เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - บทที่ 803 เรื่องด่วน
ลี่เฉินซีนำเอกสารไปวางข้างๆ พร้อมกับเอนหลังพิงเก้าอี้ ยกมือกอดอกมองมาที่เธออย่างเรียบนิ่งและรับฟัง ขมวดคิ้วมุ่นเอ่ยถามว่า “คุณกลัวเขาขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“กลัว?”ซูย้าวพึมพำอย่างแปลกใจ ราวกับกำลังไม่พอใจและระคายหูกับคำนี้ แต่พอลองคิดตามคร่าวๆ ก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรผิดแปลก เธอจึงก้มหน้าลงเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “ใช่ ฉันกลัวเขา กลัวมากๆ ”
เธอแสดงออกว่ายอมรับ แต่กลับไม่ได้รู้สึกว่าผิดปกติอะไร “คุณไม่รู้จักเขาดีพอ ก็อย่าไปลองดีท้าทายกับคนอย่างเขาเลย แค่เอาตัวเองให้รอดก็เก่งมากกว่าอะไรแล้ว”
คนคนหนึ่ง ทำไมถึงได้ทำให้คนอื่นหวาดกลัวได้ถึงขนาดนี้?
นอกจากวิธีจัดการคนที่โหดเหี้ยมเลือดเย็นตลอดเวลาแล้ว มากไปกว่านั้นคือ ฐานะของคนคนนี้ รวมไปถึงภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่และอำนาจที่กุมอยู่ในมือ
ถ้าอานเจียเย้นมีแค่ตัวคนเดียว ซูย้าวก็คงไม่กลัวมากขนาดนี้ แต่เมื่อนึกถึงทุกอย่างที่เขามีอยู่ในมือ อำนาจมหาศาลที่ครอบคลุมไปทั่วราวกับเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ก็ทำให้เธอไม่กล้าหือด้วยแล้ว
นอกจากนี้ ยังมีอีกอย่าง เธอรู้จักอานเจียเย้นเป็นอย่างดี คนคนนี้ไม่เคยออมมือให้ใคร และไม่มีความเห็นใจอะไรทั้งนั้น
ไม่มีเส้นตายและไม่มีหลักเกณฑ์ ขอแค่เขาพอใจและมีความสุข ต่อให้ต้องเสียหายแค่ไหน ต่อให้ต้องสร้างความเจ็บปวดให้คนอื่นเท่าไหร่ เขาก็ไม่มีความหวั่นเกรงและความเห็นใจให้ใครทั้งนั้น
จุดนี้ คือขั้วตรงกันข้ามระหว่างเขากับลี่เฉินซีโดยสิ้นเชิง
ใบหน้าหล่อเหลาของลี่เฉินซีพลันอึมครึม แววตาก็เปลี่ยนเป็นมืดครึ้ม ริมฝีปากบางกระตุกเป็นรอยยิ้มบางเบาอย่างเย้ยหยัน แฝงความนัยเข้มข้น “เพราะกลัวเขา ถึงได้หลีกเลี่ยงผมแบบนี้ใช่ไหม?”
ซูย้าวชะงักนิ่งไปชั่วครู่ สติที่เหลืออยู่พลันนึกขึ้นมาทันทีว่าเขาหมายถึงอะไร จากนั้นจึงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เอ่ยพูดขึ้นมาทันทีว่า “ฉันไม่ใช่แค่กลัวเขานะ แต่กลัวคุณด้วย โอเคไหม!”
ทำไมเอะอะก็เอาแต่พูดถึงเรื่องนี้นะ เธอขมวดคิ้วอย่างเพลียใจ จากนั้นก็ยืดตัวตรง “ไม่รบกวนเวลางานคุณแล้ว ฉันกลับก่อนแล้วกัน”
ลี่เฉินซีจับสังเกตได้ว่าเธอตั้งใจปกปิดความวุ่นวายที่กำลังแสดงอยู่บนสีหน้า คิ้วคมจึงเลิกขึ้น พร้อมกับเสมองไปที่เธอ เขาหันไปเปิดลิ้นชักแล้วหยิบกุญแจพวงหนึ่งออกมา “นี่กุญแจ”
เขาพูดพร้อมกับโยนกุญแจไปให้เธอ
เนื่องจากระยะห่างระหว่างทั้งสองคนไม่ได้ไกล ซูย้าวได้ยินจึงหันไปมอง ในตอนที่กุญแจถูกโยนมา เธอก็รับเอาไว้ได้อย่างแม่นยำ กระนั้นก็ยังคงงงอยู่ดี “กุญแจอะไร?”
“กุญแจคฤหาสน์ รหัสเข้าห้องคือวันเกิดของคุณ”เขาเอ่ยพูดอย่างเรียบนิ่ง
ต่อมา ซูย้าวก็แสดงสีหน้าเบื่อหน่ายออกมาทันที “กุญแจคฤหาสน์ของคุณ แล้วเอามาให้ฉันทำไม?”
เธอแค่บอกว่าจะกลับ ไม่ได้บอกว่าจะกลับคฤหาสน์ของเขาเสียหน่อย ทำไมคบกันแล้วต้องไปอยู่ด้วยกันทันทีเลยล่ะ?
“คุณว่ายังไงนะ?”เขาเลิกคิ้วเบาๆ ท่วงท่าสง่า แววตาหม่นแสง “ตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอ? ว่าคืนนี้จะไปค้างที่บ้านผม คุณนั่งรอสักครู่ แล้วเดี๋ยวเราค่อยกลับพร้อมกันดีไหม?”
“คุณ……”ซูย้าวพูดอะไรไม่ออกชั่วขณะ ไปตกลงตอนไหน?!เขาพูดเองเออเองต่างหาก!
ไม่ว่าจะตอนไหน เรื่องอะไร เขาก็ชอบทำตัวเผด็จการจนกลายเป็นนิสัย ชาตินี้คงแก้ไม่หาย แล้วเธอจะไปพูดอะไรได้?
ซูย้าวมองผ่านครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดกับเขาเรื่องนี้อีก จึงรับกุญแจมา ขณะที่หันหลังเตรียมจะเดินออกไปข้างนอก ก็โบกมือให้เขาที่อยู่ข้างหลัง เอ่ยพูดว่า “บาย”
ลี่เฉินซีกระตุกมุมปากเล็กน้อย หลุบตาลงเพื่อทำงานต่อ แต่ในตอนนั้นเองจู่ๆ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา
เป็นโทรศัพท์อีกเครื่องที่เอาไว้ใช้เฉพาะเวลาส่วนตัวของเขา
เมื่อเห็นเบอร์ที่โชว์หราอยู่บนหน้าจอ มุมปากได้รูปของเขาก็หยักลึกเป็นรอยยิ้ม เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เอ่ยพูดอย่างเป็นธรรมชาติว่า “ว่าไงเจิ้งเอ๋อ……”
ซูย้าวที่กำลังเดินไปถึงหน้าประตูพลันหยุดฝีเท้า เนื่องจากได้ยินคำเรียกของอีกฝ่าย
ลูกสินะ
ไม่รู้ว่าปลายสายพูดอะไรบ้าง โครงหน้าหล่อเหลาของลี่เฉินซีถึงได้เปลี่ยนไปภายในชั่วพริบตา แววตาหล่อร้ายกลายเป็นลนลาน ท่าทางร้อนรนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “ใจเย็นๆ เจิ้งเอ๋อดูน้องไปก่อนนะ เรื่องหมิงเอ๋อ เดี๋ยวพ่อจัดการเอง อย่าเพิ่งใจร้อน ปลอบซีซีให้ใจเย็นก่อนนะ…”
หลังพูดจบ เขาก็วางสายอย่างรวดเร็ว แล้วต่อสายหาหวางอี้ เมื่อหวางอี้รับสาย ก็ตรงมาที่ห้องทำงานด้วยความเร็วที่ไวที่สุด
เมื่อหวางอี้เห็นซูย้าว ก็โค้งทักทายเป็นอันดับแรก จากนั้นค่อยเดินตรงมาหาลี่เฉินซี “ประธานลี่ มีอะไรเหรอครับ?”
“รีบติดต่อหมอและพยาบาลของโรงพยาบาลเอกชนที่ดีที่สุด และหาไฟท์บินที่เร็วที่สุดไปรับหมิงเอ๋อ เขากำลังป่วย!”ลี่เฉินซีออกคำสั่งอย่างรวดเร็ว
หวางอี้ได้ยินดังนั้น ก็รู้ในทันทีว่าต้องไม่ใช่แค่เป็นไข้ธรรมดาแน่ จึงรีบพยักหน้ารับทราบ แล้วหันหลังเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
ซูย้าวเองก็ได้ยินจึงพุ่งเข้ามาหาอย่างร้อนใจ “หมิงเอ๋อป่วยเหรอ? ป่วยเป็นอะไร?”
ลี่เฉินซีผุดตัวลุกขึ้นอย่างร้อนรน มือหยิบเสื้อสูทตัวนอก พร้อมทั้งอธิบายเสียงเบา “ตอนนี้ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ เจิ้งเอ๋อบอกว่าหมิงเอ๋อไปได้ไม่ทันไรก็ป่วย วันนี้ป่วยเป็นวันที่สองแล้ว และอาการก็หนักมาก ตอนนี้หมอและพยาบาลเริ่มรับมือไม่ถูกแล้ว!”
เขาพูดพร้อมกับเดินอ้อมโต๊ะทำงานมาตบไหล่เธอเบาๆ เพื่อปลอบโยน “ไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วง ผมให้คนไปรับหมิงเอ๋อกลับมาแล้ว จะต้องไม่เป็นอะไรแน่นอน”
ในหัวของซูย้าวราวกับมีเสียงระเบิด ตั้งรับไม่ทันจนหน้าเริ่มซีด กำมือเข้าหากันแน่นอย่างควบคุมไม่ได้ “หมิงเอ๋อ……”
เด็กคนนี้อายุยังน้อย เคยหายตัวไปตั้งห้าปี กว่าจะตามกลับมาได้ กว่าพวกเขาสองแม่ลูกจะเจอกันก็ไม่ใช่ง่ายๆ ถ้าเกิดเด็กคนนี้เป็นอะไรไป……
เธอแทบไม่กล้าจินตนาการต่อ จึงพยายามระงับความคิดในแง่ร้ายเอาไว้ พยายามใจเย็นแล้วเดินตามเขาออกไปข้างนอก พร้อมกับเอ่ยขึ้นมาว่า “ทำไมจู่ๆ ก็ป่วยล่ะ? ตอนไปก็ดีๆ อยู่ไม่ใช่หรือไง?”
ลี่เฉินซีเองก็ไม่รู้ว่าควรอธิบายอย่างไรกับสิ่งนี้ ในสายโทรศัพท์เจิ้งเอ๋อเองก็ไม่ได้บอกละเอียดเท่าไหร่ แต่ว่า ไม่กี่วันก่อนที่วิดีโอคอลกับคุณพ่อ หมิงเอ๋อยังกระโดดโลดเต้นอยู่เลย ไม่รู้ทำไมจู่ๆ ถึงได้……
ลี่เฉินซีเองก็พยายามข่มอารมณ์เอาไว้ พร้อมกันนั้นก็ปลอบซูย้าวเรื่อยๆ ทั้งสองขับรถตรงมาที่สนามบิน เนื่องจากทางลี่หมิงเพิ่งขึ้นเครื่องบินมาได้ไม่นาน พวกเขาจึงต้องรอหนึ่งชั่วโมงเต็มๆ เวลาแห่งการรอคอยนานมากเท่าไหร่ แต่ละวินาทีก็ผ่านไปอย่างทรมานมากเท่านั้น
ในที่สุด เวลาเกือบค่อนคืนช่วงตีสอง เครื่องบินก็ลงจอดที่เมืองA ตอนที่ลี่หมิงถูกนำตัวลงมาจากเครื่องก็มีพยาบาลและคุณหมอประจำตัวตามประกบตลอด ทางสนามบินมีรถพยาบาลมารอรับอยู่ก่อนแล้ว จึงสามารถนำตัวลี่หมิงส่งไปที่โรงพยาบาลได้ทันที
ซูย้าวกับลี่เฉินซีอยากเข้าไปหา แต่กลับถูกคุณหมอห้ามเอาไว้ “ประธานลี่ จากการสังเกตเบื้องต้น อาการป่วยของเด็กคนนี้อาจจะเป็นโรคติดต่อ ตอนนี้ห้ามสัมผัสโดนตัวเด็ดขาด……”
คำพูดของคุณหมอไม่ได้มาจากการคาดเดาลอยๆ ระหว่างที่อยู่บนเครื่องบิน จนถึงเครื่องลงจอด เหล่าบุคลากรทางการแพทย์ต่างสวมใส่ชุดป้องกันติดเชื้อคอยสังเกตอาการเตรียมรับมืออยู่ไม่ห่าง
ในหัวของซูย้าวสั่นสะเทือน เสียงสั่นๆ เอ่ยพูดอย่างแปลกประหลาดใจ “โรค โรคติดต่อ……”
“พวกคุณไม่ต้องกังวลนะครับ หลังจากที่หมิงเอ๋อมีอาการป่วยเขาก็อยู่ที่โรงพยาบาลตลอด คุณชายใหญ่กับคุณหนูก็ถูกกักตัวไม่ให้เข้าใกล้ ไม่มีทางติดเชื้อแน่นอน สบายใจได้ครับ”
คุณหมอสรุปให้ฟังคร่าวๆ จากนั้นก็หันไปอธิบายอาการป่วยอย่างละเอียดให้หมอฉุกเฉินที่รับผิดชอบต่อ หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จ คุณหมอถึงได้กลับไป
ลี่หมิงถูกส่งเข้าห้องฉุกเฉิน เมื่อมาถึง ก็พบว่าทางโรงพยาบาลสร้างพื้นที่กักตัวเดี่ยวๆ ไว้ให้ ห้ามให้ใครเข้าไปข้างในเด็ดขาด การตรวจสอบอย่างละเอียดจึงเป็นไปอย่างเข้มข้น
ซูย้าวยืนอยู่บริเวณทางเดิน ตลอดทางในหัวของเธอขาวโพลนไปหมด ไม่กล้าจินตนาการว่า ตอนที่คุณหมอเดินออกมา จะนำผลแบบไหนออกมาด้วย
เธอรู้สึกกลัว ไม่กล้าเผชิญหน้ากับผลลัพธ์ในแง่ร้าย
ลี่เฉินซีอ้าแขนรับเธอเข้ามาในอ้อมกอด พร้อมกับตบไหล่เธอเบาๆ “ไม่เป็นไรนะ หมิงเอ๋อจะต้องไม่เป็นอะไร เราอย่าเพิ่งกังวลไปก่อนเลย เราต้องเชื่อในตัวหมิงเอ๋อ เขาเป็นลูกของผมกับคุณ เขาต้องผ่านมันไปได้แน่ๆ ……”
แม้จะพูดอย่างนี้ แต่ซูย้าวก็เห็นความหวาดหวั่นและสับสนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในแววตาของชายหนุ่ม แม้ว่าปากจะกำลังปลอบโยนเธอ แต่ในใจของเขา กลับกำลังร้อนรนเสียยิ่งกว่าใคร
หมิงเอ๋อคือเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา สองปีมานี้ต่างก็อยู่ด้วยกันทุกเช้าทุกเย็น ลูกชายที่เปรียบเสมือนสิ่งล้ำค่าของเขา ทำไมจู่ๆ ถึงกลายมาเป็นแบบนี้?!