เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - บทที่ 794 เธอไม่ใช่คนที่คุณจะเข้าไปยั่วยุได้
“ฉัน…..”
สีหน้าของซูหยวนเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองและยากจะยอมรับ ความไม่พอใจทั้งหมดทั้งมวลแผ่ออกมาอย่างเห็นได้ชัด แต่เมื่อเจอเข้ากับสีหน้าที่แสนจะเย็นชาของหลินเจว๋หญิงสาวก็ทำได้เพียงสะกดกลั้นอารมณ์ไว้
ซูหยวนเองก็เลิกกับเจี่ยงหลินไปแล้ว ในช่วงเวลาที่สิ้นหวังที่สุดของเธอ หญิงสาวก็บังเอิญเจอเข้ากับคนของอานเจียเย้น ก่อนที่เธอจะได้รับการช่วยเหลือจากเขา ซึ่งในตอนนั้นเธอก็ได้พบกับอู๋หยาน ผู้ที่ต้องการหาคนมาสวมรอยเป็นตัวเองชั่วคราว นี่เลยทำให้เธอได้เจอกับละครเปลี่ยนหน้าฉากใหญ่ แล้วจึงเกิดเรื่องราวต่างๆ มากมายตามมาทีหลัง
เรียกได้ว่า ถ้าไม่มีอานเจียเย้น เธอในวันนี้อาจจะซ่อนตัวจากภาระหนี้สินอยู่ก็ได้ ไหนจะต้องหลบหนีจากเจี่ยงหลินอยู่ตลอดๆ อีก คงไม่ต่างจากหนูในท่อระบายน้ำเลยสักนิด อาจจะต้องมีชีวิตอยู่อย่างต่ำตมและโสโครก!
อานเจียเย้นเป็นผู้มีพระคุณของเธอ แต่ในขณะเดียวกันการมีอยู่ของเขาก็ลึกลับเกินกว่าจะจับต้องได้! เพราะตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ แม้เพียงเสี้ยวหน้าของอานเจียเย้นเธอก็ไม่เคยได้เห็น ทุกครั้งที่เขาติดต่อเธอมา ก็มีแค่พวกลูกน้องของเขาเท่านั้น เพราะงั้นสำหรับคนที่ได้รู้จักแค่ชื่อ แต่ไม่เคยเห็นตัวมาก่อน มันทำให้เธอทั้งกลัวทั้งสงสัย
หลินเจว๋เองก็ขมวดคิ้วอย่างหมดความอดทน ชายหนุ่มหยิบบุหรี่ออกมาจุด ก่อนจะพูดขึ้นว่า “เป็นนางจิ้งจอกเชื่องๆ คอยติดต่อกับลี่เฉินซีก็พอแล้ว ส่วนเรื่องอื่นคุณไม่ต้องยุ่งหรอก แล้วก็อย่าคิดที่จะไปสะกิดคุณอานล่ะ เธอไม่ใช่คนที่คุณจะเข้าไปยั่วยุได้”
“อีกอย่าง ทำเวลาหน่อยก็ดี ถ้ารอให้ได้โครงการนี้มาเรียบร้อยแล้ว แล้วคุณค่อยเคลื่อนไหว ผมก็เกรงว่าทางท่านประธานอานอาจจะรอไม่ได้ เอาเป็นว่ารีบหน่อยก็ดี!”
ซูหยวนเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ “คุณพูดเหมือนมันง่าย ฉันบอกแล้วไง ว่าลี่เฉินซีเริ่มสงสัยฉันแล้ว ตอนนี้เขาก็ไม่ให้ฉันไปโรงพยาบาลด้วย ไหนจะลูกชายของเขาที่ชื่อลี่หมิงอีก เด็กนั่นคอยจับตาดูฉันทุกฝีก้าว ไหนคุณบอกมาสิ ว่ามันยังพอมีวิธีไหนอีก?”
พอนึกถึงลี่หมิง ในใจของซูหยวนก็มีประกายความชั่วร้ายพลุ่งพล่านขึ้นมาทันที
เด็กคนนี้มีบางอย่างที่แปลกไป ปกติเวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่น เด็กชายจะดูเหมือนเด็กน้อยอายุเจ็ดขวบผู้ไร้เดียงสา แต่นั่นมันก็แค่ภาพลวงตา เด็กนั่นไม่ต่างอะไรกับปีศาจ อายุเท่านั้น ไม่ใช่แค่รู้เรื่องต่างๆ เป็นอย่างดี เขายังมี IQ ที่สูงมากอีกด้วย
กระทั่งตอนนี้เธอยังสงสัยอยู่เลยว่า เรื่องที่เธอแพ้ครีมบำรุงผิวหน้า มันอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเด็กคนนี้ด้วยรึเปล่า!
ถ้าไม่อย่างนั้นครีมบำรุงผิวที่เธอใช้มาตลอดเจ็ดแปดปี อยู่ดีๆ จะมาแพ้ได้อย่างไร แถมยังรุนแรงจนเธอเกือบเสียโฉมไปเลย โชคดีที่ยังรักษาได้ทันเวลา…..
ไม่ใช่แค่เรื่องนี้ ช่วงประมาณสองเดือนก่อน ตอนที่ลี่เฉินซีพาซูย้าวกลับมา เธอต้องไปอยู่โรงพยาบาลกับลี่หมิง ขณะที่เธอกำลังดื่มกาแฟไปเรื่อยๆ จนกาแฟหมด อยู่ๆ เธอก็เจอหัวเข็มฉีดยาอยู่ในแก้ว
แถมยังเป็นหัวเข็มที่เคยถูกคนใช้แล้วอีกด้วย!
ในตอนนั้นเธอตกใจจนทำอะไรไม่ถูก แต่ลี่หมิงกลับมีท่าทีเป็นปกติ นิ่งสงบเป็นธรรมชาติ อีกทั้งยังหันมายิ้มน้อยๆ ให้เธอ ก่อนจะพูดขึ้นมาหนึ่งประโยคว่า “ดูท่าครั้งนี้หัวเข็มจะใหญ่เกินไป ครั้งหน้าเปลี่ยนให้เล็กลงหน่อยดีกว่า”
“คุณน้าครับ ลองทายดูสิ ว่าคนที่เขาเคยใช้เข็มนี้เขาป่วยเป็นโรคอะไร? ถ้าสมมติผมบอกว่าเขาเป็นโรคเอดส์ คุณน้าจะทำอย่างไรครับ?”
ซูหยวนไม่มีวันลืมแน่ๆ แววตาที่เด็กคนนั้นมองเธอ ทั้งดุดันและเฉียบคม รอยยิ้มที่แสนจะเจ้าเล่ห์ ราวกับมีภูตผีสิงอยู่ในนั้น มันน่ากลัวเกินไป!
ถ้าซูย้าวคลอดลูกออกมาแล้วเป็นเหมือนกับเธอหมดทุกคน นั่นคงไม่ถือว่าเป็นเรื่องดีสักเท่าไร!
สีหน้าจนปัญญาของหลินเจว๋ค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น “สรุปแล้วคุณจะเอาอย่างไร ผมก็บอกไปแล้ว ว่าถ้าคุณทำงานนี้ไม่ได้ ตัวคุณก็ไม่มีค่าอะไรเลย แล้วคุณรู้ไหนว่าท่านประธานอานจะจัดการอย่างไรกับขยะแบบคุณ?”
เขาครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ “ดูเหมือนว่าคงไม่ต้องรอให้ท่านประธานอานออกโรงหรอก ผมน่าจะจัดการแทนท่านได้ เหมือนกับที่คุณเคยจัดการกับอู๋หยานตัวจริงอย่างไรล่ะ……”
ต่อจากนั้นหลินเจว๋ก็ไม่ได้พูดอะไรเพิ่ม เขาจงใจลากเสียงออกไปด้วยแววตาเย็นชา ท่าทางเหี้ยมโหดไม่ต่างจากสัตว์ร้ายที่หลุดออกมาจากกรง แลดูพร้อมจะขย้ำเธอขึ้นมาทันที
ซูหยวนตกใจจนวิญญาณแทบจะหลุดออกจากร่าง เธอสูดลมหายใจเย็นๆ เข้าปอด ก่อนจะฝืนบังคับความกลัวและความตื่นตระหนกในใจไว้ พร้อมกับพยักหน้ารับช้าๆ “ได้ ฉันจะหาวิธี….”
“พูดแบบนี้ตั้งแต่แรกก็จบแล้ว!” หลินเจว๋เหลือบมองเธอด้วยแววตารำคาญใจ จากนั้นก็ไล่เธอลงจากรถ ก่อนจะขับออกไปทันที
………
ส่วนอีกด้าน หวางอี้ได้ให้ลูกน้องอัดเสียงการสนทนาทั้งหมดไว้ พร้อมกับส่งให้ลี่เฉินซี
การสนทนาระหว่างชายหญิงทั้งสองดังผ่านคอมพิวเตอร์ออกมา สีหน้านิ่งเรียบของลี่เฉินซีไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง ในภาพรวมแล้ว ก็ไม่ได้ต่างจากที่เขาคาดเดาไว้สักเท่าไร
“อู๋หยาน” เป็นคนที่อานเจียเย้นส่งมาจริงๆ แต่เรื่องที่พวกเขาตกลงกันอย่างไร แม้เขาจะไม่รู้รายละเอียด แต่ก็ดูออกว่ามีหลินเจว๋เป็นสื่อกลางในการส่งข้อมูล
ด้านหวางอี้ที่ยืนอยู่ด้านข้างๆ ก็เอ่ยถามขึ้นเบาๆ ว่า “ท่านประธานลี่ครับ ในเมื่อคุณอู๋ดูน่าสงสัยจริงๆ แถมเรายังหาหลักฐานได้แล้วด้วย ต่อให้เราไม่ทำอะไรเธอในตอนนี้ แต่ในส่วนของโครงการเหมืองแร่คาราเวอไรต์ พวกเรายัง…..”
“ทำ” ลี่เฉินซีตอบกลับเสียงเรียบ คำเพียงคำเดียวก็ครอบคลุมหมดทุกอย่าง แสดงให้เห็นถึงความแน่วแน่ “ไม่ใช่แค่ต้องทำ แต่ต้องชนะการประมูลด้วย”
เก็บโครงการนี้ไว้ มันยังมีประโยชน์สำหรับเขา
หวางอี้ขมวดคิ้วแน่น “แต่ไม่ใช่ว่าคุณซูเธอเตือนคุณแล้วเหรอครับ? แถมวันนี้เธอยังมาหาคุณเป็นการส่วนตัวอีก ดูเหมือนจะเป็นเพราะเรื่องนี้ด้วย ทำไมคุณไม่ลองฟังเธอหน่อยล่ะครับ ถ้าหากว่าโครงการนี้มีปัญหาขึ้นมาจริงๆ ….”
เพราะถึงอย่างไรการประมูลครั้งนี้ก็มีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง และเมื่อสำเร็จแล้วจำนวนเงินที่ต้องลงทุนก็ค่อนข้างมากเช่นกัน หากก้าวพลาดเพียงเล็กน้อย ก็อาจจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่หลากหลายด้วย ที่หวางอี้ต้องกล่าวเตือนเขาหลายต่อหลายครั้ง ก็เป็นเพราะอีกฝ่ายหวังดี
ลี่เฉินซีเอนศีรษะพิงพนักเก้าอี้ ก่อนจะยกมือขึ้นนวดขมับเบาๆ “ไม่เป็นไร แค่ทำต่อไปก็พอ”
ความเป็นห่วงของซูย้าวเขาเข้าใจดี
แต่เขาเองก็มีแผนการและแนวทางของเขาเอง ซึ่งเขายังไม่สะดวกที่จะอธิบายทีละขั้นตอนให้เธอฟัง ในตอนนี้ยิ่งเธอรู้เรื่องน้อยมากเท่าไร ก็จะปลอดภัยสำหรับเธอเท่านั้น
หวางอี้ก้มหน้าลงด้วยความเคารพ “ครับ ผมจะไปจัดการ แต่ว่า ดูท่าแล้วคุณอู๋เธอเหมือนกำลังคิดจะทำอะไรกับคุณสักอย่าง คุณเองก็ระวังไว้ด้วยนะครับ”
พอได้ยินดังนั้น ลี่เฉินซีก็อดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มเย้ยหยันออกมา นัยน์ตาชายหนุ่มกระเพื่อมเบาๆ อย่างยากที่จะคาดเดา
…….
ตกเย็น ซูย้าวนั่งโมโหอยู่ที่บ้านคนเดียวเงียบๆ
เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอารมณ์พลุ่งพล่านเหล่านี้มาจากไหน แต่ในใจกลับรู้สึกเหมือนมีบางอย่างอัดแน่นอยู่ แถมยังอยากจะระบายมันออกมาด้วย ทว่าหญิงสาวก็แอบรู้สึกว่ามันดูไร้เหตุผลเกินไป เธอจึงทำได้เพียงอดกลั้นอารมณ์อยู่คนเดียวและพยายามให้มันค่อยๆ จางหายไปเอง
แต่คิดไปคิดมา ก็ไม่ใช่ว่าเธอแค่เห็นความสนิทสนมของลี่เฉินซีกับอู๋หยานหรอกเหรอ ชายหนุ่มทั้งยื่นมือออกไปช่วยสร้างบริษัท TD จำกัดให้หล่อน ตอนนี้ยังจะเอาชนะการประมูลเพื่อมอบเป็นของขวัญให้อีก
สำหรับลี่เฉินซี การใช้เงินเพื่อผู้หญิงสักคน มันก็ไม่ได้หนักหนาอะไรอยู่แล้ว
อีกอย่างทั้งตัวลี่เฉินซีกับอู๋หยานเองก็มีศักดิ์ฐานะที่เท่าเทียมและเหมาะสมกัน ต่อให้จะมีอะไรจริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องปกติหรอกเหรอ?
ดังนั้นซูย้าวถึงได้คิดแล้วคิดอีก ว่าตัวเองไม่ได้มีเรื่องอะไรทำไมต้องมากลัดกลุ้มไม่พอใจด้วย? นี่มันไม่น่าขันเกินไปหน่อยเหรอ?
หรือว่า เธอจะหวั่นไหวหรือมีความรู้สึกอะไรให้กับเขาแล้ว?
ความคิดนี้ เกิดขึ้นเพียงแวบเดียวก็หายออกไปจากในหัวเธอทันที เป็นไปไม่ได้ ไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอน เธอนี่นะจะตกหลุมรักลี่เฉินซี ไม่มีทาง
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เขาเคยทำร้ายเธอก่อนหน้านี้ ถึงแม้เรื่องในอดีตเหล่านั้นจะไม่เคยเกิดขึ้น แต่ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันแล้ว อย่างมากเธอก็แค่แสดงละครไปกับเขาเท่านั้นล่ะ หวั่นไหวเหรอ ล้อกันเล่นรึไง?!
พอคิดได้ดังนี้ ในใจหญิงสาวก็เบิกบานขึ้นมาพอสมควร เธอเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดสำหรับออกกำลังกาย ก่อนจะขึ้นไปเต้นแอโรบิกที่ฟิตเนสชั้นบน
แต่อาจเป็นเพราะในหัวของเธอมีเรื่องให้คิดมากเกินไป ท่าแอโรบิกดีๆ จึงถูกเธอทำให้มั่วไปหมด ซูย้าวเลยถอดใจ ก่อนจะหันไปเล่นโยคะแทน
หญิงสาวใช้มือทั้งสองข้างยันเสื่อโยคะไว้ ก่อนที่ร่างบางและยืดหยุ่นของเธอจะเหยียดขึ้นบนอากาศสองสามที ท่าทางไม่ต่างจากนกน้อยที่กำลังบิน แผ่วเบาราวกับนกนางแอ่น
ทันใดนั้น อยู่ๆ ก็มีภาพบางอย่างผุดขึ้นมาในหัวเธอ ใบหน้าของซูหยวนในความทรงจำ หลอมรวมเข้ากับใบหน้าของอู๋หยานในปัจจุบันซ้ำไปซ้ำมา
ทว่า คนหนึ่งคือซูหยวน ส่วนอีกคนคืออู๋หยาน ทั้งๆ ที่หน้าตาไม่เหมือนกัน อีกอย่างคนสองคนที่มีฐานะและภูมิหลังแตกต่างกัน จะกลายมาเป็นคนคนเดียวกันได้เหรอ?
แม้มันจะดูแปลกประหลาดและน่าตกใจ แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้นี่
ถ้าหากเป็นอย่างนั้นจริง งั้นลี่เฉินซี…..
ขณะที่หญิงสาวกำลังคิด มือข้างหนึ่งของเธอก็อ่อนแรงลง ทำให้เธอเกิดเสียการทรงตัว จนเกือบจะล้มลงกับพื้น แต่ทันใดนั้น ร่างสูงของชายหนุ่มก็พุ่งเข้ามาด้วยความว่องไว ก่อนจะรับตัวเธอในอ้อมแขนได้อย่างแม่นยำ