เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - บทที่ 662 คนน่าสงสารมักมีเรื่องที่น่ารังเกียจ
คุณหนูตัวแทน
คำเรียกนี้ดูเหมือนใช้ไม่ค่อยถูกสถานการณ์สักเท่าไหร่
เพราะไม่ว่าจะมองจากมุมไหน ความสัมพันธ์ของซูย้าวและตระกูลเพ้ยก็ไม่สามารถพูดไว้ว่าเธอเป็นตัวแทนคุณหนูเลย และเธอก็ไม่ใช่น้องสาวของเพ้ยส้าวหลี่
หรืออาจกล่าวได้ว่าที่จริงแล้วไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกันเลย และไม่มีความสัมพันธ์กันทางสายเลือดด้วย
แต่คนนอกก็ยังใช้คำนี้เรียกเธอ โดยมีเหตุผลมาจากเพ้ยหยู่เจี๋ยและอานเจียเย้น
พวกผู้หญิงที่นั่งอยู่บนโซฟาแต่ละคนดูท่าทางอ่อนช้อย ใบหน้างดงามดุจดั่งตุ๊กตาปั้น แต่ละคนมองมาทางซูย้าวซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้พวกเธอจะกระซิบกระซาบคุยกันแต่ก็ไม่มีใครกล้าเผชิญหน้ากับเธอตรงๆ สถานการณ์แบบนี้ดำเนินอยู่ประมาณหนึ่งชั่วโมงได้ หนึ่งนาทีได้ จนกระทั่งอู๋หยานที่นั่งอยู่ตรงกลางเอ่ยปากขึ้นพูดว่า “เอ่อ คุณชื่อ……”
เธอลากน้ำเสียงยาว ดวงตาคู่นั้นกะพริบเล็กน้อยแฝงไปด้วยคลื่น ริมฝีปากของเธอปรากฏรอยยิ้มขึ้นเล็กน้อย
ซูย้าวดูไม่ค่อยเข้าใจกับสีหน้าที่ปรากฏของหล่อนตอนนี้สักเท่าไหร่ ไม่แน่ใจว่ารอยยิ้มของเธอหมายความว่าอะไร
จนวันหนึ่งหลังจากนี้นานทีเดียว เธอจึงได้เข้าใจทุกสิ่งอย่าง เมื่อตื่นขึ้นจากภวังค์ ครุ่นคิดอย่างรอบคอบ
“อานหว่านชิงค่ะ” เธอเอ่ยชื่อของตัวเองออกมาอย่างมั่นใจ
อู๋หยานพยักหน้าตอบรับ “อ้อ ที่แท้คือคุณอันนี่เอง”
น้ำเสียงที่ออกมาจากปากของเธอนับว่าค่อนข้างเกรงอกเกรงใจ แต่ดวงตาที่เต็มไปด้วยความหัวเราะเยาะเย้ยและดูถูกกลับไม่เป็นมิตรเท่าไหร่นัก
ซูย้าวไม่ได้ไปสนใจหล่อน จากที่เธอได้ตรวจสอบมา อู๋หยานผู้หญิงคนนี้นิสัยโดยส่วนตัวไม่ได้เป็นคนดีอะไร การที่เธอมีสีหน้าเช่นนี้ก็เป็นเรื่องปกติ
ดังนั้นจึงได้ทำเพียงหลีกเลี่ยงสายตานี้แล้วไปหาที่ว่างข้างๆนั่งลง
ในวงการนี้เธอเป็นสมาชิกใหม่อย่างไม่ต้องสงสัย
เนื่องจากก่อนหน้านี้เธอไม่เคยติดต่อกับทุกคนมาก่อน และไม่เคยเข้าร่วมงานเลี้ยงแบบนี้เลย ดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะกลายเป็นประเด็นในการสนทนาอย่างสนุกสนานของพวกคนเหล่านี้
“อานหว่านชิง ฉันเคยได้ยินชื่อคุณ!” ผู้หญิงคนหนึ่งเบิกตากลมโตกว้างและพูดออกมา เธอนั่งอยู่ตรงข้ามกับซูย้าวและมีเพียงโต๊ะน้ำชากั้นไว้
เมื่อเธอพูดจบคนอื่นๆที่อยู่ด้านข้างก็พูดขึ้นเช่นกันว่า “จะว่าไปก็ใช่ เพียงแต่ไม่เคยพบกับเธอมาก่อน……”
ผู้คนมากมายพูดแทรกขึ้นมา หลังจากที่พวกเธอทั้งหลายพูดความคิดเห็นของตัวเองออกมาหมดแล้วนั้น ผู้หญิงฝั่งตรงข้ามที่มีดวงตากลมโตก็อดไม่ได้ที่จะพูดเสริมขึ้นอีกประโยคว่า “คุณอาน ขออนุญาตพูดจาไร้มารยาทหน่อยนะคะ คุณคือคู่หมั้นของเพ้ยส้าวหลี่ใช่ไหม?”
สีหน้าของซูย้าวแข็งทื่อ และนี่คือเหตุผลสำคัญที่เธอไม่ยินยอมจะเปิดเพ้ยตัวตนของตัวเองในที่สาธารณะ ทุกครั้งที่พูดชื่อคำว่าอานหว่านชิงออกมา ทุกคนก็มักจะเชื่อมโยงเธอไปกับเพ้ยส้าวหลี่ จากนั้นก็เต็มไปด้วยการคาดเดาต่างๆและหัวข้อสนทนาที่เชื่อมโยงกัน
แต่ตอนนี้เธอเองก็ถูกบีบบังคับเสียจนช่วยไม่ได้
เธอจึงพยายามหลีกเลี่ยงข้อห้ามนี้จากก้นบึ้งของหัวใจ ใบหน้าของเธอยังคงแสดงรอยยิ้มอันสดชื่น สง่างามและช่างอ่อนโยน
เมื่อพบว่าเธอไม่ได้มีทีท่าจะปฏิเสธ คนอื่นๆก็ได้พากันพูดขึ้นมาว่า “คู่หมั้นของประธานเพ้ยนี่เอง มิน่าล่ะฉันถึงรู้สึกว่าชื่อคุ้นหูจริงๆ!”
“ไม่ใช่แค่คู่หมั้นของประธานเพ้ยนะ คุณอานยังเป็นน้องสาวแท้ๆของประทานอานด้วย!” ผู้หญิงผมสั้นคนหนึ่งพูดขึ้น เธอกลัวว่าคนอื่นจะฟังไม่เข้าใจจึงได้พูดเสริมขึ้นประโยคหนึ่งว่า “ประธานอาน อานเจียเย้นไง”
เมื่อพูดถึงอานเจียเย้นทุกคนก็เข้าใจอย่างกระจ่างแท้ ดวงตาเบิกกว้างสีหน้าประหลาดใจ “โอ้พระเจ้า คุณเป็นน้องสาวของท่านประธานอานเหรอ! ฉันเคยเห็นเขามาก่อนหล่อมากๆเลยล่ะ!”
“จริงเหรอ? ได้ยินมาว่าท่านประธานอานเป็นลูกครึ่ง รูปร่างสูงใหญ่ขาวสะอาดสะอ้านดูไม่เหมือนคนอายุยี่สิบกว่าๆเลยจริงไหม?”
ผู้หญิงดวงตากลมโตคนนั้นรีบพยักหน้า “อืม จริงสิหล่อมากเลยล่ะ หล่อกว่าพวกดารานักแสดงในทีวีซะอีกนะ! อีกทั้งยังเป็นสุภาพบุรุษ ดีกับคนอื่นมากเลยล่ะ ไม่ได้ว่างท่าว่าตนเองเป็นบอสใหญ่เลย!”
เมื่อผู้หญิงหลายคนรวมตัวอยู่ด้วยกัน หัวข้อสนทนาโดยมากก็จะเกี่ยวกับผู้ชาย และบัดนี้อานเจียเย้นกับเพ้ยส้าวหลี่ได้กลายเป็นหัวข้อสนทนาซุบซิบของพวกคนเหล่านี้ไปเสียแล้ว
ตั้งแต่แรกเริ่มจนจบซูย้าวไม่ได้เอ่ยพูดอะไรแทรกแม้แต่คำเดียว ทำเพียงฟังพวกเธอพูดกันและหยิบค็อกเทลขึ้นมาจิบบ้างเล็กน้อย
ส่วนท่าทางของอู๋หยานก็ไม่แตกต่างจากเธอเท่าไรนัก มักจะแอบมองไปยังใบหน้าของเธอด้วยดวงตาลึกล้ำ และแฝงไปด้วยความซับซ้อนยากเกินคาดเดา เนิ่นนานทีเดียวจึงได้เอ่ยพูดขึ้นว่า ไม่ใช่แค่ท่านประธานอานกับคุณชายเพ้ยนะ ข้างกายคุณอานยังมีคุณชายลี่อีกใช่ไหม?”
“คุณชายลี่?!”
เมื่อคำพูดนี้พูดออกมา ทุกคนก็ตกอยู่ในความคิดอันตกตะลึงอีกครั้ง สายตาอันน่าสะพรึงกลัวมองไปที่ซูย้าวอีกครั้ง
ผู้หญิงผมสั้นคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้นอย่างไม่รู้ตัวว่า “คุณชายลี่คนไหน?”
“จะคนไหนได้อีกล่ะ ก็ลี่เฉินซีท่านประธานบริษัทลี่ซื่อที่เมืองAยังไงล่ะ!” ผู้หญิงดวงตากลมโตอธิบายแทนเธอ
ในสังคมนี้มีเพียงบริษัทลี่ซื่อเพียงแห่งเดียว และมีตระกูลลี่อันยิ่งใหญ่แค่หนึ่งเดียวซึ่งสูงส่งจนไร้คำบรรยาย เวลาสิบกว่าปีนี้พวกเขาเป็นตำนานที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของวงการการเงินในประเทศมากมายหลายทศวรรษ
“โอ้โห!” ผู้หญิงผมสั้นชะงักลงเล็กน้อย เธอใช้สายตาดุจดั่งมองเทพธิดาหันไปทางซูย้าว “แล้วคุณอานกับคุณชายลี่…… มีความสัมพันธ์อย่างไรกันคะ?”
พวกคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็พากันกระซิบกระซาบถึงเรื่องนี้ แต่อาจเป็นเพราะที่นั่งที่ค่อนข้างใกล้ชิดกัน แม้จะเป็นคำกระซิบกระซาบ แต่น้ำเสียงที่พูดออกมานั้นเบาขนาดไม่ได้ยินเชียวเหรอ?
“จะเกี่ยวข้องอะไรกับคุณชายลี่กันล่ะ?” มีใครบางคนอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาอย่างประหลาดใจ “คุณชายลี่ไม่สนใจผู้หญิงอื่นเลยไม่ใช่หรือไง? ได้ยินมาว่าเขามีลูกอีกตั้งหลายคน ฉันจำได้ว่าน้องสาวของคุณชายลู่ จื่อซีก็ยังไม่เข้าตาเขาเลย”
ประโยคนี้ยังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกผู้หญิงที่นั่งข้างๆทั้งสองคน สะกิดเข้าให้ ทำให้คนพูดรู้สึกตัวได้จึงหุบปากตัวเองเอาไว้
อู๋หยานก็เริ่มยกแก้วไวน์สีแดงขึ้น ไวน์ถูกเขย่าอยู่ในแก้วตามแรงเกิดเป็นคลื่น เธอมองไปทางซูย้าวด้วยสายตาเยอะเย้ยดูถูกเล็กน้อย
“คุณอาน……น่าจะเป็นแฟนของคุณชายลี่?”
ทุกคนมองไปด้วยความประหลาดใจ สายตาอันอ่อนโยนของซูย้าวจับจ้องไปที่อู๋หยาน และรู้ว่าเธอมีจุดประสงค์อื่น ดังนั้นจึงไม่ได้ หลีกเลี่ยงแต่กลับตอบนะบอกมาตรงๆว่า “ก็ทำนองนั้น”
ทำให้ทุกคนตกตะลึงเข้าไปใหญ่
จากนั้นซูย้าวก็ได้อธิบายว่า “อาจจะใช่หรืออาจจะไม่ใช่ ฉันและเขาเป็นเพื่อนกัน เพื่อนธรรมดานะ”
อู๋หยานเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “อ้อ แบบนี้นี่เอง” คนรอบข้างจึงยิ่งรู้สึกประหลาดใจกับตัวตนของซูย้าวเข้าไปอีก แต่ต่อให้รู้สึกประหลาดใจเพียงใดหัวข้อสนทนาก็ค่อยๆเปลี่ยนแปลงไปอีกทิศทางหนึ่ง
“คุณชายลี่ไม่มีแฟนหรอกค่ะ เขาไม่สนใจมีแฟนหรอก จื่อซีเคยบอกกับฉันว่าในดวงใจของเขามีเพียงอดีตภรรยาคนนั้น ชื่อว่าอะไรนะ……”
มีใครคนหนึ่งพูดหัวข้อนี้ขึ้นมา คนที่อยู่ข้างๆก็ตอบรับขึ้นมาว่า “ซูย้าว”
“ใช่ๆ ชื่อซูย้าว เป็นลูกสาวในตระกูลซู ได้ยินว่าเป็นใบ้ด้วย ฉันพอจะจำขึ้นมาได้บ้างละ”
ผู้หญิงผมสั้นใช้มือข้างหนึ่งกุมคางไว้แล้วทำท่าครุ่นคิด “ถ้าอย่างนั้น แสดงว่าซูย้าวผู้หญิงคนนี้ช่างโชคดีเหลือเกิน แม้ว่าจะเป็นใบ้ แต่ก็สามารถแต่งงานกับผู้ชายดีๆอย่างคุณชายลี่ได้ เฮ้อ ทำไมฉันถึงไม่มีชีวิตดีๆแบบนี้บ้างนะ”
หญิงสาวดวงตากลมโตหัวเราะเยาะเย้ยว่า “เธอเหรอ รอชาติหน้าก็แล้วกัน ว่าแต่……”
เมื่อเธอพูดจบก็เปลี่ยนหัวข้อว่า “ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าชีวิตของซูย้าวก็ไม่ได้ดีเท่าไหร่นัก ถึงแม้จะแต่งงานกับคุณชายลี่ แต่ต่อมาก็หย่าแล้วไม่ใช่เหรอ? เธอคลอดลูกให้กับตระกูลลี่ตั้งหลายคน แต่ตอนนี้กลับตกอยู่ในสถานการณ์เป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่รู้ น่าสงสารเหมือนกันนะ”
ผู้หญิงผมสั้นคนนั้นหัวเราะเหอะๆออกมา “ถ้าจะพูดถึงความน่าสงสาร ควรจะสงสารพี่สาวของเธอไม่ใช่หรือไง คนที่ชื่อว่าซูหยวนน่ะ”
ซูหยวน?
ดวงตาของซูย้าวมืดมนลง เธอรู้สึกว่าชื่อนี้ดูคุ้นเคยเหลือเกิน……
ผู้หญิงดวงตากลมโตคนนั้นชะงักลงเล็กน้อย คนรอบๆเธอก็หันไปมองที่ผู้หญิงผมสั้น “ซูหยวนทำไมเหรอ? ได้ยินว่าเธอแต่งงานกับ ท่านประธานของป้าหลินกรุ๊ปไม่ใช่เหรอ? ใช้ชีวิตอยู่ที่ปารีสแสนดีนี่นา……”
“นั่นเป็นเรื่องเมื่อหลายปีก่อนนั้นแล้วไม่รู้หรือไง? ซูหยวนถูกเจี่ยงหลินขับไล่ออกจากบ้านตั้งนานแล้ว แทบจะเอาชีวิตตัวเองไม่รอดด้วยซ้ำ ก่อนหน้านั้นเธอกับซูย้าวมีเรื่องผิดใจกันมากดังนั้นเธอเลยไม่กล้ากลับไปที่ตระกูลซู ทำได้เพียงเร่ร่อนอยู่ด้านนอกคนเดียว นี่แหละหนา คนที่น่าสงสารมักมีจุดที่น่ารังเกียจ!”
พวกเธอพากันซุบซิบด้วยความเหลือเชื่อ และพูดสนับสนุนความคิดเห็นนั้นว่า “ก็นั่นน่ะซิ ซูหยวนก็ไม่ใช่คนดีอะไรนักหรอก ก่อนหน้านั้นที่เธอทำร้ายน้องสาวตัวเอง อีกทั้งยังพยายามจะให้ท่าคุณชายลี่อย่างหน้าด้านๆ ฉันก็อึดอัดใจมาโดยตลอด ทำไมกันนะเจี่ยงหลินผู้ชายดีๆแบบนั้นจึงมามองเธอ? ในที่สุดก็ถูกขับไล่มาจนได้! สมน้ำหน้า……”
“หุบปาก!” จู่ๆอู๋หยานก็พูดขึ้น น้ำเสียงหนักแน่นอันน่าสงสัยของเธอขัดจังหวะการสนทนาของทุกคนขึ้นทันใด
คนอื่นๆก็พากันหันมามองดูเธอด้วยความประหลาดใจ สีหน้าของอู๋หยานดูนิ่งเงียบ เธอตั้งใจยิ้มออกมาแล้วอธิบายขึ้นว่า “เราจะมัวไปวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นทำไมล่ะ? น่าเบื่อจะตาย ไม่ใช่หรือไง?”
ซูย้าวหันไปมองเธอด้วยความสงสัย จากนั้นก็พิจารณาดูสีหน้าจากด้านข้างของผู้หญิงคนนี้ จึงทำให้เธอคิดได้ว่าความรู้สึกแปลกอย่างบอกไม่ถูกเมื่อสักครู่คืออะไรกันแน่