจริงๆ ท่ามกลางความไม่รู้เนื้อรู้ตัว ก็ปิดตาลงแล้วหลับไป
ค่ำคืนอันยาวนาน พริบตาเดียวก็ผ่านพ้นไป
ค่ำคืนไร้ความฝันที่หาได้ยาก หลับสนิทจนกระทั่งฟ้าสาง เมื่อเธอลืมตาขึ้น สติสัมปชัญญะในสมองก็ค่อยๆ รวมตัวกัน รีบลุกขึ้นโดนไม่รู้ตัว เห็นว่าข้างกายว่างเปล่าไร้คนอยู่นานแล้ว ใจที่แขวนไว้สูง ถึงคลายลงเล็กน้อย
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ทุกครั้งที่อยู่กับเขาตามลำพัง เธอมักจะมีความรู้สึกที่ซับซ้อนอย่างประหลาด
ผู้ชายอย่างลี่เฉินซี เขายอดเยี่ยมเกินไป และมีความดำรงอยู่ที่แข็งแกร่งมาก แม้ว่าเขาจะไม่ได้ทำอะไรเลย แต่ก็ให้ความรู้สึกที่ทำให้คนอยากที่จะสนใจและพยายามที่จะไล่ตามอยู่ตลอดเวลา
ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่เธอจะสับสนมาก รู้ทั้งรู้ว่าเขาอันตรายมาก ตัวเองควรจะอยู่ให้ห่าง แต่กลับถูกเขายุแหย่เป็นระยะๆ ทำให้ใจเธอแทบจะว้าวุ่น…..
ความคิดเธอขึ้นๆ ลงๆ สติล่องลอย แม้กระทั่งประตูห้องถูกคนผลักออกเมื่อไหร่ ก็ยังไม่รู้เรื่อง จนเมื่อชายหนุ่มเดินเข้ามาใกล้ๆ ตัว โน้มตัวใช้มือข้างหนึ่งดึงแก้มเธอขึ้นมา ถึงสะดุ้งด้วยความตกใจ
“คิดถึงฉันอยู่เหรอ?” น้ำเสียงที่แผ่วเบาของเขา ดึงดูดเผยความมีเสน่ห์ยิ่งขึ้น
ซูย้าวตกใจอย่างควบคุมไม่ได้ ผู้ชายคนนี้กลายเป็นพยาธิตัวกลมในท้องเธอไปแล้วเหรอ?!
ชายหนุ่มยิ้ม นิ้วมือแข็งกระด้างลูบไล้แก้มของเธอ “หน้าแดงนี่ เป็นไข้เหรอ?”
ขณะที่พูด เขาก็ยื่นมือออกไปอังหน้าผากเธอ ลองวัดอุณหภูมิ ไม่รอให้เขาได้ผลลัพธ์ ซูย้าวก็รีบผลักเขาออก “เปล่า ฉันไม่ได้ไข้ขึ้น!”
ลี่เฉินซีพยักหน้าเบาๆ ยังคงเผยรอยยิ้มในแววตา “ถ้างั้นก็เงี่ยน”
“นาย…..” เธอกัดปากอย่างทำอะไรไม่ได้ โดนเขาทำให้โกรธจนพูดอะไรไม่ออก
แต่ใบหน้าที่หล่อเหลาของลี่เฉินซีกวาดมาเป็นระลอกคลื่น มือใหญ่แทนที่จะลูบศีรษะของเธอ กลับใช้มือขยี้ผมยาวของเธอ จนยุ่งเล็กน้อย “หรือว่าเมื่อคืนป่วยแล้วเป็นเด็กดีขึ้นมา ปล่อยให้ฉันกอดจูบ……”
“นายพูดอะไร?” ซูย้าวถามกลับด้วยเสียงน่าเกรงขาม
ลี่เฉินซีกลับไม่สนสถานการณ์ของเธอ เพียงแค่นิ่งเงียบไม่สะทกสะท้าน ในตอนที่หันตัวเดินไปด้านนอก ก็ทิ้งไว้หนึ่งประโยค “ล้างเนื้อล้างตัว แล้วลงไปกินข้าวชั้นล่าง!”
มองดูแผ่นหลังที่จากไปของชายหนุ่ม สูงใหญ่และเหยียดตรง ความคิดของซูย้าวขึ้นๆ ลงๆ อย่างอธิบายไม่ได้ เป็นเช่นนั้นจริงๆ ทุกนาทีทุกวินาทีที่อยู่กับเขา ล้วนแต่อันตรายทั้งนั้น!
เธอครุ่นคิดเล็กน้อย รีบกำจัดผู้ชายคนนี้ให้เร็วที่สุดดีกว่า!
ตอนที่ซูย้าวอาบน้ำเสร็จแล้วลงมาข้างล่าง ลี่เจิ้งก็จะไปเข้าเรียนพอดี ออกมาจากห้องอาหาร เหลือบตามองเธอบางๆ ตอนที่เดินผ่านตัวเธอ เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “นี่ ร่างกายดีขึ้นหรือยัง?”
เธอชะงัก รู้สึกไม่ตอบสนองเล็กน้อย “หืม?”
ลี่เจิ้งกระแอมในลำคอ ใบหน้าเกร็งตึง ถามขึ้นอีกครั้ง “ยังปวดท้องอยู่ไหม?”
ซูย้าวถึงได้สติ เพียงแต่ เรื่องที่เธอปวดท้อง เหมือนจะไม่เคยบอกใครเลยนะ! ต้องเป็นตาลี่เฉินซีปากเปราะแน่ๆ ……
เธอสูดหายใจเข้าลึก พยายามฉีกยิ้มที่อ่อนโยนให้เด็กน้อยอย่างเต็มที่ “ดีขึ้นมากแล้ว ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ จะไปเข้าเรียนเหรอ? ตั้งใจเรียนนะ!”
ลี่เจิ้งมองเธออย่างทำอะไรไม่ได้ ไม่ได้พูดอะไร แล้วเดินตามแม่บ้านไปที่โถงทางเดิน
เพราะว่าลี่เจิ้งโตกว่าเด็กอีกสองคนไม่กี่ปี บวกเข้ากับเดิมทีเขาก็ฉลาดและมีไอคิวสูง ดังนั้นจึงข้ามไปเรียนชั้นป.5แล้ว ไม่นานก็จะเข้าเรียนมัธยมต้น ในเรื่องการเรียน เป็นธรรมดาที่จะค่อนข้างยุ่ง แล้วยังต้องตื่นแต่เช้าทบทวนบทเรียนด้วยตัวเอง
ซูย้าวยืนส่งลี่เจิ้ง แล้วก็เข้าไปในห้องอาหาร ลี่เฉินซีกับเด็กทั้งสองกำลังทานอาหาร เรื่องมารยาทการไม่พูดคุยบนโต๊ะอาหาร ได้รีบการสืบทอดกันมาในตระกูลลี่อย่างเต็มที่
ดวงตากลมโตสวยของเด็กทั้งสอง มองปริบๆ มาที่เธอไม่หยุด แต่ก็ยังเกรงกลัวใบหน้าเข้มงวดของพ่อที่อยู่ด้านข้าง จึงไม่กล้าพูดอะไร
ซูย้าวเองก็มีความสุข นั่งลงทานอาหารเงียบๆ
หลังจากกินข้าวง่ายๆ แล้ว เด็กทั้งสองก็ถึงเวลาเข้าเรียนเช่นกัน ซีซีกับลี่หมิงแยกย้ายกันไปสะพายกระเป๋าหนังสือ กระโดดโลดเต้นล้อมรอบซูย้าว “คุณแม่ วันนี้พวกเรามีเทศกาลศิลปะ ผู้ปกครองสามารถเข้าร่วมได้ คุณแม่ก็จะมา ใช่ไหม?”
“เอ่อ……” ซูย้าวหน้าแข็งทื่อด้วยความลำบากใจ คุกเข่าลงตรงหน้าเด็กทั้งสอง “เทศกาลศิลปะเหรอ! แล้วพวกหนูมีโปรแกรมอะไรบ้างล่ะ?”
ลี่หมิงคว้าแขนของเธอ “คุณแม่ไปก็จะรู้เองไม่ใช่เหรอ? ไปเถอะ ไปนะ……”
ซีซีเองก็คว้าแขนอีกข้างของเธอ ออดอ้อนเป็นเด็กไม่หยุด
ซูย้าวถูกเด็กสองคนนี้ออดอ้อนจนไร้หนทาง แต่ก็ไม่ได้ตอบตกลง เพียงแค่พูดว่า “ซีซีจ้ะ เมื่อวานนี้น้าช่วยหนูเตรียมชุดออกงานไปแล้ว แล้วยังมีชุดครอบครัวอีก ถึงตอนนั้นซีซีต้องใส่ชุดนั้นกับคุณพ่อนะ!”
ซีซีกลับรู้สึกผิดหวัง “ไม่ได้เตรียมของคุณแม่ไว้เหรอคะ?”
“คือว่า…..” ซูย้าวพยายามเค้นสมองคิด เธอจำได้ว่าตนเองเตรียมไว้หลายชุด เพราะไม่ค่อยแน่ใจไซส์ของลี่เฉินซี จึงรีบพูดขึ้น “น้าเตรียมไว้หลายชุดเลย! หนูกับคุณพ่อเลือกใส่ได้ตามสบายเลยจ่ะ!”
พูดจบ เธอก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่ชายหนุ่มที่อยู่ไม่ไกลด้วยความกระฉับกระเฉง ในสมองจินตนาการภาพเขาสวมใส่ชุดครอบครัวนั้น คาดว่าคงจะ…..ทำให้บรรยากาศคึกคักทีเดียว!
ถ้ามีคนสามารถถ่ายรูปไว้ได้ แล้วโพสลงบนอินเตอร์เน็ต จะต้องได้รับความนิยมมากแน่นอน!
เธอเกลี้ยเกล่อมเด็กทั้งสองคนขึ้นรถไปอย่างเอาใจใส่ มองส่งรถของพวกเขาห่างออกไปเรื่อยๆ ในสมองของซูย้าวยังคงหมกมุ่นเรื่องชุดครอบครัว ทันใดนั้นก็มีแรงบางอย่างมาจากด้านข้าง ทำให้เธอตกใจ
“อ้ะ!” ซูย้าวร้องอุทาน แต่เมื่อได้สติกลับมา ก็สายไปแล้ว
เพราะว่าชายหนุ่มอุ้มเธอโดยตรง เดินตรงไปที่รถมายบัคในลานบ้าน หวางอี้ได้เปิดประตูรถด้านหลังไว้แล้ว ดูแลทั้งสองขึ้นรถด้วยความเคารพ
ซูย้าวขัดขืน หยุดอยู่ข้างรถไม่ยอมขึ้นรถ มองกลับมาที่ชายหนุ่มด้านข้าง “นี่จะทำอะไร?”
“พาเธอไปที่ที่หนึ่ง” เขาพูดนิ่งๆ พูดจบก็เดินผ่านเธอไป ขึ้นรถจากอีกฝั่งหนึ่ง
เธอผงะ มองดูชายหนุ่มที่ขึ้นรถไปแล้ว งุนงงเล็กน้อย พูดเพียงแค่ “คือวันนี้ฉันยังมีธุระอื่นอีก เพราะงั้นคุณลี่ ครั้งหน้านะ!”
ชายหนุ่มกลับไม่บังคับ เพียงแค่ขยับปากบางเล็กน้อย แล้วพูดขึ้นอีก “ก็ดี”
สิ้นคำพูดเขา หวางอี้ก็ไม่รอเธออีกต่อไป เข้าไปนั่งตำแหน่งคนขับ แล้วสตาร์ทรถขับออกจากคฤหาสน์ไป
ทิ้งซูย้าวที่ยืนนิ่งเงียบอยู่กับที่ นิ่งอยู่หลายวินาที ก็หันตัวไปขึ้นรถของตัวเอง ออกจากที่นี่ไป
ช่องว่างระหว่างกันไม่มากนัก รถทั้งสองขับออกจากคฤหาสน์ทีละคัน คันหนึ่งไปทางทิศใต้ อีกคันไปทางทิศเหนือ แยกย้ายกันไปคนละทาง
ซูย้าวขับตรงไปที่เขตถนนกู่อาน ยังมีงานอีกมากมายที่ต้องทำ อย่างเช่นพวกบ้านตะปูที่ทำให้เธอปวดหัว แล้วยังครอบครัวของผู้บาดเจ็บที่ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุครั้งก่อน แต่ล่ะเรื่อง ล้วนแต่รับมือได้ยาก
เธอไม่ได้ขับตรงไปที่ตึกสำนักงานชั่วคราว แต่ขับรถไปตามถนนในพื้นที่ถนนกู่อานช้าๆ อย่างไร้จุดหมาย
มองดูพื้นที่ส่วนใหญ่ที่ถูกรื้อถอนไปแล้ว ตึกสูงใหญ่ก่อนหน้านี้ ตอนนี้พังทลายกลายเป็นเศษอิฐ รั้วสีฟ้าและป้ายบอกเขตก่อสร้างได้ถูกสร้างขึ้นรอบๆ แต่กลับยังมีบ้านเรือนหลายสิบหลัง อยู่กระจัดกระจายกันไป
แล้วยังมีบ้านที่มีความพิเศษ ปักธงสีแดงไว้บนชั้นสองของอาคารหลังเล็ก ธงโบกสะบัดตามสายลม รอบด้านยังใช้ยามรูปร่างมนุษย์ที่แกะสลักด้วยหิน มองมาจากที่ไกลๆ ก็นับว่าวิจิตรงดงามทีเดียว
ที่สำคัญที่สุดคือ ครอบครัวนี้ถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพังในตัวเมืองที่รกร้างแห่งนี้ โดยมีเฉลียงและสนามหญ้า ทุ่งเพาะปลูกขนาดเล็ก และผักเขียวชอุ่ม
ซูย้าวมองผ่านหน้าต่างรถ ค่อยๆ ลดความเร็วรถลง มิน่าคนเหล่านี้ถึงไม่ยอมย้ายออก ราวกับมีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจเล็กน้อย
แต่ในขณะที่เธอกำลังเฝ้ามอง ก็บังเอิญไปเห็นเงารถที่อยู่ไม่ไกล ตัวรถที่คุ้นตากับป้ายทะเบียนรถ ทำให้ดวงตาของเธอจมดิ่งทันที
นั่นมัน…..รถของลี่เฉินซี เขาก็มาที่นี่?