เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - บทที่ 649 เขาว่ายังไงบ้าง
เบาะหลังของรถมายบัค เด็กๆเอียงศีรษะแล้วมองไปทางซูย้าวที่อยู่ไกลออกไป จนกระทั่งเห็นเธอโบกรถแท็กซี่ ขึ้นรถแล่นออกไปแล้ว ก็ยังมองอยู่อย่างนั้น
นานพอสมควร ซีซียู่ปากอย่างไม่พอใจ มองลี่เฉินซีที่เข้ามานั่งในรถ “คุณพ่อคะ ทำไมถึงให้แม่ไป? พวกเราควรกลับบ้านด้วยกันสิ!”
“นั่นสิครับ กลับไปกินอะไรอร่อยๆด้วยกัน” ลี่หมิงเองก็ไม่ค่อยพอใจ ก้มศีรษะน้อยๆลง
แม้ลี่เจิ้งจะไม่ได้พูดอะไร แต่ในตาขุ่นมัวคู่นั้นยังคงจับจ้องไปที่ลี่เฉินซี มุมสายตาแสดงความไม่พอใจเล็กน้อย เห็นได้ชัดเจนมาก
ลี่เฉินซีมองดูลูกๆ ยกยิ้มมุมปากอย่างไร้สาเหตุ ยื่นแขนไปกอดลูกสาว “แม่เองก็มีเรื่องที่ต้องทำเหมือนกัน เธอเองก็ยุ่ง รอทำธุระเสร็จ แน่นอนว่าจะต้องกลับมา”
“เมื่อก่อนไม่ว่าแม่จะยุ่งแค่ไหน ก็ไม่เคยทิ้งหนู!”ซีซียังคงไม่พอใจเล็กน้อย
ลี่หมิงเองก็พูดอยู่ข้างๆ “แม่เพิ่งจะกลับมา ถ้าอยู่กับพวกเราบ่อยๆจะดีแค่ไหนกัน……”
ชายหนุ่มยิ้มโดยไม่พูดอะไร มองไปที่หวางอี้ ส่งสัญญาณให้เขาออกรถ จากนั้นสายตานิ่งลึกคู่นั้นก็หันออกไปมองนอกหน้าต่าง มือเรียวยาวราวกับหยกของเขาเคาะเบาะที่นั่งอย่างสบายๆ เหมือนว่ากำลังคิดอะไรอยู่ และก็เหมือนว่าจะไม่ได้คิดอะไร
……
ซูย้าวนั่งอยู่บนแท็กซี่ จุดหมายเดิมคือโรงแรม จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นเขตเมืองถนนกู่อาน แต่สุดท้ายเมื่อสังเกตเห็นว่าเป็นเวลาพลบค่ำแล้ว เธอจึงยกเลิกความคิดก่อนหน้านี้
ยังไงซะ ก็ถึงเวลาเลิกงานแล้ว
พอดีกับที่รถขับผ่านอาคารริมถนน เธอบังเอิญมาถึงคลับเฮาส์ส่วนตัวขนาดใหญ่สำหรับผู้หญิง จึงสั่งให้คนขับรถชิดข้างแล้วจอดรถ
นี่เป็นคลับเฮาส์สุขภาพที่ใหญ่มากในเมืองนี้ คนที่มาใช้บริการมีแต่สตรีในสังคมชั้นสูง ให้บริการเฉพาะผู้หญิงเท่านั้น ดังนั้น พนักงานและหมอนวดจึงเป็นผู้หญิงทั้งหมด
ซูย้าวมาที่นี่ครั้งแรก หลังจากเลือกบริการแบบสุ่มๆแล้ว เธอก็เดินตามพนักงานขึ้นไปที่ชั้นบน
ห้องที่เธอเลือกเป็นห้องวีไอพีเดี่ยว อาบน้ำล้างตัวก่อน แล้วจึงค่อยเพลิดเพลินกับการดูแลร่างกาย การนวด และบริการอื่นๆที่หลากหลาย
หลังจากขั้นตอนทั้งหมดสิ้นสุดลง หมอนวดก็ออกจากห้องไปพร้อมกับพนักงานที่เข้ามาเสิร์ฟชาและของว่าง เมื่อเห็นว่าซูย้าวหลับไปแล้วก็เดินออกจากห้องไปเบาๆ
แต่ในขณะที่ประตูปิดลง ซูย้าวก็ลืมตาขึ้น
ขั้นตอนการบริการเมื่อกี้นี้สบายมากจริงๆ ทำให้ร่างกายที่ตึงๆได้ผ่อนคลายลงชั่วขณะหนึ่ง แต่ว่า เธอไม่ถึงขั้นที่จะหลับไปเพราะเหตุนี้
เธอลุกขึ้นสวมชุดคลุมอาบน้ำ เอนกายพิงโซฟา หยิบโทรศัพท์มือถือออกมา เลื่อนขึ้นลงบนหน้าจอสองสามครั้ง หน้าจอปรากฏภาพดำขึ้นมา หลังจากป้อนรหัสผ่าน ก็เข้าสู่ระบบหน้าโปรแกรมอื่น
ซูย้าวคลิกดูจดหมายในกล่องจดหมายและตรวจเช็กข้อความที่ใครบางคนส่งถึงเธอ ดูจนถึงสุดท้าย ดวงตาที่สวยงามก็มีคลื่นเกิดขึ้น
ทันใดนั้น ใบหน้าละเอียดอ่อนสวยงามก็มีสีสันขึ้นมา แต่ก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว แม้แต่นิ้วมือที่ถือโทรศัพท์อยู่ ก็รัดแน่นอย่างควบคุมไม่ได้
ท้ายที่สุด เธอคิดอยู่สักพักหนึ่ง ตอนที่ออกจากระบบ โทรศัพท์ของอาตงก็โทรเข้ามาพอดี
“คุณหนูครับ ทางด้านประธานอานเกิดเรื่องแล้วครับ”เสียงของอาตงดังก้องเข้ามาในหูของเธอ ความหนักแน่นในน้ำเสียง เผยให้เห็นถึงความร้ายแรงของสถานการณ์
บนหน้าของซูย้าวไม่แสดงอาการใดๆ แต่ในตากลับนิ่งลึก ราวกับรู้อยู่แล้วว่าอาตงจะพูดอะไรต่อ แต่เพื่อที่จะปิดบัง จึงถามออกไปว่า”เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“เมื่อคืนนายท่านเสียแล้วครับ”อาตงพูดขึ้นมาง่ายๆ
ซูย้าวเงยหน้าขึ้นพิงโซฟา “แบบนี้หรอกหรอ……”
ระหว่างเธอกับเพ้ยหยู่เจี๋ย ไม่ได้พบปะกันบ่อยมากนัก และก็เคยเห็นหน้าแค่ไม่กี่ครั้ง ดังนั้นจึงไม่ถือว่าคุ้นเคย แม้ในลำดับอาวุโส เธอควรจะเรียกเขาว่าน้าเขย แต่ในความเป็นจริง สายสัมพันธ์ในครอบครัวมีไม่มากนัก
ยิ่งกว่านั้น หากลางสังหรณ์ของเธอไม่ผิด เพ้ยหยู่เจี๋ยตั้งใจคิดร้ายกับเธอหลายต่อหลายครั้ง และยังสั่งคนมาสร้าง’อุบัติเหตุ’ครั้งแล้วครั้งเล่า หลังจากนั้นก็ถูกอานเจียเย้นบรรเทาและหลีกเลี่ยงเรื่องราวอย่างชาญฉลาด เธอถึงได้รอดพ้นจากอันตราย
เพราะฉะนั้น เมื่อได้ยินข่าวการเสียชีวิตของเพ้ยหยู่เจี๋ยในตอนนี้ ไม่ว่าจะพูดจากมุมไหน เธอก็ไม่มีความรู้สึกอะไรเลย ในจุดจุดนี้ ไม่จำเป็นต้องแสร้งทำ และไม่จำเป็นต้องปกปิด
อาตงฟังเสียงของเธอ ลังเลสักพักถึงได้พูดขึ้น”คุณหนู คุณจะกลับไปร่วมงานศพไหม? อีกอย่างทางด้านประธานอาน ในเวลานี้ หากคุณสามารถอยู่เคียงข้างเขา ก็คงจะดีนะครับ!”
ดวงตาของซูย้าวมืดลงอย่างกะทันหัน ถ้าหากเป็นเมื่อก่อน เธอควรจะทำแบบนั้น และไม่ลังเลที่จะไปอยู่เคียงข้างอานเจียเย้น
ถึงแม้เพ้ยหยู่เจี๋ยจะตาย ก็ไม่ได้มีความสำคัญอะไรมากมายกับเธอ แต่สำหรับอานเจียเย้นแล้ว มันสำคัญมาก
ในแง่ของตัวตน อานเจียเย้นเป็นลูกชายบุญธรรมเพียงคนเดียวของเพ้ยหยู่เจี๋ย คนนอกต่างคิดว่าพวกเขาเป็นพ่อลูกกันจริงๆ
พ่อคนนี้เสียชีวิต ลูกชายต้องไว้ทุกข์ เป็นลูกกตัญญูกตเวที ไม่ว่าจะอยู่ในประเทศหรือต่างประเทศ ก็ควรจะไปทำ อีกอย่างตระกูลเพ้ยยังเป็นตระกูลใหญ่ที่สืบทอดมา เรื่องพวกนี้จึงไม่ทำไม่ได้
อีกเรื่องหนึ่ง และเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด เพ้ยหยู่เจี๋ยเสียชีวิต ทุกอย่างที่อยู่ภายใต้ชื่อของเขา ทรัพย์สิน หุ้น อสังหาริมทรัพย์ หรือแม้กระทั่งทุกสิ่งทุกอย่าง จะได้รับการสืบทอดอย่างถูกต้องตามกฎหมายโดนอานเจียเย้น นี่เองก็เป็นเรื่องที่ไม่มีอะไรสามารถมาวิจารณ์ได้
นี่เป็นเหตุผลที่อานเจียเย้นอดทนไม่แก้แค้นแบบตรงๆมาหลายปี
แต่ว่า ในฐานะตระกูลเพ้ยที่เป็นครอบครัวใหญ่สืบทอดมาหลายชั่วอายุคน มีญาติพี่น้องมากมาย แบกรับอย่างหนักหนาสาหัส บริษัทเพ้ยซื่อกรุ๊ปในตอนนี้ ก็มีเพ้ยส้าวหลี่เป็นผู้สืบทอด ถ้าอย่างนั้น อานเจียเย้นก็จะประสบพบเจอกับโจทย์ยากและปัญหามากมาย จะเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือด และทุกย่างก้าวในอนาคตจะเต็มไปด้วยอันตราย
ในเวลานี้ ซูย้าวกลับไปเคียงข้างกายของเขา ช่วยเหลือให้คำแนะนำ เป็นสิ่งที่ควรทำจริงๆ
แต่ ท้ายที่สุดเธอก็ลังเล
คิดสักพัก ในสมองเธอก็ปรากฏภาพที่ทั้งสองคนโต้เถียงกันตอนอยู่ที่ยุโรป ถ้าหากตอนนี้เจอกันอีก เธอไม่อาจรับรองได้ว่าเธอจะทำตามคำพูดของเขาเหมือนเมื่อก่อนหรือเปล่า
ความเงียบเพียงช่วงสั้นๆ สำหรับอาตงแล้วเป็นเหมือนเวลานานหลายศตวรรษ ในที่สุดก็ดูเหมือนว่าเขาจะรอต่อไปไม่ไหว ถามหยั่งเชิงว่า”คุณหนู? คุณไม่อยากกลับไปเหรอครับ?”
ซูย้าวถอนหายใจเบาๆ เงยหน้าแล้วหลับตาลง “เขาว่ายังไงบ้าง?”
‘เขา’ที่เธอพูดถึง หมายถึงใคร อาตงรู้ดี เขาคิดสักพัก”ทางด้านประธานอานไม่ได้มีข้อความอะไรมาครับ……”
“จริงเหรอ?”ซูย้าวตอบสนองเล็กน้อย ข้อสงสัยของเธอชัดเจนอยู่แล้ว
อาตงรู้สึกว่าไม่สามารถปิดบังต่อไปได้อีก จึงรีบพูดขึ้นว่า “ประธานอานตั้งใจไม่ให้พวกผมบอกเรื่องนี้กับคุณ แต่ผมรู้สึกว่าปิดบังคุณไม่ค่อยดีเท่าไหร่ อีกอย่างในช่วงเวลาแบบนี้ หากคุณสามารถกลับไปได้ ก็เป็นเรื่องดีต่อประธานอานด้วย”
“ฉันเข้าใจแล้ว”ซูย้าวพูดขึ้นเบาๆ ตัดบทสนทนา วางสายแล้ววางมือถือลง ลุกขึ้นหยิบเสื้อผ้าเข้าไปในห้องเปลี่ยนชุด
ตอนที่ออกจากคลับเฮาส์ เธอเห็นรถแมคลาเรนสีดำจอดอยู่ไกลๆ จากนั้น เมื่อเธอเดินออกไปข้างถนน ประตูรถก็ค่อยๆเปิดออก เพ้ยส้าวหลี่สวมชุดสูทรองเท้าหนัง ปรากฏตัวท่ามกลางหมอกหนา
ยังคงหล่อเหลาเหมือนเดิม ใบหน้าที่สง่างามนั้นอ่อนโยน สวมแว่นขอบบาง ปิดบังความเย็นชาของใบหน้าเขาไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ดูเหมือนสุภาพบุรุษที่ถ่อมตัวคนหนึ่ง
ซูย้าวมองเขา แล้วขมวดคิ้วขึ้น จากนั้นก็ได้ยินชายหนุ่มพูดว่า “ผมมารับคุณ คุณลุงเสียแล้ว”
สำหรับเขาเพ้ยหยู่เจี๋ยเป็นลุง สำหรับซูย้าว เขาเป็นน้าเขย
เธอพยักหน้า “ฉันรู้แล้ว”
เขาเดินอ้อมรถ เปิดประตูด้านที่นั่งคนขับ”รายละเอียดเราค่อยคุยกันระหว่างทาง!ไปสนามบินกันก่อนเถอะ”
ซูย้าวกลับไม่เคลื่อนไหวเลย แม้แต่ลักษณะท่าทางของเธอก็เหมือนถูกแช่แข็งอยู่กับที่ ดวงตาสวยงามนิ่งลึกของเธอขยับเบาๆ ค่อยๆมองไปทางชายหนุ่ม “คุณไปเถอะ ฉันไม่ไป”
สายตาของเพ้ยส้าวหลี่นิ่งลง นิ้วมือที่จับประตูรถอยู่รัดแน่นขึ้น วินาทีต่อมา ‘ปึ่ง’เสียงปิดประตูรถดังขึ้น และก้าวเท้าเดินอ้อมมาอยู่ตรงหน้าเธอ “คุณพูดว่าอะไรนะ?”