เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - บทที่ 661 งานเลี้ยงรวมตัวสตรี
ที่จริงแล้วซูย้าวไม่เพียงแต่มีความมั่นใจสูง อีกทั้งยังเป็นคนขี้ใจร้อนเสียด้วย
เธอนอนโรงพยาบาลเพียงแค่คืนเดียว เช้าวันต่อมาเมื่อเห็นอาหารเช้าที่ลี่เฉินซีวางไว้ให้บนโต๊ะ เธอก็ร้องจะกินซาลาเปาทอดขึ้นมา
เมื่อมองดูสีหน้าอันนิ่งเงียบของชายหนุ่ม เธอจึงได้เอื้อมมือออกไปคว้าแขนของเขาเอาไว้ส่ายไปมา ทำน้ำเสียงออดอ้อนอ่อนหวานว่า “ฉันอยากกินจริงๆนะคะ คุณก็รู้นี้ ก่อนหน้านี้ตอนที่ฉันอยู่ต่างประเทศ ฉันไม่มีโอกาสได้กินอาหารจีนเลย ไม่น่าสงสารเหรอคะ……”
เธอพูดพลางสูดจมูก มองไปแล้วช่างน่าสงสารเหลือเกิน ประกอบกับดวงตาอันแวววาวเป็นประกายกลมโตนั้นไม่ต่างอะไรกับกระต่ายน้อยที่บาดเจ็บเลย ทำให้คนที่พบเห็นรู้สึกเห็นใจยิ่งนัก ต่อให้เป็นลี่เฉินซีเมื่อเห็นเธอในสภาพนี้ก็ไม่อาจต้านทานได้
เขาจึงใช้มือจับไปที่แก้มของเธออย่างอดไม่ได้ “ถ้าทำตัวไม่น่ารักละก็……”
ลี่เฉินซียังไม่ได้พูดต่อ ซูย้าวก็ไม่ให้โอกาสเขาพูดต่อเช่นกัน เธอรีบยกมือขึ้นปิดปากของชายหนุ่มเอาไว้แล้วส่ายหน้าพูดว่า “ไม่แน่นอนค่ะ ฉันแค่อยากกินจริงๆนะ!”
ชายหนุ่มพยักหน้าตอบว่า “ก็ได้ครับ แต่ถ้าผมกลับมาแล้วพบว่าคุณไม่อยู่ละก็ ซู……”
เนื่องจากเขาคุ้นเคยกับการเรียกเธอว่าซูย้าวมากกว่า แต่ก็รีบแก้ไขคำพูดเป็น “อานหว่านชิง เมื่อถึงเวลานั้นที่ผมตามคุณกลับมาได้ละก็ ผมไม่สนใจหรอกนะว่าคุณจะต้องการพักผ่อนหรือไม่ แต่ผมจะจัดการกับคุณทันที!”
ลี่เฉินซีทิ้งท้ายไว้ประโยคหนึ่ง ก่อนจะปล่อยเธอออกจากอ้อมแขนหันหลังเดินไปหยิบเสื้อคลุมเดินออกจากห้องผู้ป่วยไป
ด้านของซูย้าวที่นั่งอยู่บนเตียงรอคอยอย่างสงบ เมื่อแน่ใจว่าชายหนุ่มเดินจากออกไปแล้วเธอจึงได้หยิบเสื้อคลุมและกระเป๋าเดินออกไปเช่นกัน
เธอไม่ได้อยากจะซาลาเปาทอดอะไรนั่นหรอก เพียงแค่อยากจะหาข้ออ้างให้เขาออกไปจากที่นี่เท่านั้น ให้เธอนอนอยู่ที่โรงพยาบาลเฉยๆน่ะหรือ จะเป็นไปได้อย่างไรกัน?
ในเมื่อเธอสัญญาจะรับผิดชอบเรื่องของเจียงจี้ฉีแล้ว เช่นนั้นต่อจากนี้ก่อนที่จะทำการขึ้นศาล เธอยังมีอีกหลายเรื่องทีเดียวที่ต้องจัดการ
ดังนั้น ในขณะที่ลี่เฉินซีเดินออกมาจากร้านขายอาหารเช้า ในมือเขาถือซาลาเปาทอดอยู่กำลังจะก้าวขึ้นรถ โทรศัพท์มือถือก็ได้รับข้อความจากซูย้าวส่งมาว่า “ฉันออกไปจัดการธุระนิดหน่อยนะคะ เดี๋ยวจะรีบกลับมา!”
เพียงประโยคสั้นๆง่ายๆ แต่บ่งบอกถึงความละเลยระดับหนึ่ง
มือที่ลี่เฉินซีหยิบโทรศัพท์มือถือไว้นั้นสั่นคลอน เขารู้อยู่แล้วว่าคงเป็นเช่นนี้ ผู้หญิงคนนี้เปลี่ยนแปลงนิสัยของตัวเองไม่ได้ง่ายๆที่จะมาทำท่าออดอ้อนเขา!
เขาก้าวขึ้นรถ หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพักในที่สุดก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรหาหวางอี้ กำชับว่า “ไปสืบคนที่ชื่ออู๋หยานหน่อย ยิ่งละเอียดยิ่งดี”
แม้ว่ารายงานที่ซูย้าวและอาตงค้นหามานั้นเขาจะเคยเห็นมันมาก่อน แต่เขาก็รู้สึกว่าดูเหมือนจะบกพร่องอะไรบางอย่างไป อีกอย่างเรื่องของเจียงจี้ฉีกับอู๋หยาน ดูเหมือนไม่ได้ง่ายดายเช่นนั้น ในเมื่อซูย้าวยื่นมือเข้าไปจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเอง จะให้เขานั่งดูอยู่ข้างได้อย่างไร
สรุปก็คือผู้หญิงคนนี้ชอบหาเรื่องอยู่เรื่อย ให้เธออยู่เฉยๆสักพัก เดินทางท่องเที่ยวไปกับเขาเพียงไม่กี่วันราวกับจะเป็นจะตายอย่างนั้น!
……
อีกด้านหนึ่ง เมื่อซูย้าวเดินทางออกจากโรงพยาบาลแล้วเธอก็โบกรถแท็กซี่นั่งไปอย่างไร้จุดหมายรอบเมือง ในที่สุดเธอก็เลือกร้านกาแฟที่ค่อนข้างหรูหราถูกตาได้แห่งหนึ่ง
จากนั้นเลือกที่นั่งติดหน้าต่างสั่งกาแฟมาแก้วหนึ่ง หยิบมือถือออกมาติดต่อกับอาตง
เธอเองก็รู้สึกว่าสิ่งที่อาตงสืบมานั้นส่วนที่เกี่ยวข้องกับอู๋หยานน้อยไปหน่อย ไม่เพียงเท่านี้ ยังต้องตรวจสอบข้อมูลเจียงจี้ฉีอย่างละเอียด อีกทั้งตระกูลเจียงกับตระกูลอู๋ทั้งสองด้วย
เนื่องจากทั้งสองตระกูลนี้ล้วนเป็นตระกูลที่มีหน้ามีตา เรื่องพวกนี้ที่เดิมทีสามารถจัดการได้เป็นการส่วนตัว แต่พวกเขากลับนำมาขึ้นโรงขึ้นศาล คาดว่าเรื่องนี้คงไม่ธรรมดาแน่ๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตระกูลอู๋ที่ยอมเอาหน้าของตนเองเข้ามาเสี่ยง ยอมเสียชื่อเสียงของกรุ๊ปอู๋ซื่อ ก็จะต้องทำเรื่องนี้ให้ใหญ่โตขึ้นมาให้ได้ นั่นหมายความว่ามีเรื่องอะไรซ่อนอยู่ในนี้แน่ จะเป็นเรื่องความแค้นส่วนตัว เป็นความผิดใจระหว่างตระกูลหรืออาจจะเป็นเรื่องที่ลึกล้ำมากกว่านี้ เธอจะต้องสืบหาความลับให้กระจ่างแจ้งก่อนจะขึ้นศาลให้ได้
ด้านอาตงเองเมื่อได้รับข้อมูลจากเธอ ก็ส่งคนออกไปเก็บข้อมูลโดยเร็ว จากนั้นส่งข้อมูลทุกอย่างที่ได้มาให้แก่เธอ
ซูย้าวนั่งอยู่ในร้านกาแฟหลายชั่วโมงทีเดียว ในที่สุดเธอก็ได้รับข้อมูลกลับมาแต่ไม่มาก เพราะอย่างไรเสียเนื่องจากมีเวลาเป็นขีดกำหนด เมื่อต้องเผชิญหน้ากับตระกูลเจียงและตระกูลอู๋ทั้งสองตระกูลใหญ่นี้ จะให้ตรวจสอบทุกอย่างออกมาอย่างกระจ่างแจ้งภายในเวลาสั้นๆคงเป็นไปไม่ได้
แต่ว่าด้านของอาตงยังได้อีกข้อมูลหนึ่งมา นั่นก็คืออู๋หยานคุณหนูใหญ่ผู้นี้ เธอมักจะไปเข้าร่วมงานเลี้ยงในทุกๆเดือนเป็นนิสัย
นี่นับว่าเป็นหนึ่งกิจกรรมของเธอ และผู้ที่มาร่วมงานเลี้ยงนี้นับเป็นคุณหนูในตระกูลมั่งคั่งในประเทศ รวมไปถึงบรรดาคุณนายทั้งหลาย เป็นสังคมของสตรีและนับเป็นเครือข่ายทางโซเชียลชนิดหนึ่งไม่ได้แปลกประหลาดอะไร แต่บังเอิญเหลือเกินที่วันจัดงานเลี้ยงประจำเดือนนี้ก็คือวันนี้
ซูย้าวมองดูข้อมูลที่ได้รับมาทางโทรศัพท์และครุ่นคิดพิจารณาอยู่สักพักก่อนจะคิดเงินแล้วเดินออกจากร้านกาแฟไป
เธอหาคลับส่วนตัวในเมืองมาแห่งหนึ่ง จากนั้นเลือกชุดที่ตัดขึ้นพอดีตัวก่อนจะแต่งหน้าอย่างบรรจงแล้วขึ้นรถไปยังสถานที่ที่กำหนดไว้
เนื่องจากสถานที่ในแต่ละครั้งจะถูกเปลี่ยนแปลงไป แต่โดยมากมักจะถูกเลือกในจัดขึ้นในโรงแรมหรู มีสภาพแวดล้อมค่อนข้างดี หรือรีสอร์ตสำหรับพักร้อน ในครั้งนี้ก็เช่นกัน พวกเขาเลือกโรงแรมบ่อน้ำพุร้อนซึ่งอยู่ระหว่างเมืองหลิ่งโจวและเมืองB
บรรยากาศติดภูเขาและลำธาร ได้ยินเสียงนกร้องท่ามกลางดอกไม้นานาพันธุ์ทำให้รู้สึกผ่อนคลายยิ่งนัก
ตอนที่ซูย้าวเดินทางมาถึงก็เป็นเวลาหกโมงเย็นแล้ว โรงแรมถูกเหมาเอาไว้ ดังนั้นพนักงานที่ห้องโถงใหญ่จึงพูดกับเธอด้วยน้ำเสียง สุภาพว่า “ต้องขออภัยด้วย วันนี้ทางโรงแรมไม่เปิดให้ผู้คนภายนอกเข้าพักค่ะ”
เธอรู้ว่าเรื่องราวจะเป็นเช่นนี้จึงได้ยิ้มขึ้นเบาๆแล้วหยิบ บัตรแพลตตินั่มสีดำออกมายื่นให้พนักงาน
เมื่อพนักงานบริการผู้นั้นรับไปดู วินาทีนี้ก็ได้แต่ตกตะลึงหลังจากชะงักอยู่ชั่วครู่จึงรีบกล่าวออกมาว่า “กรุณารอสักครู่ค่ะ” จากนั้นก็เดินเข้าไปเรียกผู้จัดการล็อบบี้มา
ผู้จัดการล็อบบี้มองดูบัตรแพลตตินั่มใบนั้น ดวงตาของเธอก็เบิกกว้าง มองบัตรในมือซ้ำไปซ้ำมาและเงยหน้ามองดูผู้หญิงตรงหน้านี้ท้ายที่สุดแล้วเธอก็ได้แต่ยิ้มแล้วรีบพูดขอโทษว่า “ขออภัยด้วยนะคะ ต้องขออภัยด้วยจริงๆพวกเรามองไม่ออกเอง ที่แท้คือคุณอานนี่เอง เชิญเข้าไปด้านในค่ะ……”
ซูย้าวก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เธอเพียงหยิบบัตรใบนั้นกลับคืนไปแล้วเดินตามผู้จัดการขึ้นไปชั้นบน
บัตรใบนั้นอานเจียเย้นให้เธอไว้ตั้งนานแล้ว
แม้จะเป็นเพียงบัตรใบเล็กๆ แต่ก็สามารถบ่งบอกถึงตัวตนที่ครอบครองธุรกิจมากมายทั่วโลกนี้ได้ อีกทั้งจะได้การปฏิบัติระดับซูเปอร์วีไอพี
แต่อย่างไรเสียซูย้าวก็แทบไม่เคยจะได้ใช้บัตรใบนี้เลย นี่เป็นครั้งแรกและคิดว่าเธอจะใช้เพียงครั้งเดียว
ไม่ใช่เพราะว่าบัตรใบนี้มีอะไรเป็นพิเศษ หรือเมื่อนำออกมาใช้จะมีผลกระทบใดๆ เพียงแต่เมื่อเธอหยิบบัตรใบนี้ออกมาใช้นั่นหมายถึงเธอยอมรับว่ามีความเกี่ยวข้องกันกับตระกูลเพ้ยนั่นเอง
เนื่องจากว่าอานเจียเย้น คือลูกบุญธรรมของเพ้ยหยู่เจี๋ย พวกเขาทั้งสองคนมีอุตสาหกรรมมากมายนับหมื่นชนิด และโดยมากก็อยู่ภายใต้ในชื่อของบริษัทเพ้ยซื่อกรุ๊ป
ผู้จัดการเดินนำเธอมายังห้องวีไอพีชั้นบนสุดด้วยความนอบน้อม ประตูนั้นไม่ได้ปิดสนิทเพียงแค่แง้มเอาไว้เท่านั้น ผู้จัดการยื่นมือ ออกไปตรงประตูจากนั้นโค้งตัวทำท่าเชิญแล้วหยุดอยู่ตรงนั้น
ซูย้าวยื่นมือออกไปผลักเบาๆเสียงดัง “เอี๊ยด” ประตูก็เปิดขึ้น
ห้องวีไอพีอันใหญ่โตนี้ เงียบสงัดลงทันใดเมื่อวินาทีที่ซูย้าวเดินเข้าไป
ด้านในห้องใหญ่โตมาก การประดับตกแต่งหรูหรางดงามเป็นสไตล์ตะวันตก มีหญิงสาววัยรุ่นหลายคนกำลังนั่งอยู่ตรงตำแหน่งของตัวเอง ส่วนตำแหน่งตรงกลางนั่นก็คืออู๋หยานนั่นเอง
แม้ว่าซูย้าวและเธอไม่เคยพบกันมาก่อน แต่ก็เคยเห็นรูปภาพมาไม่น้อยจึงนับว่าจำกันได้ทันทีเมื่อพบหน้า เพียงแต่นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเธอได้พบกัน ท่ามกลางความคลุมเครือแม้จะมองด้วยตาข้างเดียวเธอก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติไป
ส่วนผิดปกติตรงไหนน่ะเหรอ ซูย้าวก็ไม่รู้เหมือนกัน
ผู้จัดการเดินตามหลังเธอมาเอ่ยแนะนำให้กับทุกท่านว่า “คุณหนูและคุณนายทุกท่าน ผู้นี้คือคุณหนูตัวแทนจากบริษัทเพ้ยซื่อกรุ๊ปค่ะ”
เมื่อประโยคนี้ถูกกล่าวออกไป คนสิบกว่าคนที่นั่งอยู่ในนั้นก็ตกตะลึง ทุกคนพากันเหม่อมองและสิ่งที่เข้ามาแทนที่ก็คือเสียงกระซิบกระซาบ
ผู้จัดการโรงแรมและพนักงานได้เดินออกมาจากห้อง ก่อนที่จะจากไปนั้นก็ไม่ลืมที่จะปิดประตูลง