เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - บทที่ 816 ทุกสิ่งยังมีฉันอยู่
ภายในห้องหนังสือขนาดใหญ่ กระถางบอนไซแตกหน่อออกช่อเขียวชอุ่ม เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต
ลี่เฉินซีเห็นใบหน้าของเธอสุขุมภูมิฐาน ก็รู้สึกได้ว่าจะออกมาเป็นหัวข้อหนัก ค่อยๆเดินอย่างครุ่นคิดไปด้านข้าง นั่งลงที่บนเก้าอี้ ขาเรียวงามสง่าไขว่ห้างกัน ขยับมือจุดบุหรี่ ควันบุหรี่ค่อยๆลอยออกจากปาก จึงเอ่ยปาก “ได้ มาคุยกัน”
ซูย้าวเองก็พยายามให้ตัวเองสงบลงสักหน่อย มองหน้าเขาอีกครั้ง “มากกว่าสองปีที่แล้วเรื่องนั้นทำไมถึงเกิดขึ้น คุณยังจำได้อยู่หรือเปล่า?”
เขาพยักหน้า “จำได้”
เรื่องราวทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้นทั้งหมด เขาจำได้เป็นอย่างดี บอกได้ว่าค่อยๆปรากฏชัดเจนขึ้นมา
ปีนั้นขณะที่ซูย้าวโดนยิงและจมลงไปในกองเลือด อานเจียเย้นก็ทำให้เขาบาดเจ็บ ลี่เฉินซีได้แต่เบิกตาโพลงมองผู้หญิงของตัวเองถูกคนพาตัวไป ความรู้สึกที่ไร้พลังแบบนั้น เป็นประสบการณ์ทั่วไปที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับเขามาก่อน และเพราะเรื่องนั้น เขายิ่งเข้าใจอย่างถ่องแท้ ว่าตัวเองนั้นยังแข็งแกร่งไม่พอ ยังไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะปกป้องคนที่ต้องการปกป้องได้
คนเรานั้นหลังจากมีประสบการณ์ผ่านเหตุการณ์บางอย่างแล้ว ก็จะโตขึ้นและสุกงอมอย่างกะทันหัน ไม่ว่าคนนั้นจะมีอายุเท่าไหร่หรืออยู่ในฐานะชนชั้นอะไร ทุกคนก็เป็นเช่นนี้
ถึงจะเป็นลี่เฉินซีที่อำนาจและทรัพย์สินทั้งหมดจะสามารถควบคุมให้อยู่ในกำมือได้ มีฐานะสูงส่งก็ตาม ก็ยังไม่มีข้อยกเว้น
ซูย้าวจมอยู่ในความคิดสักพัก และเอ่ยต่อ “เวลานั้น เพ้ยหยู่เจี๋ยยังมีชีวิตอยู่ อานเจียเย้นเองก็ยังไม่ใช่jokeที่แท้จริง เขามาตามสิ่งที่ได้รับมอบหมาย จุดประสงค์ก็คือต้องการพาหมิงเอ๋อไป”
เวลานั้นหมิงเอ๋อยังไม่มีชื่ออย่างเป็นทางการ เพียงเรียกว่าเตียวเตียว อายุไม่กี่ขวบแต่กลับมีสติปัญญาโดดเด่นเหนือคนทั่วไป เป็นเด็กที่มีศักยภาพสูงมาก
“แต่เวลานั้นฉันเองก็ยังไม่รู้ว่าหมิงเอ๋อเป็นลูกของฉัน คิดแค่ว่าในเมื่อรับมาเลี้ยงเป็นลูกก็จะต้องรับผิดชอบให้ถึงที่สุด และหลังจากถูกพาตัวไป เด็กเติบโตมาข้างกายพวกเขา ต่อไปก็คงจะกลายเป็นคนบาปหนาไม่ควรให้อภัยแน่ๆ ไม่อยากให้เด็กประสบพบเจอกับประสบการณ์เหล่านี้ ดังนั้นฉันเลยใช้ตัวเองทำการแลกเปลี่ยน ให้พวกเขาปล่อยหมิงเอ๋อไปก่อนชั่วคราว”
ซูย้าวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ มองสายตาของเขาอีกครั้ง และยิ่งจมลึกเข้าไปเรื่อยๆ “ฉันคิดว่าเรื่องแบบนี้จะจบสิ้นไปแล้ว ไม่คิดว่าหลังจากสองปีกว่า จะเกิดเรื่องเหล่านี้อีก และตอนนี้ ฉันรู้สึกและเป็นการคาดเดาว่าอานเจียเย้นยังคิดมิดีมิร้ายกับหมิงเอ๋ออยู่ ต้องมีจุดประสงค์แอบแฝง”
เธอรู้สึกว่าอาการติดเชื้ออย่างกะทันหันของลี่หมิง เบื้องหลังคงไม่ง่ายเหมือนการเล่นสกปรกของซูหยวน โดยเฉพาะหลังจากที่เรื่องราวทั้งหมดถูกเปิดเผย ซูหยวนก็เสียชีวิตอย่างกะทันหันด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ทั้งหมดคือคนตายไม่สามารถให้การได้ และคล้ายสิ่งที่อานเจียเย้นทำมากเกินไป ฆ่าปิดปากให้ทันเวลา ไม่ให้เหลือปัญหาภายหลัง
เธอพูดต่ออีก “หมิงเอ๋อติดเชื้อโรคแบคทีเรียในครั้งนี้ ก็อาจจะเกี่ยวข้องกับอานเจียเย้น”
อันที่จริง แหล่งที่มาของเชื้อโรคเยอนิเซีย จนถึงตอนนี้ก็ยังตรวจสอบหาไม่ได้ ดูจากความสามารถส่วนบุคคลและการเข้าสังคมของซูหยวนแล้ว อยากจะได้ตัวอย่างเชื้อแบคทีเรียแบบนี้ก็ดูยากเกินไป ถ้าไม่มีคนแอบช่วยเหลืออยู่เบื้องหลังก็คงไม่มีทางทำได้สำเร็จแน่นอน
ถึงแม้ว่าหลินเจว๋จะยืนกรานปฏิเสธไม่รู้เรื่องนี้ แต่จากความเข้าใจของซูย้าวที่มีต่ออานเจียเย้น เวลาที่เขาใช้คน ขณะเดียวกันก็สงสัยไปด้วย มีความเป็นไปได้อย่างมากว่าจะเตรียมการอะไรบางอย่าง ไม่จำเป็นต้องมีคนกลางหลินเจว๋ก็ออกคำสั่งได้เลย อันที่จริง ลูกน้องของเขาเองก็คงไม่ได้เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของหลินเจว๋เพียงคนเดียว
“ฉันรู้สึกจิตใจไม่ค่อยสงบ ครั้งนี้พบการติดเชื้อของหมิงเอ๋อทันเวลา สมมติว่านี่เองก็เป็นกับดักที่อานเจียเย้นวางเอาไว้อย่างหนึ่งละ? สมมติว่าเขาคาดหวังว่าจะให้พวกเราพาเด็กกลับไป จากนั้นก็แอบทำอะไรพวกนั้นลับหลังอีก ถ้าอย่างนั้นหมิงเอ๋อ……”
ซูย้าวไม่กล้าที่คิดต่อไปอีก ความหวาดกลัวเกินขีดจำกัดทำให้เส้นประสาทของเธอตึงเครียดเกินไป ยกมือขึ้นมากุมหน้าอย่างช่วยไม่ได้ ลมหายใจเองก็ถี่กระชั้นขึ้นมาก
ลี่เฉินซีดับบุหรี่ที่อยู่ในมือด้วยเวลาอันเหมาะเจาะ ก้าวเดินไปด้านหน้า ปลอบโยนเธอโดยการดึงเธอมา หลังจากที่ตัวเองนั่งลงแล้วก็โอบกอดเธอไว้ในอ้อมแขน ให้เธอนั่งบนตักของตัวเอง ตบหลังของเธอเบาๆ “อย่าเป็นแบบนี้สิ และก็อย่าคิดมากอีกเลยนะ ที่ฝั่งโรงพยาบาลผมส่งคนไปดูแลนานแล้ว หมิงเอ๋อไม่มีทางเกิดเรื่องขึ้นหรอก”
เขาเองก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ง่ายมานานแล้ว ถึงแม้ว่าเมื่อคืนวานซูย้าวจะพูดเรื่องของซูหยวนกับเขา แต่ลี่เฉินซีเองก็สงสัยอย่างมาก และเช้าวันนี้ได้ให้หวางอี้เตรียมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจำนวนหนึ่ง แกล้งทำเป็นหยุดรออยู่ด้านนอกห้องผู้ป่วยของบุตรชายตลอดเวลาอย่างลับๆ ทำให้แน่ใจว่าขณะที่เด็กอยู่ในระยะการรักษาจะต้องปลอดภัยไม่มีข้อผิดพลาด
ซูย้าวสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามบังคับตัวเองให้สงบลง จากนั้นเบนหน้ามามองเขา “คุณบอกหน่อยว่าฉันทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่มากเกินไปหรือเปล่า เป็นถึงขนาดหวาดผวาไปหมดทุกย่างก้าวหรือเปล่า?”
เธอรู้สึกว่าตัวเองนั้นอาจจะป่วยเป็นโรควิตกกังวล เห็นชัดว่าอาจจะเป็นแค่เรื่องเล็กๆที่ง่ายมาก แต่ว่าเธอคงจะเคยชินกับการพิจารณาไตร่ตรองอย่างลึกซึ้งทะลุปรุโปร่ง……
ลี่เฉินซีส่ายหน้าเล็กน้อย ดวงตาเป็นประกายแวววาวล้ำลึก “ที่คุณคิดนั้นถูกต้องแล้ว ความกังวลเองก็สำคัญเหมือนกัน ตอนนี้เวลาแบบนี้……”
เขาลากเสียงยาวเล็กน้อย กลับมาพูด “แค่อานเจียเย้นยังมีชีวิตอยู่อีกหนึ่งวัน ไม่ว่าจะเรื่องอะไร เกรงว่าแค่เรื่องเล็กน้อย พวกเราเองก็ต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างสูง”
ลี่เฉินซีเองก็ไม่อยากให้เรื่องเมื่อสองปีก่อนเกิดขึ้นอีกครั้ง การปกป้องผู้หญิงของตัวเองและลูกเป็นสิ่งที่เขาสมควรทำเป็นที่สุด ในเวลานี้พอเห็นซูย้าวเป็นแบบนี้แล้ว ในใจเขารู้สึกโมโหอาฆาตแค้น ฝังลึกตกตะกอน
ความโกรธนี้ไม่ใช่มีต่อเธอ แต่เป็นกับตัวเขาเอง
ทำให้ผู้หญิงคนหนึ่ง เพื่อปกป้องลูก อุทิศทุ่มเทมากมายขนาดนี้ และยังต้องระแวดระวังตลอดเวลา เธอที่ทุกข์ทรมานจนเหมือนกับประสาทเสียทุกอย่างก้าวไปแล้ว เขาผู้ชายคนนี้ บิดาของลูก มัวแต่ทำอะไรอยู่?!
เหล่านี้ ทั้งหมดควรจะเป็นเขาที่ควรพิจารณา เข้ามาเผชิญหน้า!
ใบหน้าอันหล่อเหลาของลี่เฉินซีเปิดเผยให้เห็นถึงความเยือกเย็น สายตานั้นยิ่งมีความละเอียดรอบคอบมากยิ่งขึ้น จับแขนของเธอไว้แน่นขึ้นเล็กน้อย “ไม่ต้องคิดแล้วละ คุณเหนื่อยเกินไปแล้ว ต้องพักผ่อนให้ดี เรื่องเหล่านี้ ปล่อยให้ผมเถอะ ผมจะแก้ปัญหาเอง”
ซูย้าวกลับมองมาที่เขา เลิกคิ้วแน่นขึ้นมาด้วยความลังเล “ถึงคุณจะพูดแบบนี้ ฉันเองไม่สามารถปล่อยวางไม่สนใจได้ทั้งหมดหรอก รู้หรือเปล่า? เริ่มตั้งแต่สองปีก่อน ฉันก็เข้าไปมีส่วนพัวพันเรียบร้อยแล้ว จุดประสงค์ยิ่งใหญ่ที่สุดของอานเจียเย้น นอกจากหมิงเอ๋อแล้ว ก็คือตัวฉันเอง”
ตัวเธอเป็นคู่กรณี จะไปสามารถทำเป็นนิ่งดูดายจริงๆได้อย่างไรกัน?!
ลี่เฉินซียกมือลูบศีรษะของเธอ ดันศีรษะเล็กของเธอเข้ามาที่หน้าอกของตัวเอง ให้เธอพิงอยู่ด้านบนพักผ่อนสักครู่ ขณะเดียวกันก็พูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ผมเข้าใจ ผมเข้าใจทั้งหมด แต่ว่าถ้าผมยังอยู่อีกหนึ่งวัน จะไม่ให้เขาประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน!”
เขาจับมือเล็กของเธอขึ้นมา “ย้าวย้าว ระยะนี้ผมอาจจะยุ่งมาก ผมได้จัดเตรียมคนอื่นมาปกป้องคุณแล้ว ถ้าเดินทางออกไปข้างนอก จะต้องระวังตัวให้มาก และทางด้านหมิงเอ๋อ รออีกสองสามวันให้สถานการณ์ของลูกดีขึ้นมากอีกสักหน่อย คุณก็อยู่เป็นเพื่อนเขา”
คงเป็นเวลาที่ต้องเปิดศึกกับอานเจียเย้นจริงๆแล้ว ถ้ายังปล่อยเขาไปแบบนี้อีกละก็ ซูย้าวและลูกก็คงจะต้องเป็นอันตรายแน่!
แต่ว่านี่ก็คงลิขิตไว้แล้วว่าเป็นสนามที่ดุเด็ดเผ็ดมัน ทุกย่างก้าวในอนาคต จะต้องมีอันตรายรอบด้าน ต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง
ซูย้าวก้มศีรษะลง “ฉันสามารถช่วยคุณได้ แต่ว่า ฉันเพิ่งวานหว่านหว่านตรวจสอบพบสิ่งพวกนี้ นางพยาบาลที่ดูแลหมิงเอ๋ออยู่ มีคนหนึ่งชื่อว่าฟางเวย จะต้องระวังให้ดี ถ้าเป็นไปได้ คุณส่งคนไปตรวจสอบเพิ่มเติมอีกสักรอบ”
ถึงแม้ว่ายังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนอะไร แต่จุดที่น่าสงสัยก็ได้ออกมาเรียบร้อยแล้ว และสอดคล้องกับร่องรอยการกระทำของอานเจียเย้น ฟางเวยคนนี้ มีความน่าสงสัยจริงๆ
ลี่เฉินซีพยักหน้าอย่างจริงจัง “ผมเข้าใจแล้ว ส่งต่อมาให้ผมละกัน”
เวลานี้ คนเดียวที่ซูย้าวเชื่อมั่นอย่างเต็มที่สุดหัวใจนั้น นอกจากโม่หว่านหว่าน ก็มีแค่เพียงลี่เฉินซี เพียงแต่หวังว่าเรื่องทั้งหลายทั้งปวงนี้ ทั้งหมดจะเป็นแค่เธอเตรียมรับมือระแวดระวังเท่านั้นเถอะ!
คืนนั้น ลี่เฉินซียุ่งอยู่ในห้องหนังสือจนถึงกลางดึก ถึงแม้ว่าระหว่างทางเขาเร่งซูย้าวหลายครั้งนับไม่ถ้วนให้ไปพักผ่อน แม้กระทั่งใช้แรงอุ้มเธอกลับเข้าไปในห้องนอน แต่ผ่านไปไม่นาน เธอก็ถือชาช่วยให้ผ่อนคลายมาอยู่ข้างกายของเขาอีกครั้ง
เธอนอนไม่หลับจริงๆ พอคิดว่ามีคนกำลังจับจ้องสอดส่องลูกของตัวเอง พอคิดว่าหมิงเอ๋อสามารถตกไปอยู่ในเครือข่ายของคนเลวทรามได้ทุกเมื่อ ถูกอานเจียเย้นเจ้าปีศาจนั่นพาตัวไป เธอก็นอนหลับไม่ลงแล้ว
“หมิงเอ๋อถูกขโมยตัวไปตั้งแต่แรกเกิด เปลี่ยนหมุนเวียนสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามากมาย และหลายครั้งที่ถูกคนรับเลี้ยงและทอดทิ้ง ลูกอายุน้อยขนาดนี้ต้องเร่ร่อนอยู่ข้างนอกนานถึงห้าปี ทุกข์ทรมานมากมาย ไม่ง่ายเลยที่จะกลับมาอยู่ข้างกายของพวกเรา ฉันไม่อยากให้เด็กคนนี้ต้องมีอะไรเกิดขึ้นอีก……”
ซูย้าวนอนตะแคงอยู่บนโซฟา ใช้ขายาวของเขาหนุนหัว ไม่หยุดบ่นพึมพำกับตัวเอง ทันใดนั้นก็ขยับ และรีบเด้งตัวขึ้นมา “เจิ้งเอ๋อกับซีซีละ? พวกเขาตอนนี้ปลอดภัยอยู่ใช่ไหม? จะเป็นไปได้หรือเปล่า……”
ไม่ให้เธอพูดอะไรได้อีก ลี่เฉินซียื่นมือไปกดไหล่ของเธอ กดให้เธอนอนลงไปอีกครั้ง มือใหญ่อันเรียวยาวค่อยๆลูบไล้ใบหน้าของเธอ “พวกเด็กๆยังมีฉันอยู่นะ สบายใจได้ เป็นเด็กดีหลับตาลง นอนเถอะ”