เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - บทที่ 773 ผมคิดถึงคุณจริง ๆ
จอมหลอกลวง ร้อยเล่ห์พันเหลี่ยม
ซูย้าวอยากจะพูดสิ่งเหล่านี้ใส่เขา แต่กลับพูดไม่ออกสักคำ
แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะ?
เรื่องในครั้งนี้ อานเจียเย้นเลือกที่จะถอยไปหนึ่งก้าว เธอเองจะไปบีบบังคับเขาอีกก็ไม่ได้ เพราะหากยังพยายามจะเอาชนะต่อไป ทุกอย่างที่ผ่านมาคงจะพังทลายไปจนหมด
“คุณอยากให้ฉันแต่งงานออกไปขนาดนั้นเลยเหรอ?” ซูย้าวถามกลับ “หรือคุณคิดว่าชีวิตฉันถ้าไม่มีผู้ชายคอยหนุนหลัง ฉันจะอยู่ต่อไปไม่ได้?”
อานเจียเย้นชะงักไป ก่อนจะถูกเธอทำให้หลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ
วินาทีที่เขายิ้มออกมา ชายหนุ่มดูน่ามองอยู่ไม่น้อย หากรอยยิ้มนี้เป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากใจจริง ๆ ก็คงจะให้ความรู้สึกสดใสกับใครต่อใครที่ได้เห็น ไม่ต่างกับเจ้าชายรูปงาม
แต่น่าเสียดาย ที่ชายหนุ่มเป็นคนที่เก็บซ่อนอารมณ์ได้ดีเกินไป หากไม่ใช่เพราะเสน่ห์และรูปลักษณ์ของเขา คนอื่นคงจะรู้สึกได้ง่าย ๆ ว่าเขาเป็นวายร้าย
เปลือกนอกของคนนี่มันตัดสินทุกอย่างได้จริง ๆ สินะ
ซูย้าวขมวดคิ้วเบา ๆ “ถ้าหากฉันไม่ได้ต้องการจะมีความรักอีกแล้วล่ะ?”
ชายหนุ่มมองมาที่เธอ ก่อนจะเผยรอยยิ้มลึกลับและคาดเดาไม่ได้ออกมา “ปากก็พูดอย่างนี้ แต่ในใจ ก็ปล่อยวางไม่ได้ใช่ไหมล่ะ”
อานเจียเย้นก็ดูคนเป็น แม้บุคลิกเขาจะดูไม่ดีไปบ้าง ทำอะไรก็มีแต่เล่ห์เหลี่ยม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าสายตาของเขาคนนี้มองได้ทะลุปรุโปร่งจริง ๆ
ราวกับว่าเขาสามารถมองทะลุไปจนถึงส่วนลึกในจิตใจของคนได้ ทั้งยังสามารถเก็บรวบรวมและอ่านความในใจอันชั่วร้ายของผู้อื่นได้อีก
เพียงเท่านี้ คนคนนี้ก็ดูน่ากลัวมากเกินพอแล้ว
ซูย้าวหมดคำจะพูดไปชั่วขณะ เธอหลุบตาลงเล็กน้อย ชั่งน้ำหนักอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเธอก็พูดขึ้นมา “เดิมพันครั้งนี้ ฉันยอมรับ แต่ว่า นอกจากสัญญาที่เราทำกันไว้ คุณห้ามเข้ามายุ่งกับฉันอีกนะ”
ความทรงจำเธอยังฟื้นคืนมาไม่หมด แต่ภาพเหล่านั้นที่ปรากฏขึ้นมาในหัวก่อนหน้านี้ ทำให้เธอรู้สึกโกรธเคืองลี่เฉินซีเป็นอย่างมาก
อานเจียเย้นพูดไม่ผิด ในใจของเธอยังปล่อยวางไม่ได้
ถึงแม้เธอจะยอมรับเดิมพันกับเขา ทั้ง ๆ ที่รู้สึกว่ามันดูน่าตลกและไม่ค่อยถูกต้องนัก แต่อย่างน้อยก็ทำให้เขาเก็บมือเก็บเท้าเข้ามาได้ชั่วคราว หลังจากที่เธอจัดการความรู้สึกตัวเองเรียบร้อยแล้ว ค่อยใช้วิธีอื่นตอบโต้กลับไป ก็ถือว่าไม่ได้แย่
อานเจียเย้นพยักหน้ารับเล็กน้อย ก่อนจะยกมือขึ้นลูบหัวเธอเบา ๆ “ผมรับปากคุณ แต่ถ้ามีเรื่องอะไร คุณต้องติดต่อมาหาผมทันทีเลยนะ อย่าแบกรับไว้คนเดียว OK?”
หญิงสาวพยักหน้ารัว พร้อมกับเอนตัวพิงหมอนด้านหลังอย่างหมดแรง ท่าทางไม่อยากจะพูดหรือรับรู้อะไรอีกแล้ว
ยาพิษที่เธอได้รับครั้งนี้ เข้าสู่ร่างกายเธอค่อนข้างมาก ถึงแม้จะพบแพทย์ได้ทันเวลาและทำการรักษาได้ทันท่วงที แต่มันก็ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของเธอไปไม่น้อย ทั่วทั้งร่างจึงไม่สามารถกลับไปแข็งแรงเหมือนอย่างที่เคยเป็นได้
อานเจียเย้นนั่งอยู่ข้าง ชายหนุ่มคอยกำชับเธออีกสองสามประโยค จนท้ายที่สุดก็มีสายเรียกเข้าจากโทรศัพท์ เขาเลยได้เพียงแค่จ้องมองเธอด้วยสายตาลึกซึ้ง ก่อนจะยืดตัวขึ้นแล้วเดินจากไป
เธอนั่งกอดเข่าพิงกับหัวเตียง พร้อมกับเหม่อลอยออกไปเงียบ ๆ
อานเจียเย้นเป็นคนดีรึเปล่า?
แน่นอนว่าไม่ใช่
แต่หากว่าตอนเด็ก ๆ เขาไม่เคยผ่านประสบการณ์เหล่านั้นมา อย่างแม่บุญธรรมของเขาถ้าไม่จากไปเร็วนัก ให้หล่อนได้มีเวลาเลี้ยงดูเขาจนเติบโตขึ้นมาด้วยกัน ถ้าได้เป็นอย่างนั้น เขาในตอนนี้จะเปลี่ยนไปมากแค่ไหนกันนะ?
ผลกระทบที่มันเกิดขึ้น ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของใครบางคนได้มากจนเกินจะจินตนาการจริง ๆ
ถ้าพิจารณาและมองในมุมของคนทั่ว ๆ ไป งั้นอานเจียเย้นก็ถือว่าเป็นคนที่ชั่วร้ายและเลวทรามมากที่สุดคนหนึ่ง ชายหนุ่มสมควรที่จะถูกฉีกร่างออกเป็นชิ้น ๆ จากนั้นก็โยนลงไปในนรก เพราะถึงอย่างไร มือของเขาก็เปื้อนเลือดและสิ่งสกปรกมามากเกินไป
แต่ถ้าหากลองชั่งน้ำหนักและมองในมุมของซูย้าวดู นอกจากเรื่องที่เธอจะรู้สึกว่าเขาคอยคิดแผนการอยู่ตลอดเวลา แล้วมีส่วนเชื่อมโยงไปถึงพวกเด็ก ๆ แล้ว เรื่องสุดท้ายที่เธอทำใจได้ยากมากที่สุด
ccคือเขาเคยช่วยชีวิตเธอมาก่อน และไม่ใช่แค่ครั้งเดียวด้วย
หลังจากที่เขาล้างความทรงจำและตัวตนของซูย้าว เธอก็ยังไม่ยอมทำตามคำสั่งของเพ้ยหยู่เจี๋ย สถานการณ์ในตอนนั้น คือเธอเป็นเพียงผู้หญิงอ่อนแอตัวคนเดียว อยากจะฆ่าหรือเหยียบย่ำให้ตายราวกับมดตัวน้อย ๆ ก็ทำได้อย่างง่ายดาย
หากไม่ใช่เพราะอานเจียเย้นคอยปกป้องเธอครั้งแล้วครั้งเล่า เธอคงจะถูกฆ่าไปแล้วจริง ๆ
ว่ากันว่าบุญคุณของการช่วยชีวิตใครสักคนนั้นมากล้นเหลือเกิน แต่ทำไมเธอถึงได้ยอมใจอ่อนซ้ำไปซ้ำมาแบบนี้
สมมติว่าครั้งนี้ แค่บอกว่าสมมตินะ ถ้าอานเจียเย้นสามารถทำตามสัญญาได้จริง ๆ ไม่ว่าผลสุดท้ายจะออกมาเป็นแบบไหน เธอคงจะตัดสินใจฝืนมันอีกสักครั้งอยู่ดี เพื่อที่จะได้ไม่ทำให้เขาต้องลำบากอีก
ก็ได้แต่หวังว่าคนทั้งคู่จะหมุนวนอยู่ในที่ที่ต่างกัน แต่ต่างคนต่างมีความสงบสุขเป็นของตัวเองก็แล้วกัน
………
ซูย้าวพักอยู่ที่โรงพยาบาลอีกประมาณสองวัน หลังจากสุขภาพร่างกายของเธอหายดีแล้ว หญิงสาวก็ออกจากโรงพยาบาล
อานเจียเย้นให้คนมารับเธอกลับไปคฤหาสน์ แต่ซูย้าวอยู่ที่นั่นได้ไม่ถึงหนึ่งวัน เธอก็เก็บข้าวของก่อนจะบอกลาเขา
“คุณจะกลับไปเร็วขนาดนี้เลยเหรอ?” เขาพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ ชายหนุ่มนั่งพิงโซฟาตัวยาวอยู่ที่ห้องสมุด ในมือถือหนังสือภาษาอังกฤษเล่มหนึ่ง เขาค่อย ๆ พลิกหน้าหนังสือช้า ๆ ไม่ได้มีท่าทีสนใจอะไรต่อการกระทำของเธอเลยสักนิด
ซูย้าวยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องสมุดพร้อมกับกระเป๋าของเธอ “อยู่ที่นี่แล้วไม่ค่อยชินน่ะ ฉันอยากอยู่เงียบ ๆ คนเดียว แต่ว่า ก่อนหน้านี้คุณก็เคยพูดไว้แล้วนี่ เดิมพันนั้นน่ะถือว่านับไหม?”
“ต้องนับอยู่แล้วสิ” เขาตอบพร้อมกับค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น จากนั้นก็วางหนังสือลง “แต่ว่านะ พอคิดว่าคุณกำลังจะวิ่งไปหาผู้ชายคนอื่นเร็วขนาดนี้ แถมยังมีความรู้สึกสิ้นหวังหน่อย ๆ อีก คุณคิดว่า ความรู้สึกนี่เรียกว่าหึงรึเปล่า?”
ซูย้าว “………..”
เขากวักมือเรียกเธอเบา ๆ “มานี่สิ ขอผมกอดหน่อย”
เธอพูดไม่ออกพร้อมกับมีสีหน้าประหม่าขึ้นมาทันที ก่อนจะฝืนหัวเราะแห้ง ๆ ออกมาอย่างเย็นชา “ไม่ล่ะ ท่านประธานผู้สง่างามของ Double Ace กรุ๊ป แถมยังเป็น joke ผู้ยิ่งใหญ่และลึกลับ จะมาหึงฉันนี่นะ อย่ามาล้อกันเล่นหน่อยเลย”
อานเจียเย้นเอียงคอพร้อมกับเอามือนาบแก้มตัวเอง แล้วจ้องไปที่เธอ “ถึงแม้ตัวตนของผมจะพิเศษขนาดนั้นแล้วมันจะยังไงล่ะ? ก็ไม่ใช่ว่าต้องทนนั่งมองผู้หญิงที่ตัวเองแคร์วิ่งไปหาผู้ชายคนอื่นเหรอ?”
ซูย้าวชะงักไปชั่วขณะ รู้สึกราวกับว่าเธอไม่น่าเปิดประเด็นนี้ขึ้นมาคุยกับเขาเลย หญิงสาวขมวดคิ้วแน่น ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันไปก่อนนะ บาย”
อานเจียเย้นมองแผ่นหลังของหญิงสาวที่อยู่ ๆ ก็เดินจากไป นัยน์ตาของเขาปรากฏเกลียวคลื่นอันมืดมนขึ้นเบา ๆ เขาควรจะทำอย่างไรกับผู้หญิงคนนี้ดีนะ?
ทั้ง ๆ ที่รู้ดีว่าหัวใจของหญิงสาวยังปล่อยวางผู้ชายคนนั้นไม่ได้ ทว่าว่าเขาก็ยังไปขอเดิมพันกับเธออย่างไม่เสียดาย เพียงแค่แลกกับการที่เขาต้องวางมือ สุดท้ายแล้ว ชัยชนะนั้นมันจะไปมีประโยชน์อะไร?
………
ซูย้าวออกมาจากคฤหาสน์ช้า ๆ เธอไม่ได้โบกและไม่ได้เรียกรถ แต่เธอกลับเลือกที่จะค่อย ๆ เดินแทนเพื่อพักผ่อนหย่อนใจและได้ไปเดินเลือกซื้อของ เป็นการเปลี่ยนบรรยากาศให้ตัวเอง ซึ่งก็ถือว่าเป็นความคิดที่ไม่เลว
พอคิดได้ดังนั้น เธอก็จะลงมือทำทันที แต่น่าเสียดาย หญิงสาวเดินออกมาจากวิลล่าได้เพียงแค่ห้าร้อยเมตร ข้างทางก็มีรถมาเซราติสีดำคนหนึ่งจอดอยู่
รถหรูแบบนี้จะมาจอดอยู่ในสถานที่หรูหราพอกันก็ไม่ได้น่าแปลกใจอะไร เพราะงั้น ซูย้าวเลยไม่ทันสังเกต เธอเพียงแค่เดินผ่านเลยไปเท่านั้น
หญิงสาวเพิ่งเดินผ่านรถไปเล็กน้อย ทันใดนั้นประตูหลังรถก็เปิดออก
จากนั้นน้ำเสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มคนหนึ่งก็ดังขึ้น “ไม่เจอกันไม่กี่วัน คิดถึงผมรึยัง?”
ฝีเท้าของซูย้าวชะงักไปเล็กน้อย เธอเพียงแค่รู้สึกคุ้นกับน้ำเสียงของอีกฝ่าย แต่ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นต่างประเทศ อีกอย่างใครคนนั้นก็กำลังพาอู๋หยานขึ้นเหนือล่องใต้อยู่ เพราะงั้น เธอเลยไม่อยากคาดเดาอะไรไปทั่ว หญิงสาวจึงก้าวเท้าเดินต่อ
“ดูท่าแล้วคงจะไม่คิดถึงกันเลยสักนิดสินะ ไม่ใช่แค่ไม่คิดถึง ขนาดเสียงของผมยังจำไม่ได้เลย” เสียงของชายหนุ่มดังขึ้นเล็กน้อย น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำและแหบแห้ง ราวกับกำลังดึงดูดคนฟัง ในน้ำเสียงแฝงไปด้วยความผิดหวังนิด ๆ ฟังดูแล้วคล้ายกับกำลังน้อยใจผสมกับการอ้อน
ครั้งนี้ซูย้าวหยุดชะงักจริง ๆ หากก่อนหน้านี้เป็นเพียงการคาดเดา ครั้งนี้การคาดเดาของเธอก็คงกลายเป็นจริงขึ้นมาแล้วล่ะ
“คุณจะคิดถึงผมหรือไม่ไว้ค่อยว่ากัน แต่….” ชายหนุ่มพูดพร้อมกับเดินเข้ามาใกล้เธอ ก่อนที่เขาจะเอื้อมมือเข้ามากอดเธอจากด้านหลัง จากนั้นก็กระชับให้แน่นขึ้น “ผมคิดถึงคุณ”
หญิงสาวตกตะลึง จากนั้นก็เบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ เธอค่อย ๆ หลุบตาลงอย่างไม่อยากจะเชื่อ ก่อนจะเห็นมือหนาของชายหนุ่มโอบเอวเธออยู่ นิ้วขาวเนียนและเรียวยาวราวกับหยกสลัก
ความคุ้นชินนี้ หากไม่ใช่ลี่เฉินซีแล้วจะเป็นใคร?
เธอหันกลับไปด้วยความตกใจ ใบหน้าอันสับสนของเธอค่อย ๆ ประสานเข้ากับใบหน้าอันหล่อเหลาคมคายของชายหนุ่ม
“ผมคิดถึงคุณแล้ว เลยมารับคุณกลับ” ร่างสูงของชายหนุ่ม หลุบตาลงมองเธอ นัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยความคิดถึงและโหยหา “เขาไม่ได้ทำอะไรให้คุณลำบากใจใช่ไหม? ต้องการให้ผมทำอะไรรึเปล่า?”