เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - บทที่ 779 มี "ของ" บางอย่างอร่อยมาก
เที่ยวบินกว่าสิบชั่วโมงผ่านไปในชั่วพริบตา เครื่องบินค่อย ๆ ร่อนลงต่ำ ภาพสิ่งปลูกสร้างเบื้องล่างชัดขึ้นช้า ๆ ซูย้าวรัดเข็มขัดนิรภัย เอนหลังพิงพนักเก้าอี้พร้อมกับเงยหน้าขึ้นแล้วหลับตา
การกลับมาครั้งนี้ จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เธอไม่สามารถไว้ใจอานเจียเย้น และไม่สามารถพึ่งพิงแค่ลี่เฉินซีได้ ยิ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะให้ความสำคัญแค่กับเพ้ยส้าวหลี่ ทุกย่างก้าวต่อจากนี้ เธอจะต้องรอบคอบและระมัดระวังมากขึ้น
เที่ยวบินถึงที่หมายอย่างราบรื่น ลี่เฉินซีผ่านด่านศุลกากรมาพร้อมกับเธอ ชายหนุ่มเข็นกระเป๋าสัมภาระออกมาช้า ๆ โดยมีซูย้าวเดินอยู่ข้าง ๆ ก่อนที่หญิงสาวจะพูดขึ้นว่า “อีกสักพักฉันต้องไปที่ที่หนึ่ง”
“อืม” ชายหนุ่มรับคำเสียงเรียบ
ด้านนอก หวางอี้มารอพวกเขาตั้งแต่แรกแล้ว พอเห็นทั้งคู่เดินออกมา ชายหนุ่มก็พุ่งตัวเข้าไปหาทันที ทว่าลี่เฉินซีไม่ได้ส่งกระเป๋าเดินทางให้เขา กลับส่งมันให้ซูย้าวแทน
หญิงสาวชะงัก “หืม?”
“คุณไม่ใช่ว่าต้องไปที่ที่หนึ่งเหรอ? เรียกรถสิ” ชายหนุ่มพูด แล้วก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ “มีเงินสดไหม? ต้องการให้ผมเอาให้คุณรึเปล่า?”
ซูย้าว “…….”
เธอมองเขาอย่างหมดคำจะพูด แต่ชายหนุ่มไม่ได้สนใจสายตาเธอ เขาหันไปหาหวางอี้พร้อมกับเดินตรงไปทางรถโรลส์ รอยซ์ที่จอดอยู่ทันที
ซูย้าวยืนอยู่ที่เดิมอย่างทำอะไรไม่ถูก เธอมองไปทางเขาที่กำลังจะขึ้นรถ ก่อนจะตัดสินใจทิ้งกระเป๋าสัมภาระไว้แล้วเดินตามไป “คุณหมายความว่าคุณจะให้ฉันไปคนเดียวงั้นเหรอ?”
ชายหนุ่มควรมีความเป็นสุภาพบุรุษอย่างน้อยก็ไปส่งเธอ หรือไม่ก็ถามเธอว่าต้องการให้เขาไปส่งไหม?
ลี่เฉินซีแสร้งทำเป็นเลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่รู้ไม่ชี้ “ถ้าไม่อย่างนั้นล่ะ?”
“คุณ…..” เธอพูดไม่ออกไปชั่วขณะ นี่ใช่ผู้ชายคนก่อนหน้าที่ตั้งใจร้องขอความรักจากเธอบนเครื่องบินรึเปล่า?
ลี่เฉินซีมองมาที่ซูย้าว นัยน์ตาลึกซึ้ง “คุณไม่ได้รับปากว่าจะคบกับผมไม่ใช่เหรอ? งั้นตอนนี้ผมก็ยังไม่ใช่แฟนหนุ่มของคุณ ถ้าคุณอยากจะไป คุณก็ไปคนเดียวเถอะ!”
เธอรู้สึกพูดไม่ออกอีกครั้ง ดูเหมือนว่าที่เขาพูดมาก็มีเหตุผล เราไม่ได้เป็นแฟนกัน ทำไมเขาต้องมาทำตัวเป็นสุภาพบุรุษกับเธอด้วย?
ที่แท้ ผู้ชายคนนี้ก็ใจแคบจริง ๆ
หวางอี้ยืนอยู่ข้าง ๆ มองเถ้าแก่ตัวเองด้วยสายตาประหลาดใจ ท่านนี้ใช่ท่านประธานลี่ในความทรงจำเขารึเปล่า? ทำไมถึงได้มาทะเลาะกับหญิงสาวเหมือน “เด็ก” แบบนี้
ซูย้าวเม้มริมฝีปากบางอย่างหมดแรง วินาทีต่อมา เธอเอื้อมมือออกไปคว้าแขนของชายหนุ่ม เพื่อรั้งเขาให้ลงจากรถ ก่อนจะหันไปพูดกับหวางอี้ว่า “ช่วยขนกระเป๋าของฉันตรงนั้นไปไว้ที่โรงแรมด้วยนะคะ โรงแรมอะไรก็ได้ แล้วค่อยส่งที่อยู่ให้ฉันก็ได้ค่ะ รบกวนด้วยนะคะ”
พูดจบ เธอก็ลากลี่เฉินซีออกมาด้านข้าง บังเอิญมีรถแท็กซี่ผ่านมาพอดี หญิงสาวจึงดึงชายหนุ่มขึ้นรถ พร้อมกับบอกสถานที่ที่จะไป แล้วก็ให้คนขับออกรถทันที
ลี่เฉินซีมองหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ อย่างหมดคำจะพูด จากนั้นเขาก็ก้มหน้าลงมองแขนของตัวเองที่ถูกมือเล็กเกาะกุมไว้ ชายหนุ่มจำได้ว่าใครบางคนเป็นคนพูดขึ้นมาเองว่า ระหว่างเขากับเธอต้องเว้นระยะห่างกันอย่างน้อยสองเมตร?
ดูท่าแล้ว หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าเขาจะชอบปากไม่ตรงกับใจเสียจริง ๆ
ซูย้าวเองก็สังเกตเห็นการนั่งและท่าทางที่สนิทสนมของทั้งคู่แล้วเหมือนกัน เธอจึงปล่อยมือออกอย่างไม่รู้ตัว ก่อนจะขยับออกห่างจากเขา “พาฉันไปที่ที่หนึ่งก่อน”
ลี่เฉินซีไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา หลังจากที่เขาถึงเมือง A ชายหนุ่มก็มีเรื่องมากมายในบริษัทซึ่งกำลังรอให้เขากลับไปจัดการอยู่ จึงเป็นเรื่องปกติที่เขาต้องติดต่อหารองประธานหรืออะไรพรรคนั้นทันที
แต่สายตาและมือของซูย้าวไวกว่า ชายหนุ่มยังไม่ทันได้กดเบอร์ โทรศัพท์ก็ถูกหญิงสาวคว้าไปเสียก่อน
“ตอนนี้อย่าเพิ่งติดต่อใคร” เธอพูดออกมาอย่างรวดเร็ว ท่าทางดูร้อนรน “รอให้ฉันจัดการเรื่องทั้งหมดเสร็จก่อน จากนั้นคุณจะทำอะไรก็ได้”
ลี่เฉินซีหรี่ตาลงเล็กน้อย “หมายความว่าอย่างไร? คุณจะทำอะไร?”
“ตอนนี้คุณอย่าเพิ่งถามเลย อย่างไรคุณก็ต้องช่วยฉันหน่อย” ขณะที่พูด เธอก็เผยรอยยิ้มเรียบ ๆ ออกมา ก่อนจะส่งโทรศัพท์คืนให้เขา “ไม่ว่าอย่างไรก็อย่าเพิ่งติดต่อใคร แล้วก็ห้ามให้ข่าวที่คุณกลับมาที่นี่รั่วไหลออกไปเด็ดขาดด้วย”
แม้ลี่เฉินซีจะรู้สึกไม่เข้าใจอยู่บ้าง แต่เขาก็ยังตามใจเธอ โดยที่เขาไม่ติดต่อใครเลยจริง ๆ แถมยังโทรไปบอกหวางอี้เพื่อเตือนอีกฝ่ายว่าอย่าบอกใครเรื่องที่เขากลับมา
บ่ายวันถัดมา ซูย้าวพาลี่เฉินซีไปยังร้านอาหารเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในแถบชานเมือง เรียกได้ว่าเป็นการทานอาหารหนึ่งมื้อซึ่งใช้เวลากว่าหกถึงเจ็ดชั่วโมงในการกิน จนอาหารกลางวันได้เปลี่ยนเป็นอาหารเย็นแทน
แล้วก็ถือเป็นเรื่องดีระหว่างทั้งคู่ เพราะพวกเขาค่อนข้างขี้เบื่อ ดังนั้น จึงเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องคุยกัน อีกอย่างการสื่อสารกันเงียบ ๆ แบบนี้ สำหรับชายหนุ่ม ก็ถือว่าไม่เลวเลย
แต่น่าเสียดาย ที่ซูย้าวไม่ได้อยากจะสื่อสารอะไรกับเขามาก เพราะความเคยชินของชายหนุ่ม ที่ชอบพูดวนไปวนมา สุดท้ายหัวข้อก็มาโผล่ในเรื่องที่อ่อนไหวทุกที
เช่นเธอเลือกสั่งขนมหวานแบบลวก ๆ มาหนึ่งอย่าง หลังจากที่บริกรนำมาเสิร์ฟ ปรากฏว่ามันคือไอศกรีมที่หมุนได้ถ้วยหนึ่ง ซูย้าวจึงใช้ช้อนตักกินเบา ๆ ทีละนิดทีละนิดอย่างเอร็ดอร่อย
ทว่าลี่เฉินซีกลับเอาแต่จ้องเธอกิน ชายหนุ่มคิดไปคิดมาอยู่ครู่หนึ่ง อยู่ ๆ เขาก็เอ่ยขึ้นว่า “คุณรู้ไหมท่าทางของคุณแบบนี้มันค่อนข้างจะกระตุ้นคนอื่นได้ง่าย ๆ เลยนะ?”
ซูย้าวชะงักไป เธอเอาช้อนคันเล็กออกจากปากตัวเองอย่างไม่รู้ตัว “อะ อะไรนะ?”
เธอนึกว่าตัวเองประสาทหูหลอนหรือได้ยินอะไรพลาดไป แต่ในความเป็นจริงก็ทำให้เธอได้เห็นว่าตัวเองไม่ได้ฟังผิด เพราะลี่เฉินซีอธิบายต่อกับช้อนของตัวเองทันทีว่า “เวลาที่ผู้หญิงกินอะไรในลักษณะนี้ ผู้ชายจะนึกถึงเรื่องบางเรื่องได้ง่าย ๆ น่ะสิ”
พูดจบ เขาก็โน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย พร้อมกับกุมมือบางของเธอ “คุณเดาดูสิว่าผมหมายถึงอะไร?”
ซูย้าวชะงักไป ความคิดที่แสนจะตื้นเขินของเธอ จะไปเข้าใจความคิดที่ลึกซึ้งของเขาได้อย่างไร หญิงสาวทั้งสับสนทั้งมึนงง
ลี่เฉินซียิ้มออกมาโดยที่ไม่พูดอะไร ผ่านไปครู่ใหญ่ พอซูย้าวเห็นรอยยิ้มอันชั่วร้ายของเขา เธอถึงจะเข้าใจสิ่งที่ชายหนุ่มต้องการจะสื่อ!
“คุณ…..” เธอทั้งอายทั้งโกรธ จนไม่อยากจะกินไอศกรีมถ้วยนี้ต่อ
ชายหนุ่มจึงพูดพร้อมรอยยิ้มว่า “จริง ๆ แล้ว ขนมหวานพวกนี้ก็ไม่ได้อร่อยสักเท่าไร รอคุณกลับไป ไว้เดี๋ยวผมจะให้คุณทานของที่อร่อยกว่านี้อีก”
แก้มของซูย้าวเปลี่ยนเป็นสีแดงขึ้นมาทันที ก่อนที่เธอจะกัดฟันพูดกับเขาด้วยความเขินอาย “ลี่เฉินซี! ฉันเคยบอกคุณแล้วนะว่าให้ระวังคำพูดด้วย!”
นี่คือท่านประธานผู้สง่างามของบริษัทลี่ซื่องั้นเหรอ วัน ๆ มีแต่ความคิดสองแง่สองง่าม มันชักจะเกินไปแล้วนะ!
เมื่อเห็นแก้มที่แดงก่ำราวกับลูกมะเขือเทศของเธอ ชายหนุ่มก็ยิ้มกว้างทันที เขาใช้มือข้างหนึ่งสัมผัสริมฝีปากล่างของหญิงสาว นัยน์ตาลึกซึ้งและครุมเครือ “ท่าทางที่คุณโกรธตอนนี้ มันทำให้ผม…”
ไม่ต้องรอให้เขาพูดต่อจนจบ ซูย้าวไม่อยากจะเผลอไผลไปกับคำพูดอาบยาพิษของเขาอีกแล้ว เธอรีบคว้าช้อนตักขนมหวานคำใหญ่ในถ้วยขึ้นมา จากนั้นก็ยัดใส่ปากเขา
ลี่เฉินซี “……”
เขารีบหยิบผ้าเช็ดปากขึ้นมา แล้วคายของหวานในปากทิ้งทันที ชายหนุ่มไม่ชอบของหวาน แต่เขาแค่อยากแกล้งเธอเล่นเท่านั้น ใครใช้ให้เวลาเธอโกรธ ดูเหมือนเม่นน้อยได้ขนาดนี้ เขาเลยอดคิดอยากจะลวนลามเธอบ้างไม่ได้ แถมเขายังคิดอยากจะกดเธอไว้ แล้วก็ใช้ความโหดเหี้ยม…
ลี่เฉินซีไม่ได้คิดต่อไปอีก เพราะอยู่ ๆ ซูย้าวก็ยืดตัวขึ้น พร้อมกับเรียกเขาอย่างร้อนรนว่า “ใกล้จะได้เวลาแล้ว มาเร็ว ตามฉันมา!”
เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย “คุณต้องการจะทำอะไรกันแน่?”
“ไม่ต้องสนใจหรอก ตามฉันมา!” ซูย้าวไม่อธิบายอะไรให้เขาฟังสักนิด หลังจากที่เธอเช็กบิลแล้ว หญิงสาวก็ดึงเขาออกจากร้านอาหารทันที
ขณะนี้เป็นเวลาเกือบสามทุ่ม เธอเรียกแท็กซี่มาหนึ่งคัน ก่อนจะตรงไปยังคฤหาสน์ตระกูลเพ้ย หลังจากลงรถ ลี่เฉินซีก็มองเห็นวิลล่าที่ตั้งอยู่ไม่ไกล นัยน์ตาเขาเต็มไปด้วยเกลียวคลื่น “ซูย้าว หากคุณต้องการให้ผมเข้าไปดูคุณกับเพ้ยส้าวหลี่พลอดรักกันล่ะก็ ถ้าคุณกล้าก็ลองดูสิ!”
ซูย้าวขมวดคิ้วถมึงทึงขึ้นมาทันที “คุณพูดไร้สาระอะไร?”
เธอดึงมือเขาหลบหลีกกล้องวงจรปิดมากมาย ก่อนจะเลือกใช้ถนนเงียบ ๆ สายหนึ่งเดินอ้อมพาเขาไปยังสวนด้านหลังของคฤหาสน์ตระกูลเพ้ยหลังจากมองไปบนกำแพงที่สูงประมาณสองเมตร เธอก็ก้าวเท้าเข้าไปกดไหล่ชายหนุ่มลง “คุณคุกเข่าลง ฉันจะปีนขึ้นไป”
นัยน์ตาของลี่เฉินซีมืดครึ้มขึ้นมาทันที ใบหน้าหล่อเหลาแข็งทื่อ “คุณว่าอะไรนะ?”
เขาเป็นถึงท่านประธานผู้สง่างามแห่งบริษัทลี่ซื่อ แต่เธอต้องการให้เขาศิโรราบ เป็นแท่นรองเท้าให้เธอนี่นะ?!