เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - บทที่ 664 ไม่รู้จักดีพอ
คุกเข่าเหรอ?!
เพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยแค่นี้จะต้องคุกเข่าต่อหน้าคนอื่น เห็นได้ชัดว่านี่มันแกล้งทำให้เธออึดอัดใจ
ส่วนคนอื่นใครเล่าดูไม่ออก ตอนนี้อู๋หยานกำลังต้องการจัดการเธอ ส่วนเซียวไน่เป็นเพียงพนักงานบริการ เธอคงทำได้เพียงอดทนเอาไว้แล้วหลับตาลง “คุณหนูคะ ดิฉันได้ขอโทษไปแล้วเมื่อสักครู่ และนับว่าเป็นความรู้สึกผิดจากใจจริง คุณช่วยปล่อยผ่านไปได้ไหมคะ”
เซียวไน่พูดออกมาอย่างเกรงใจ นั่นเสียงของเธอสม่ำเสมอเรียบง่ายและอ่อนโยน ดวงตาของเธอชัดเจนยิ่งนัก ไม่มีความเกรงกลัวใดๆ
และเนื่องจากอู๋หยานไม่ชอบท่าทางแบบนี้ของเธอจึงได้มองไปยังเธอด้วยสายตาเยือกเย็น เดิมทีเธออยากจะพูดอะไรอีกสักหน่อยแต่กลับถูกซูย้าวขัดขึ้น
ซูย้าวไม่เพียงแต่เข้ามาขัดจังหวะการพูดของอู๋หยาน อีกทั้งยังยื่นมือออกไปกุมมือของเซียวไน่เอาไว้ ลากหล่อนมาที่ข้างกายพูดว่า “คุณอู๋คะ ควรจะพอได้แล้ว!”
ซูย้าวไม่อยากใช้ฐานะตัวตนของเธอในการปฏิบัติต่ออู๋หยาน ครั้งนี้ที่เธอเดินทางมาก็เพราะต้องการมองจากมุมมองของคนนอกว่าอู๋หยานเป็นคนอย่างไรกันแน่ ตอนนี้มองดูแล้วคงเป็นจริงตามที่ได้ยินมาว่าเธอไม่ใช่คนดีสักเท่าไร
อีกทั้งนิสัยก็แย่มาก
อู๋หยานหรี่ตาลง น้ำเสียงของเธอลากขึ้นสูง “คุณว่าอะไรนะ?”
ซูย้าวเผชิญหน้ากับเธอแล้วหัวเราะอย่างเยือกเย็นเช่นกัน น้ำเสียงแฝงไปด้วยความไม่แยแสและเยาะเย้ย ทุกสิ่งทุกอย่างปรากฏรวมกัน “เมื่อสักครู่คุณเซียวก็ขอโทษไปแล้ว มันก็แค่เป็นการบังเอิญชนจนล้มนิดหน่อย ดูเหมือนคุณเองก็ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรนี่คะ? ทำไมจะต้องทำให้เธอลำบากใจไม่ปล่อยเธอไปแบบนี้ล่ะ?”
คำพูดเบาๆของเธอเพียงแค่สองสามประโยชน์ ชี้ให้เห็นถึงนิสัยอันไร้น้ำใจของอู๋หยานออกมาอย่างชัดเจน
ทุกประโยคนี้ทำให้คนรอบข้างประหลาดใจไม่น้อย ทุกคนล้วนรู้ดีว่า อู๋หยานชอบใช้อำนาจของพ่อและตำแหน่งด้านการเงินของกรุ๊ปอู๋ซื่อในเมืองBรังแกผู้คนทั่วไปอย่างไร้เหตุผล พวกหล่อนคุ้นเคยกับมันแล้ว แต่คนที่กล้าออกมาพูดแบบนี้มีน้อยจนนับนิ้วได้
อู๋หยานโมโหเสียจนกัดฟันกรอด ดวงตาอันเยือกเย็นมองดูซูย้าว “คุณไปปกป้องเธอทำไม?”
จากนั้นดูเหมือนเธอจะคิดอะไรขึ้นมาได้จึงรีบเปลี่ยนจากความโกรธเป็นหัวเราะ “คุณอานรู้จักกับเธออย่างนั้นเหรอ? พวกคุณเป็นเพื่อนกันสินะ?”
ซูย้าวส่ายหน้า “ฉันไม่รู้จัก แต่ต่อให้เป็นคนแปลกหน้าก็เป็นมนุษย์ ควรจะมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ไม่ใช่หรือไง? การที่คุณใช้อำนาจของตัวเองในการข่มขู่คนอื่นแบบนี้ไม่ดีเท่าไหร่หรอกมั้งคะ?”
เมื่อเธอพูดจบ สายตาก็เหลือบไปมองผู้หญิงคนอื่นๆที่กำลังตกตะลึง ใบหน้าอันอ่อนโยนของเธอปรากฏเป็นรอยยิ้ม “อีกอย่างเรื่องเล็กน้อยเพียงนี้ถ้าหากว่าถูกเผยแพร่ออกไปเกรงว่าจะเสียชื่อเสียงของคุณอู๋นะคะ?”
“คุณ……”
อู๋หยานกัดฟันกรอดด้วยความโมโห แม้ว่าเธอจะไม่อยากหยุดเพียงเท่านี้ แต่เมื่อซูย้าวพูดถึงขั้นนี้แล้ว อีกทั้งยังพูดออกมาอย่างมีเหตุมีผล ถ้าเธอยังไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ผ่านไปก็คงจะแสดงให้เห็นว่าเธอไร้น้ำใจมากจริงๆ
“ก็ได้!” อู๋หยานฝืนหัวเราะออกมาด้วยความโกรธแล้วพยักหน้า “ในวันนี้ฉันเห็นแก่หน้าคุณอาน เรื่องนี้พอเท่านี!”
ซูย้าวมองมาทางเซียวไน่ที่ไม่มีความเกรงกลัวใดๆแล้วยิ้มขึ้น ตบลงที่บ่าของเธอ “ออกไปก่อนเถอะนะ”
เซียวไน่มองกลับไปยังเธอด้วยแววตาซาบซึ้งใจจากนั้นเดินออกจากห้องไป
เรื่องขัดแย้งครั้งนี้จึงได้จบลงเพียงเท่านั้น ผู้หญิงคนอื่นก็ได้พากันไปเปลี่ยนเสื้อผ้าของตน พวกเธอเดินไปยังห้องต่างๆ ที่จัดเตรียมเอาไว้ มีเพียงผู้หญิงผมสั้นคนเดียวเท่านั้นที่ยังอยู่ที่เดิม หลังจากนั้นเธอก็ได้แต่ครุ่นคิดแล้วเดินมาข้างอู๋หยานพูดว่า “พนักงานบริการคนเมื่อกี้ชื่อเซียวไน่ใช่ไหม? ดูเหมือนจะเป็นผู้หญิงที่ก่อนหน้านี้มีเรื่องชู้สาวกับเจียงจี้เซิง……”
ดวงตาของอู๋หยานเป็นประกาย เธอพูดออกมาอย่างไม่รู้ตัวว่า “ข่าวก่อนหน้านั้นเป็นเรื่องไร้สาระยินดี อีกอย่างคนที่ชื่อเดียวกันนามสกุลเดียวกันก็มีเยอะแยะมากมายไป อย่าเดาไปเองหน่อยเลย!”
ผู้หญิงผมสั้นคนนั้นเบ้ปากไปทางเธอแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ได้แต่เดินไปหยิบของแล้วตรงออกไป
บทสนทนาของทั้งสองคนเมื่อสักครู่ซูย้าวก็ได้ยินเช่นกัน เธอคิดอยู่ในใจว่า เซียวไน่กับเจียงจี้เซิงมีความสัมพันธ์กันอย่างนั้นเหรอ?
แม้ว่าเมื่อสักครู่อู๋หยานจะปฏิเสธออกไป แต่ท่าทางที่มองดูปฏิบัติต่อเซียวไน่ อีกทั้งเธอไม่รู้สึกประหลาดใจแม้แต่น้อยที่ได้ยิน มันไม่ได้เหมือนว่าเธอมองไม่ออกมาก่อนตรงไหนเลย?
เพียงแต่เมื่อคิดได้ดังนี้ เหตุการณ์วุ่นวายเมื่อสักครู่เธอก็เข้าใจมันจนหมดสิ้น
เพียงแต่ว่า อู๋หยานมีความสัมพันธ์กับเจียงจี้ฉีไม่ใช่หรือไง? ทำไมเธอจึงดึงเจียงจี้เซิงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย?
แต่ในตระกูลมั่งคั่ง ระหว่างสองพี่น้องที่ชื่นชอบผู้หญิงคนเดียวกันก็มีมากมายจนไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
ซูย้าวล้มเลิกความสงสัยนี้ของเธอไปและจัดการเตรียมของกำลังจะเดินออกไป ยังไม่ทันจะก้าวขาก็ถูกอู๋หยานเรียกเอาไว้ว่า “ซูย้าว”
เพียงแค่สองคำเบาๆ หนักแน่นมีพละง
ขาของซูย้าวที่กำลังจะก้าวเดินไปชะงักลงทันใด เธอหันหลังกลับไปมองดูดวงตาอันลึกล้ำของอีกฝ่ายหนึ่ง
อู๋หยานเผยอริมฝีปากขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์ รอยยิ้มนั้นช่างงดงามแต่ก็แฝงไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม เปรียบเสมือนกับงูพิษที่เต็มไปด้วยพิษทั่วร่างกาย ที่เพียงแค่แตะต้องก็คงถึงแก่ชีวิต
“เธอยังคงเป็นเหมือนเดิมเลยนะ ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านไปทั่ว!” อู๋หยานเดินขึ้นมาด้านหน้า ดวงตาของเธอแหลมคมดุจมีดจ้องมองไปทางอีกฝ่ายหนึ่งอย่างดุดัน
ซูย้าวขมวดคิ้วเข้าหากันเบาๆ “ฟังจากคำพูดของคุณเมื่อครู่ดูเหมือนคุณจะเข้าใจฉันมากงั้นเหรอคะ?”
แม้ว่าจะเต็มไปด้วยความสงสัย แต่เธอก็พยายามจะไม่เปิดเผยมันออกมา เพราะอย่างไรเสียเธอก็ไม่ค่อยจะเข้าใจ อู๋หยานผู้หญิงคนนี้เท่าไรนัก
อู๋หยานยิ้มขึ้นเช่นกัน เธอยกมือข้างหนึ่งสางผมที่ยาวจนถึงเอว “ฉันก็ไม่ได้รู้จักเธอดีหรอกนะ มันเป็นเพียงแค่เรื่องของความรู้สึกเท่านั้นแหละ”
ประโยคนี้พูดไปแม้แต่ผีก็ยังไม่เชื่อ
จากประโยคของเธอเมื่อสักครู่เห็นได้ชัดว่าเธอรู้จักกับซูย้าวเป็นอย่างดีอย่างรู้ไส้รู้พุงชนิดที่ว่ารู้จนหมดไส้หมดพุงก็ว่าได้
ซูย้าวยังคงขมวดคิ้วเข้าหากันไม่เปลี่ยนแปลง เพียงแต่ทำท่าเป็นมึนงงถามว่า “แค่นั้นเหรอคะ?”
“ไม่อย่างนั้นละคะ?” อู๋หยานก็รู้สึกได้ว่าคำพูดของตนเมื่อสักครู่ดูเสียมารยาทไปหน่อย จึงได้รีบบดเบือน “ในวงการนี้คุณอานนับว่าเป็นสมาชิกใหม่ หลายปีมานี้ไม่เคยจะออกหน้าด้วยตนเองเลย ก็เพราะคุณรู้สึกว่าเป็นคนละพวกกับพวกเราไม่ใช่เหรอ?”
เธอชะงักลงเล็กน้อยน้ำเสียงเปลี่ยนไปว่า “หรือคุณอานคิดว่าคุณเป็นคนประเภทเดียวกับเซียวไน่พนักงานเมื่อสักครู่ล่ะ?”
ดวงตาอันงดงามของซูย้าวกะพริบขึ้นและค่อยๆหรี่ตามองลง “คุณอู๋ อยากจะพูดอะไรกันคะ?”
“ฉันก็แค่อยากจะพูดว่า ไม่ว่าจะมองคนหรือทำเรื่องอะไรจะมองแต่ภายนอกไม่ได้ คุณอาจจะรู้สึกว่าเมื่อสักครู่ทัศนคติและท่าทางของฉันดูไม่เหมาะสม ทำให้พนักงานคนหนึ่งต้องลำบากใจ แต่ว่าบางทีเรื่องจริงอาจจะไม่ใช่อย่างที่คุณคิดก็ได้”
เมื่อได้ยินสิ่งที่อู๋หยานอธิบายออกมา ซูย้าวก็หัวเราะเบาๆพยักหน้าเป็นการร่วมมือกับเธอ “อย่างนั้นเหรอคะ แล้วความจริงคืออะไรกันล่ะ?”
“ความจริงคือ คุณอู๋พยายามแทรกตัวเข้าไปในตระกูลเจียงแต่ไม่ประสบผลสำเร็จในการปีนป่ายขึ้นไปยังประธานเจียง ซึ่งเป็นผู้สืบทอดอันดับหนึ่งของตระกูล ดังนั้นจึงทำได้เพียงร่วมมือแสดงละครกับคุณชายรองเจียงและไม่สนใจที่จะใช้ความเข้าใจผิดเล็กน้อยเป็นเรื่องราวขึ้นมาได้ จึงแสดงละครจอมปลอมออกมาเพื่อทำให้เรื่องราววุ่นวายขึ้นกว่าเดิม?”
น้ำเสียงของซูย้าวชัดเจน แต่ละคำช่างแสบแก้วหู แต่เมื่อควบคู่ไปกับใบหน้าอันเต็มไปด้วยรอยยิ้มนั้น ทำให้คนดูยังรู้สึกว่าเธอ อ่อนโยนมีเสน่ห์ ดูสง่างามดังเดิม
อู๋หยานชะงักลงเล็กน้อย ใบหน้าของเธอแตกเป็นเสี่ยง
“เธอ……”
ซูย้าวไม่อยากเสียเวลากับเธอไปมากกว่านี้ อีกอย่างเมื่อพบกับสถานการณ์อย่างนี้ไม่จำเป็นจะต้องมีความเมตตาปรานี เธอจึงพูดขึ้นว่า “คุณอู๋คะ ไม่ทราบว่าคุณไปได้ยินเรื่องราวของฉันมาจากที่ไหน แต่ที่จริงแล้วคุณไม่รู้จักฉันเลย ดังนั้นขอร้องเถอะค่ะอย่าทำท่าทางเป็นว่าเข้าใจฉันอย่างดี อย่าคิดว่าตัวเองจะครอบครองทุกอย่างได้ เพราะแบบนี้มันน่าสะอิดสะเอียนจริงๆ”
พูดจบ เธอก็ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายหนึ่งมีโอกาสพูดอะไรออกมาอีก เธอคว้าของในมือหันหลังเดินจากไปอย่างสง่างาม
อู๋หยานโมโหจนกัดฟันอย่างดุเดือด เธอจ้องเขม็งไปยังร่างที่เดินออกไปของหล่อน นิ้วมือค่อยๆกำขึ้นแน่น เนิ่นนานทีเดียวกว่าจะพูดพึมพำกับตัวเองว่า “ฉันไม่รู้จักแกอย่างงั้นเหรอ? ซูย้าว แกต่างหากที่ยังไม่รู้จักฉันพอ!”
เธอพูดมันออกมาทีละคำอย่างดุเดือดว่า “แกไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าแกตอนนี้เป็นใคร!”
ที่จริงแล้วซูย้าวก็ไม่ได้มีความเข้าใจเกี่ยวกับอู๋หยานเท่าไหร่จริงๆ
ทันทีที่เธอเดินออกมาจากห้องวีไอพีก็ตรงเข้าไปในห้องน้ำ ท่ามกลางทางเดินอันยืดยาวนี้ช่างเงียบสงบเสียจนแม้แต่เข็มร่วงลงพื้นก็คงได้ยิน
ฝีเท้าของเธอเดินไปอย่างรีบเร่ง ในใจของเธอดุจมีเมฆหมอกปกคลุม มันยุ่งเหยิงไปหมด
คำพูดของอู๋หยานเมื่อสักครู่หมายถึงอะไรกันแน่ อีกอย่าง ทำไมเธอถึงเรียกตนออกมาว่าซูย้าว?
ต่อให้ตัวเธอเองจะสงสัยในความเป็นตัวตนของเธอ แต่สำหรับอู๋หยาน คนที่เพิ่งเคยเจอหน้ากันครั้งแรกแบบนี้ สามารถมองออกได้เลยหรือว่าเธอคือซูย้าว?
หรือว่าระหว่างอู๋หยานและซูย้าวนั้นเคยมีความเกี่ยวข้องใดๆกันมาก่อน……