เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - บทที่ 663 เมตตากรุณา
ไม่เหมือนกันจริงๆ
รูปภาพของอู๋หยาน และผู้หญิงคนที่ตรงหน้าซูย้าวตอนนี้ หน้าตาไม่เหมือนกัน
และที่บอกว่าไม่เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าคนอื่นๆจะสามารถมองออกได้จากภายนอก เป็นเพียงความแตกต่างกันเล็กน้อยเท่านั้น อู๋หยานในรูปเธอเป็นคนงดงามมาก ใบหน้ารูปไข่ จมูกโด่ง ดวงตาสีดำขลับ เป็นสัญลักษณ์อันโดดเด่นของผู้หญิงตะวันออก
ส่วนผู้หญิงคนที่อยู่ตรงหน้าเธอตอนนี้ ที่ด้านล่างของคางและหางตาแตกต่างไปจากรูปภาพของอู๋หยานเล็กน้อย
แต่รูปภาพก็คือรูปภาพ ตัวจริงคือตัวจริง การที่จะแตกต่างไปบ้างเล็กน้อยแบบนี้อาจเป็นเพราะการแต่งหน้า หรืออาจจะเป็นเพราะ วันเวลาที่ผ่านไป หรือบางทีอาจเป็นเพราะผลของการทำศัลยกรรมก็ได้เนื่องจากในตอนนี้ทุกคนล้วนให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ภายนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสตรีที่มีเงินล้วนเป็นเช่นนี้
ความงดงามในใบหน้าตอนนี้ ครึ่งหนึ่งมาจากกำเนิด อีกครึ่งหนึ่งเป็นเพราะการทำศัลยกรรม
เรื่องของการทำศัลยกรรมนั้น อาจทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งงดงามขึ้นมาได้ หรืออาจจะทำให้เธอต้องย่ำแย่กว่าเดิม มีทั้งข้อดีและข้อเสียอย่างละครึ่ง
ดังนั้นความคิดนี้จึงแวบเข้ามาในสมองของซูย้าวเพียงครู่หนึ่ง เนื่องจากก่อนหน้านี้เธอเองก็ไม่เคยใกล้ชิดกับอู๋หยานมาก่อน ทั้งสองคนเรียกได้ว่าไม่เคยพบหน้ากันเลย เธอจะไปตัดสินใจอู๋หยานด้วยความรู้สึกแปลกใจเช่นนี้ได้ยังไง?
หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่สักพัก อู๋หยานก็ได้ดึงทุกคนเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ดูเหมือนเธอไม่อยากทำให้สภาพแวดล้อมดูอึดอัด เธอจึงมักยิ้มและสนทนากับทุกคนอย่างสนุกสนาน
เสียงหัวเราะดังลั่นเหล่านั้นดำเนินไปได้เพียงครู่หนึ่งก็หยุดลง ชั่ววินาทีนี้ดวงตาของอู๋หยานเต็มไปด้วยความซับซ้อนแล้วหันมามองทางซูย้าว พิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนและพูดขึ้นว่า “คุณอานคะ ขออภัยที่ฉันจะเอ่ยถาม มีอยู่เรื่องหนึ่งไม่รู้ว่าควรจะถามหรือไม่?”
ซูย้าวชะงักลง อีกฝ่ายหนึ่งท่าทางเกรงอกเกรงใจเช่นนี้ ถ้าจะให้เธอตอบปฏิเสธกลับไปได้อย่างไร? ดังนั้นจึงยิ้มขึ้นพูดว่า “เชิญถามมาเถอะค่ะจะเกรงใจฉันแบบนี้ทำไมคะ?”
อู๋หยานเองก็ยิ้มขึ้น แต่รอยยิ้มนั้นเป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเยาะเย้ย ไม่ได้ออกมาจากใจเลย มันช่างจอมปลอมเสียจนไร้ที่ติ “ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าคุณหน้าตาคุ้นจังเลยคะ? ดูเหมือนเราจะเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า……”
เมื่อเธอพูดประโยคนี้ออกมาคนอื่นๆก็ได้พากันหันมามองดูซูย้าวและพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นผู้หญิงผมสั้นและคนอื่นก็ได้ พากันพูดว่า “นั่นสิ ฉันก็รู้สึกแบบนี้”
“ฉันรู้สึกว่าคุณอานหน้าตาคุ้นมากเลยค่ะ เหมือนจะคล้ายกับใครสักคน แต่ก็ไม่ได้เหมือนขนาดนั้น……”
เมื่อเปิดบทสนทนาขึ้นดังนี้ ซูย้าวก็พอจะเดาได้ว่าพวกเธอจะพูดอะไรต่อ
ความน่าสงสัยเมื่อพูดออกมาจากปากของคนอื่น ก็หมายความว่าเป็นความสงสัย แต่ถ้าพูดออกจากปากของตัวเองนั่นคือการยอมรับ
อย่างแรกเป็นการระแวงซึ่งไม่จริงใจ อีกอย่างหนึ่งเป็นการยอมรับออกมาตรงๆ อย่างเปิดใจ
แน่นอนว่าซูย้าวเลือกที่จะตอบอย่างหลัง เธอยิ้มเบาๆและพูดออกมาอย่างอ่อนโยนว่า “บางคนรู้สึกว่าฉันคล้ายคลึงกับซูย้าวใช่ไหมคะ?”
เธอหยุดลงเล็กน้อย ด้วยความกังวลว่าคนเหล่านี้จะมีอะไรสงสัยขึ้นมาอีก จึงได้พูดเสริมว่า “อดีตภรรยาของคุณชายลี่ค่ะ”
“อ้อ!จริงด้วยสิ!” ผู้หญิงผมสั้นตอบรับออกมาอย่างไม่คิด จากนั้นคนอื่นๆรอบข้างก็พากันมองแล้วพยักหน้า
อู๋หยานยิ้มขึ้น “จะว่าไปก็คล้ายมากนะคะ ว่าแต่ คุณอานแน่ใจนะคะว่าคุณไม่ได้แซ่ซู?”
ซูย้าวยิ้มขึ้นแล้วพูดว่า “ไม่ใช่ค่ะ”
“งั้นพวกเราคงจะจำคนผิดไป” อู๋หยานรีบจัดการสถานการณ์ในตอนนี้ ทำให้หัวข้อสนทนาที่จู่ๆก็ผุดขึ้นจางหายไป “การที่คนเราจะมีหน้าตาคล้ายคลึงกันก็เป็นไปได้และ คุณซูย้าวคนนั้นคนนั้นคงจะน่าโหลล่ะมั้ง!”
เป็นคำพูดที่ไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่มีเพียงผู้หญิงผมสั้นคนเดียวเท่านั้นที่คิดว่าเป็นเรื่องจริง เธอใช้มือข้างหนึ่งกุมหน้าตัวเองและขมวดคิ้วครุ่นคิด “หน้าโหลเหรอ? ไม่น่าใช่หรอกนะ ฉันจำได้ว่าซูย้าวงดงามมากเลยนะ!”
มือที่ถือแก้วไวน์อยู่ของอู๋หยาน เกร็งขึ้นมาเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด เธอหันหน้าไปมองผู้หญิงคนนั้นแล้วถามว่า “คุณรู้จักซูย้าวเหรอ?”
ผู้หญิงผมสั้นส่ายหน้า “ไม่รู้จักหรอกค่ะ แต่ฉันเคยเห็นหน้าเธอบนหนังสือพิมพ์อยู่บ่อยๆ และก็ได้ยินคนอื่นพูดถึงกันด้วย อีกอย่างถ้าเธอไม่สวยจะทำให้คุณชายลี่คิดถึงคะนึงหาได้ตั้งหลายปีมานี้เหรอ?”
คนอื่นก็พากันพยักหน้าให้ความร่วมมือ “นั่นสินะ คงจะสวยมากเลยจริงๆ แต่ว่าต่อให้สวยยังไงก็คงจะสู้คุณอานไม่ได้หรอก……”
ดวงตาอันงดงามอู๋หยาน หรี่ลงเรื่อยๆ เธอวางแก้วไวน์ลงอย่างเยือกเย็น “เอาล่ะ เรานั่งกันมาสักพักแล้ว ไปแช่น้ำพุร้อนกันเถอะ!”
หัวข้อสนทนาจบลงเพียงนี้ จากนั้นอู๋หยานก็ลุกขึ้นยืน ผู้หญิงผมสั้นกดกริ่งเรียกพนักงานเข้ามาให้จัดเตรียมเสื้อผ้าและสิ่งของอื่นๆกับทุกคน
จากนั้นก็มีพนักงานสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาด้วยชุดสูทเป็นทางการ เผยให้เห็นรูปร่างอันได้สัดส่วน ใบหน้าขาวผ่องคิ้วเข้มตาคม เมื่อเธอเดินเข้ามาก็ได้ก้มศีรษะให้กับทุกคนแล้วพูดว่า “คุณผู้หญิงทุกท่านรอสักครู่นะคะ”
เมื่อพูดจบเธอก็เดินออกไปจากห้อง
ผ่านไปสักพัก พนักงานสาวก็เดินเข้ามาใหม่อีกครั้ง ในมือของเธอมีรถเข็นเล็กๆหรูหรา ด้านบนประกอบไปด้วยชุดว่ายน้ำใหม่เอี่ยม และชุดคลุม อีกทั้งผ้าขนหนูและเครื่องบำรุงผิวพรรณต่างๆที่ต้องใช้หลังอาบน้ำ
พนักงานสาวมอบของเหล่านั้นให้กับพวกเธอทีละคน ระหว่างนั้นตอนที่เดินผ่านอู๋หยาน รถเข็นที่อยู่ด้านหลังไม่รู้ว่าถูกใครชนเข้า จึงหมุนและพุ่งไปทางพนักงานสาวคนนั้น เธอเสียศูนย์และสะดุดรองเท้าส้นสูงของตัวเอง วินาทีต่อมาเธอก็ได้ชนเข้ากับอู๋หยาน
ที่จริงควรจะพูดว่าเธอกระโจนเข้าไปต่างหาก
เนื่องจากร่างกายสูญเสียการทรงตัว จึงไม่อาจยืนตรงได้ เธอยังไม่ทันจะคว้าอะไรเอาไว้ได้ทันเวลา จึงได้ล้มไปทางอู๋หยาน ผลสรุปออกมาก็คือท่าทางของทั้งสองคนนั้นล้มลงต่อหน้าทุกคนอย่างไม่น่ามองเลย
พนักงานสาวรีบลุกขึ้นด้วยความเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เธอไม่มีเวลาจะไปสนใจเท้าเปล่าที่ได้รับบาดเจ็บของเธอ ได้แต่กังวลรีบก้มตัวพยุงอู๋หยานขึ้นมา พูดว่า “ขออภัยค่ะ ขออภัยด้วยจริงๆ เป็นเพราะฉันไม่ทันระวัง……”
ท่าทางของเธอนั้นเห็นได้ชัดว่านอบน้อมจนสุดขั้นแล้ว เธอพยายามถ่อมตนจนถึงที่สุด แต่แม้จะเป็นเช่นนั้นสิ่งที่แลกมาก็คือความไม่พอใจของอู๋หยาน
พนักงานสาวต้องการจะพยุงเธอขึ้น เมื่อยื่นมือออกไปปรากฏว่าอู๋หยาน ผลักมือเธอออกอย่างแรง “อย่ามาแตะต้องตัวฉันนะ คิดว่าตัวเองเป็นอะไรกัน?”
ผู้หญิงผมสั้นและคนอื่นๆรีบเข้ามาช่วยพยุงอู๋หยาน เมื่อเธอลุกขึ้นยืนได้ก็ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด เธอยกมือขึ้นตั้งใจจะตบลงไปบนใบหน้าของพนักงานสาวคนนั้น
ซูย้าวที่อยู่ไม่ไกลนักดวงตาหรี่ลงทันใด เธอยังไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบโต้ ปรากฏว่าอู๋หยานได้ตบลงบนใบหน้าของพนักงานสาวคนนั้นแล้ว
เสียงฝ่ามือดังลั่นสนั่น ก้องอยู่ในหู
ส่วนใบหน้าของพนักงานสาวคนนั้นก็ปรากฏเป็นรอยนิ้วมือแดงเรื่อขึ้นมาทันใด
“แกตั้งใจใช่ไหม?” อู๋หยานพูดออกมาอย่างโมโหสุดขีด ความโมโหของเธอนั้นปรากฏอยู่บนใบหน้าตั้งแต่แรกเริ่ม จากนั้นก็เดินเข้าไปดึงปกเสื้อของพนักงานสาวอย่างดุดัน ระหว่างที่เธอดึงอยู่นั้นก็สังเกตเห็นป้ายบนหน้าอก “เธอชื่อเซียวไน่……”
อู๋หยานลากเสียงยาว คิ้วทั้งสองข้างของเธอขมวดเข้าหากันเล็กน้อยดูเหมือนกำลังคิดถึงเรื่องอะไรอยู่ หลังจากนั้นรอยยิ้มอันเยาะเย้ยและเยือกเย็นก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเธอ ความครุ่นคิดกังวลในดวงตาเมื่อสักครู่ก็จางหายไป “ฉันน่าจะคิดมากไปเอง ผู้หญิงอย่างแกจะไปเกี่ยวข้องกับคนคนนั้นได้อย่างไร……”
น้ำเสียงเธอพึมพำเบาๆ แม้จะเป็นเสียงเบามากแต่ซูย้าวก็ฟังได้อย่างชัดเจน ส่วนพนักงานสาวที่อยู่ตรงหน้านี้ก็ได้ยินอย่างชัดเจนเช่นกัน เธอมองไปทางอู๋หยานด้วยดวงตาอันตกตะลึง
อู๋หยานยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่ ความโกรธเดิมของเธอยังไม่ทันจะหาย ดังนั้นจึงดึงคอเสื้อของเซียวไน่แรงขึ้นกว่าเดิม “ผู้จัดการพวกแกล่ะ? ไปเรียกผู้จัดการมา!”
เซียวไน่หลับตาลงแล้วสูดหายใจเข้าลึก “คุณหนูคะ ขออภัยด้วยจริงๆเมื่อสักครู่เป็นความผิดของดิฉันเอง แต่ดิฉันไม่ได้ตั้งใจนะคะ คุณเป็นคนใจกว้าง ช่วยเมตตากรุณาดิฉันด้วยนะคะ”
อู๋หยานหัวเราะด้วยความเยือกเย็น “เมตตากรุณาเหรอ?”
เธอพึมพำสามสี่คำนี้ออกมา จากนั้นจับจ้องไปที่ใบหน้าของหญิงสาวอย่างสนุกสนาน ทันใดนั้นสีหน้าเธอก็เปลี่ยนไปแล้วปล่อยคอเสื้อของเซียวไน่ ก่อนจะถอยไปก้าวหนึ่งยักไหล่พูดว่า “ก็ได้ ฉันจะให้ความเมตตากับแก ถ้าอย่างนั้นก็ขอโทษฉันสิ!”
เซียวไน่พยักหน้า เธอโค้งตัวไปทางหล่อนอย่างเป็นธรรมชาติแล้วพูดว่า “คุณหนูคะ เมื่อสักครู่เป็นความผิดของดิฉันเอง ดิฉันต้องขออภัยด้วยนะคะ”
การขอโทษเช่นนี้นับว่าออกมาจากใจจริงพอแล้ว
แต่ดูเหมือนอู๋หยานจะนึกอะไรขึ้นมาได้ เธอยกมือขึ้นไปจับคางของเซียวไน่ บังคับให้เธอเงยหน้ามาสบตากับตน เนื่องจากความสูงของทั้งสองคนพอๆกัน ดังนั้นสายตาทั้งคู่จึงกำลังจดจ้องในระดับเดียวกัน “แกชนฉันจนล้มลง คิดว่าเพียงคำขอโทษประโยคเดียวก็จะผ่านไปได้ง่ายๆอย่างนั้นเหรอ? เซียวไน่ ถ้าอยากจะขอโทษก็ต้องขอโทษออกมาจากใจจริงกว่านี้สักหน่อย อย่างเช่นคุกเข่า……”