เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - บทที่ 717พลิกจากแขกมาเป็นเจ้าบ้าน
ซูหยวนคล้องแขนของลี่เฉินซีเอาไว้อย่างใกล้ชิด ร่างของทั้งสองคนเมื่อซูย้าวมองจากระยะไกลราวกับพวกเขาสนิทสนมกลมเกลียวกันเหลือเกิน
วินาทีนั้นดวงตาของเธอก็มืดมนลง
ส่วนด้านของซูหยวนเองสายตาก็ได้เหลือบไปเห็นคฤหาสน์ด้านข้างที่มีซูย้าวและโม่หว่านหว่านยืนอยู่ จากนั้นรอยยิ้มอันอ่อนโยนก็ปรากฏขึ้น มันอบอุ่นและภาคภูมิใจเหลือเกิน “เฉินซีขา ตอนแรกฉันคิดว่าวันนี้คุณแค่จะไปอยู่เป็นเพื่อนหมิงเอ๋อเฉยๆ คิดไม่ถึงว่ายังจะกินข้าวเป็นเพื่อนฉันด้วย ทำแบบนี้มันดีจริงๆเหรอคะ?”
ดวงตาอันลึกล้ำและเยือกเย็นของลี่เฉินซีมองไปยังผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างๆอย่างไร้ความรู้สึก แต่ขณะเดียวกันหางตาของเขาก็เหลือบมองไปเห็นร่างที่อยู่อีกฝ่ายหนึ่ง ริมฝีปากอันได้รูปจึงค่อยๆขยับพูดว่า “ไม่เป็นไรครับ”
ซูหยวนจึงพยักหน้าแล้วพูดอีกสองสามประโยค จากนั้นก็เป็นไปตามเดิม หวางอี้เตรียมตัวส่งเธอกลับที่พัก แม้เธอจะไม่ค่อยพอใจในเรื่องนี้เท่าไหร่นักแต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมามาก ทำได้เพียงหันหลังกลับไปกระซิบว่า “ถ้างั้นจะให้ฉันกลับตอนนี้เลยเหรอ?”
ดวงตาของลี่เฉินซีลึกล้ำลงไป เขาครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ในที่สุดก็พูดขึ้นว่า “จะเข้าไปดื่มชากับผมสักถ้วยไหม?”
ดวงตาของซูหยวนมีความตื่นเต้นดีใจขึ้นมาเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเอ่ยชวนเธอเข้าไปในบ้านด้วยตนเอง เธอจะปฏิเสธมันได้อย่างไร
ดังนั้นทั้งสองคนจึงได้จูงมือการเดินเข้าไปในคฤหาสน์
อีกด้านหนึ่ง ดวงตาอันนิ่งเงียบของซูย้าวมองเห็นทุกฉาก เธอมองไปที่ฉากนั้นด้วยดวงตาอันงดงามเต็มไปด้วยความซับซ้อน โม่หว่านหว่านที่ยืนอยู่ข้างเธอสัมผัสได้ถึงความผิดปกติไปจึงได้กระซิบว่า “อย่าไปโทษเฉินซีเลย ก่อนหน้านี้เหตุการณ์ไฟไหม้ในครั้งนั้น อู๋หยานเป็นคนไปช่วยหมิงเอ๋อออกมา เขาจึงได้สนิทสนมกับเธอบ้างเล็กน้อยเท่านั้นเอง”
ใครๆก็รู้ว่าลี่เฉินซีนั้นรักลูกของเขาดุจดวงใจ และบุญคุณในการช่วยเหลือลูกของเขาก็เท่ากับเป็นหนี้บุญคุณอันใหญ่หลวงต่อเขา ดังนั้นการที่เขาจะสนิทสนมกับเธอเล็กน้อยก็เป็นเรื่องปกติ
เดิมทีโม่หว่านหว่านต้องการที่จะปลอบโยนเธอแต่เมื่อคำพูดเหล่านี้เข้าไปในหูของซูย้าวแล้ว กลับกลายเป็นความหมายอย่างอื่น
เธอเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “อู๋หยานเป็นคนช่วยหมิงเอ๋ออย่างงั้นเหรอ?”
หลังจากเรื่องเกิดขึ้นในวันนั้น เธอก็ได้ใช้คำพูดอันรุนแรงถกเถียงกับอู๋หยาน หลังจากนั้นอู๋หยานก็ยังคงมีเมตตาไม่นึกถึงอันตรายของตนเอง ลืมเรื่องที่ทะเลาะกับเธอเข้าไปช่วยลูกชายของเธออย่างงั้นเหรอ?
อีกอย่าง ตอนที่ไฟไหม้ก็ยังมีระเบิดด้วย ต่อมาเจ้าหน้าที่กู้ภัยก็เดินทางไปถึงที่นั่น เธอจำเป็นต้องเข้าไปช่วยด้วยเหรอ?
มองดูแล้วเรื่องนี้ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด
โม่หว่านหว่านพยักหน้าอย่างตรงไปตรงมา “ใช่สิ เธอช่วยออกมา แล้วก็ยังได้รับบาดเจ็บด้วยนะ หลังจากนั้นลี่เฉินซีก็เลยได้สนิทกับเธอขึ้น”
แววตาของซูย้าวสั่นไหวเล็กน้อย บางทีเธออาจจะคิดมากไปเองหรืออาจจะเป็นโรคคิดมากก็ได้ แต่ถึงอย่างไรเสียเธอก็รู้สึกว่าอู๋หยานผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดา
หลังจากที่เธอครุ่นคิดอยู่สักครู่ ก็ได้สนทนากับโม่หว่านหว่านอีกหลายประโยค แต่ไม่ได้เชิญชวนเธอและลูกไปนั่งเล่นที่บ้าน เธอเดินกลับไปเพียงคนเดียว
ทันทีที่เธอผลักประตูคฤหาสน์เข้าไป ก็พบกับลี่เฉินซีที่เพิ่งเดินออกมาจากด้านใน มือข้างหนึ่งของเขาถือชุดสุดเสื้อสูทเอาไว้แล้วฝีก้าวเร่งร้อน ดูเหมือนว่าเขามีเรื่องรีบเร่งต้องจัดการ
ทั้งสองคนมองตากัน ดวงตาของชายหนุ่มอันลึกล้ำจับจ้องไปที่ใบหน้าซีดเผือดของเธอ ก่อนจะเคร่งขรึมขึ้นและเยือกเย็นขึ้น ถามด้วยน้ำเสียงต่ำทุ้มเย็นชาว่า “ยังรู้ว่าต้องกลับบ้านเหรอ?”
ซูย้าวหันตัวไปด้านข้างเพื่อจะหลีกเขาและไม่ตอบคำถาม
ลี่เฉินซีก้าวเข้ามาหาเธอ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่พอใจกับท่าทางนั้นของเธอ จึงยกมือขึ้นไปบีบแขนอันเรียวบางของเธอพูดว่า “ผมพูดกับคนอยู่นะ ดูท่าทางของคุณเข้าสิ?”
ซูย้าวขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างหมดความอดทนแล้วพูดว่า “ขอโทษค่ะ”
มีเพียงไม่กี่คำที่ออกจากปากของเธอ แต่ก็มักหนีไม่พ้นคำเหล่านี้ คิ้วของลี่เฉินซีปรากฏถึงความไม่พึงพอใจขึ้นทันที และมืออันใหญ่หนาก็บีบแขนของเธอให้กระชับขึ้นไปอีก “คิดว่าคำว่าขอโทษจะจัดการทุกอย่างได้หรือยังไง?”
ซูย้าวเม้มริมฝีปากเข้าหากัน เธอเงยหน้าสบตากับชายหนุ่ม ถอนหายใจออกมาเล็กน้อยครุ่นคิดแล้วพูดประโยคนั้นอีกว่า “ขอโทษค่ะ”
ใบหน้าอันหล่อเหลาของลี่เฉินซีมืดมนลงถึงที่สุด ในขณะที่เขากำลังจะพูดอะไรออกมาจู่ๆโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น
เขาเหลือบตามองไปที่หน้าจอดูเหมือนว่าจะเป็นสายสำคัญที่ต้องรับดังนั้นเขาจึงปล่อยเธอออกและพูดว่า “วันนี้อาหยานจะนอนที่นี่ ผมกลับช้าหน่อย คุณดูแลเธอให้ด้วย”
ซูย้าวไม่ได้ตอบรับอะไรออกมา เธอเดินผ่านเข้าไปแล้วเปลี่ยนเป็นรองเท้าสำหรับใส่ในบ้าน ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องรับแขก
คิ้วหนาของลี่เฉินซีขมวดเข้าหากันอีกครั้ง จากนั้นหันหลังเดินออกไปข้างนอกรับโทรศัพท์ขึ้น น้ำเสียงที่เย็นชาของเขาดูอบอุ่นใจขึ้นมาเล็กน้อย “หมิงเอ๋อ……”
เมื่อได้ยินเสียงรถติดเครื่องแล่นออกไป หัวใจอันแน่นแฟ้นของซูย้าวก็ได้ผ่อนคลายลงเล็กน้อย จากนั้น สายตาก็หันไปมองผู้หญิงที่นั่งดื่มไวน์อยู่บนโซฟา
เมื่อลี่เฉินซีไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว ซูหยวนเองก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังอีกต่อไป เธอใช้มือข้างหนึ่งสัมผัสไปที่แก้วไวน์ ดวงตาอันเย็นชามองไปที่เธอ “เฉินซีบอกว่าเธอเป็นแม่บ้านที่นี่ ยังไม่รีบมารับใช้ฉันอีก?”
รับใช้ สองคำนี้ซูหยวนตั้งใจพูดออกมาอย่างหนักแน่น มันแฝงไปด้วยความดูถูกเหยียดหยามและเยาะเย้ยอย่างชัดเจน
ดวงตาที่เย็นชาของซูย้าวกระชับขึ้นทันที เธอไม่มีความหวาดกลัวใดๆทั้งสิ้น กลับมองไปยังหล่อนด้วยความรำคาญ เธอไม่พูดอะไรมากได้แต่หันหลังเดินไปทางห้องของตน
ทุกครั้งที่อยู่ตามลำพังกับอู๋หยาน เธอมักจะรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้รู้จักเธอดีเหลือเกิน อีกทั้งยังมีเจตนาที่ไม่ดี ดังนั้นในใจของเธอจึงรู้สึกสงสัยมากขึ้น
แต่ว่าเธอก็ไม่มีเหตุผลหรือหลักฐานใดเพียงพอ ความสงสัยนั้นมักทำให้ตัวเธอเองรู้สึกแปลก ดังนั้นเธอจึงไม่อยากจะไปสนใจอีก
แต่ดูเหมือนซูหยวนจะมองไม่ออกถึงเรื่องเหล่านี้ เธอยังคงนั่งอยู่ที่โซฟา ขาเรียวงามทั้งสองข้างนั่งไขว่ห้างแล้วพูดขึ้น “ได้ยินว่าวันนี้เธอกินอาหารผิดแปลกไป จนทำให้เกือบตายเลยนี่”
“เธอมันโชคดีจริงๆ ทำไมถึงไม่ตายสักทีนะ……”
ประโยคนั้นเธอพูดออกมาอย่างบางเบา แต่ละคำไม่ได้เน้นอะไรให้หนักแน่น ดูเหมือนว่ากำลังพึมพำกับตนเองหรือบ่นอะไรอยู่
แต่ซูย้าวกลับฟังมันชัดถ้อยชัดคำทุกคำพูด เป็นดังที่เธอคิดไหวจริงๆ อู๋หยานผู้หญิงคนนี้อยากจะให้เธอเป็นอันตรายถึงชีวิต มันช่างน่าสงสัยเหลือเกิน!
แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังทำท่าทางไม่สนใจ เนื่องจากว่าเมื่อสักครู่เธอเพิ่งจะได้รับการรักษาจากอาการแพ้อาหาร ประกอบกับ แผลในช่องท้องที่ยังไม่หายดี ตอนนี้เธอจึงเป็นไข้เล็กน้อยและรู้สึกเวียนหัว เธอเดินเพียงไม่กี่ก้าวไปถึงห้องนอน
เมื่อปิดประตูลง ร่างของซูย้าวก็เอนล้มลงบนโซฟาเธอรู้สึกว่าตัวเองเหนื่อยเหลือเกินจึงไม่ได้คิดอะไรมากและหลับไปด้วยความง่วง
เมื่อเธอตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็พบว่าถูกเสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นปลุกเธอตื่น
เธอยกมือขึ้นขยี้ตาด้วยความงุนงงแล้วพยายามลุกขึ้นยืนไปเปิดประตู พบว่าซูหยวนยืนทำท่าทางวางอำนาจอยู่ที่หน้าประตู “เธอนี่เป็นคนรับใช้แบบไหนกัน? กี่โมงกี่ยามแล้วยังไม่รีบทำอาหารเย็นอีก?”
ซูย้าวขมวดคิ้วเข้าหากัน “คุณอู๋มีโทรศัพท์มือถือใช่ไหมคะ? คุณก็เอาโทรศัพท์มือถือออกมาสั่งอาหารกินสิ!”
ดวงตาของซูหยวนชะงักลงเล็กน้อย สายตาอันเต็มไปด้วยความสงสัยและตำหนิพูดขึ้นว่า “แกหมายความว่ายังไง? เป็นแค่แม่บ้าน การทำอาหารให้กับเจ้านายก็เป็นเรื่องสมควรและไม่ใช่หรือไง?”
“แม่บ้าน? เจ้านาย? สมควร?” ซูย้าวพูดคำเหล่านั้นออกมาอีกครั้ง ซึ่งมันฟังแล้วแสลงหูเหลือเกิน ใบหน้าอันขาวซีดของเธอ เผยถึงความเยือกเย็นเล็กน้อย “ถ้าจะบอกว่าฉันเป็นแม่บ้าน ลี่เฉินซีสามารถพูดได้ แต่เกรงว่าคุณยังมีคุณสมบัติไม่พอ”
“แล้วก็เจ้านายเหรอ?” ซูย้าวหัวเราะออกมาเบาๆ ดวงตาของเธอแสดงถึงความดูถูกออกมาอย่างไม่ลดละ “คุณอู๋ อย่างมากสุดคุณก็เป็นได้แขกของที่นี่ คุณกล้าใช้คำว่าเจ้านายได้อย่างไร คุณนี่มันฮึกเหิมเกินไปแล้วนะ จะเปลี่ยนจากแขกมาเป็นเจ้าบ้านหรือไง?”
“แกกล้าหาว่าฉันฮึกเหิมอย่างงั้นเหรอ?” ใบหน้าของซูหยวนเปลี่ยนเป็นโมโหขึ้นมาทันใด
ดวงตาของซูย้าวปรากฏความรำคาญและเบื่อหน่ายออกมา เธอรู้สึกว่าการที่โต้เถียงกับหล่อนนั้นไม่มีความหมายใดๆเลย แล้วก็รู้สึกว่าเป็นการลดตัวลงไปด้วยซ้ำ เธอนำร่างพิงไปที่ขอบประตู พูดออกมาตรงๆด้วยความเย็นชาว่า “ฟังนะคะ ฉันไม่สนใจหรอกว่าคุณจะใช้วิธีอะไรในการเข้าใกล้ลี่เฉินซี และไม่สนใจว่าคุณจะนอนค้างที่นี่หรือไม่ แต่ว่าอู๋หยาน คุณอย่ามาใช้มารยาร้อยเล่มเกวียนเหล่านั้นกับฉันและลูกๆ เรื่องวันนี้มันอาจจะเกิดขึ้นไปแล้วก็ช่างมัน แต่ถ้าหากเกิดขึ้นอีกละก็……”
เธอจงใจไม่ได้พูดต่อแต่หรี่ตาไปมองอีกฝ่ายหนึ่ง “ดูเหมือนว่าคุณจะรู้จักซูย้าวเป็นอย่างดี แต่ฉันไม่ใช่เธอ ดังนั้นฉันจะทำอะไรออกมาบ้าง ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันนะ คุณอยากจะลองดูไหม?”