เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - บทที่ 825 เหมือนกับอย่างที่ฉันคาดคิดไว้
“ไม่ต้องสงสัย”
น้ำเสียงของซูย้าวใสๆ บางๆ สุดท้ายหยิบตราบริษัทที่เป็นชุดของบริษัทDouble Aceออกมาจากกระเป๋า เรียงวางอยู่บนโต๊ะน้ำชาให้ประธานหลี่ดู
ประธานหลี่ไม่ได้สงสัย เขาตื่นตะลึงอยู่ ล้วนไม่กล้าจินตนาการ ทั้งๆ Double Aceกรุ๊ป นอกจากอานเจียเย้นที่ลึกลับคาดเดาไม่ถูกคนนั้น ประธานอานอีกคนหนึ่ง ในเวลานี้ยามนี้ถึงขนาดจะปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าตนเอง
และเมื่อกี้หลายนาทีก่อนเขายังเรียบเรียงคำโกหกพูดจามั่วซั่วไม่คำนึงถึงความจริงอยู่ ตอนนี้ถูกเปิดโปงฉับพลันในทันที ความอึดอัดแบบนั้น ความคับแค้นแบบนั้น ไม่สามารถอธิบายได้
เขาแทบอยากจะรีบหารอยร้าวสักแห่งทะลวงเข้าไปเสียเลยใจจะขาด สีหน้าเผือดซีดและวังเวงซื่อบื้อไปสักพัก ถึงขนาดพูดขรุขระคำพูดที่เต็มคำล้วนพูดไม่ออกสักคำ
“ประ ประ ประธานอาน ท่าน……”
ซูย้าวเอียงตัวไปยังข้างหลัง พิงโซฟาหนังไว้ ใช้มือข้างเดียววางอยู่ราวจับที่อยู่ข้างๆ ตางดงามเหลือบมองผู้ชายที่สีหน้ากังวลอยู่ต่อหน้าอย่างลึกล้ำ ยิ้มเลย
อยู่เวลาเดียวกันที่รอยยิ้มที่ยิ้มบางๆ เธอก็ได้พูดเบาๆ ออกมาคำหนึ่งว่า “ได้ยินว่ามีคนแอบอ้างในนามของฉัน รับซื้อสกีรีสอร์ท ยังใช้ชื่อของฉัน มีเจตนา ‘หลอกลวง’ คนอื่น ขอถามประธานหลี่เป็นเช่นนี้หรือไม่?”
“นี่……” ประธานหลี่ชัดเจนมาก ในคำพูดเธอทั้งหมดที่ชี้ถึงคำว่า ‘มีคน’ นั้นก็คือตัวเขาเองเลย!
เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรโดยสิ้นเชิง ตื่นเต้นจนหน้าผากเหงื่อไหล แม้แทบจะไม่เคยประจันหน้าและติดต่อกับอานหว่านชิงคนนี้มาก่อน แต่มากน้อยก็ได้ยินคำเล่าลือบ้างเล็กน้อยจากสำนักงานใหญ่Double Aceทางโน้นมาก่อน ประธานอานทั้งสองนี้ ล้วนยุ่งไม่ไหวนะ
ถ้าหากบอกว่าการคงอยู่ของอานเจียเย้นคือทำให้คนขนพองสยองเกล้า ก่อให้เกิดความหวาดกลัว งั้นอานหว่านชิงก็คือผู้หญิงที่ทำให้คนอกสั่นขวัญหาย ก่อให้เกิดความหวาดหวั่น!
คำเล่าลือว่า เธอเคยอาศัยพลังตัวคนเดียว อยู่ภายในเวลาสั้นๆ ไม่ถึงสองเดือนกลืนกินวิสาหกิจขนาดใหญ่และกลางสามสิบกว่าแห่งที่อยู่ต่างประเทศ ทั้งทำให้นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จเหล่านั้นบ้านแตกสาแหรกขาด ครอบครัวแตกแยก
ไม่ว่าการเล่าลือจะเป็นจริงหรือเท็จ และมีความเป็นไปได้มากเท่าไหร่ แต่หลักการที่ว่าไม่มีลมไหนเลยจะมีคลื่นทุกคนล้วนรู้ สามารถทำให้เถ้าแก่ของบริษัทขนาดใหญ่และกลางสามสิบกว่าแห่งถึงขั้นที่คับขันลำบากดั่งคนน่าสมเพชเวทนา ผู้หญิงแบบนี้ จะเป็นคนทั่วไปธรรมดาอีกได้อย่างไรล่ะ?!
ประธานหลี่ยิ่งมายิ่งไม่กล้าคิดอีกต่อไป สนใจกับสถานะของตนเองและสภาพแวดล้อมของห้องโถงใหญ่ในเวลานี้ไม่ได้แล้ว ขยับตัวออกจากโซฟา ฟุบ เสียงหนึ่งก็คุกเข่าอยู่บนพื้นโดยตรง “ประธานอาน ผมผิดไปแล้ว! เมื่อกี้ผมลุ่มหลงเสียสติไปชั่วขณะ ถึงขนาดแอบอ้างในนามของท่าน เป็นผมไม่รู้จักดีร้ายเอง เป็นผมไม่รู้จักความพอดีเอง ผมผิดไปแล้ว ขอท่านเมตตาลดหย่อนผ่อนผัน ปล่อยผมไปในครั้งนี้เถอะ!”
เป็นชายวัยกลางคนที่สูงหนึ่งเมตรเจ็ดแท้ๆ ก็ไม่เห็นแก่หน้าตาคุกเข่าขอร้องให้ยกโทษให้โดยตรงแบบนี้ ภาพนี้ มีความดูแย่เล็กน้อยจริงๆ ทั้งทำให้ซูย้าวขมวดคิ้วขึ้นมาด้วย
หางตาของเธอกวาดผ่านลูกค้ากับพนักงานที่ลาดตระเวนมายังทางนี้อย่างไม่หยุดยั้งอยู่บริเวณรอบๆ ระหว่างคิ้วขมวดขึ้น โดยจิตใต้สำนึกก็ลดเสียงเบาลง “ลุกขึ้นก่อน”
ประธานหลี่กลับไม่สนสิ่งเหล่านี้ ก็คำนับต่อๆ กัน “ผมสำนึกผิดแล้วจริงๆ ขอร้องท่านล่ะ……”
คำพูดในการวิงวอนต่างๆ นานาของเขาต่อๆ กันอย่างไม่หยุดยั้ง ท่าทีที่ต่ำต้อยก็คล้ายดั่งได้รับการสยบอย่างมาก หวาดกลัวจนถึงขั้นที่สั่นระริกทั้งตัว
ระหว่างคิ้วที่ตึงเครียดของซูย้าวขมวดขึ้น เย็นชาจ้องเขม็งเขาอยู่ “ถ้าหากไม่ลุกขึ้นมาอีก ฉันก็จะกล่าวโทษคุณจริงๆ แล้ว!”
ประธานหลี่ยังพูดวิงวอนไม่หยุดยั้งอยู่ แต่ไม่รู้เนื้อรู้ตัว หลังจากได้ยินคำพูดนี้ อึ้งชะงักแล้วอึ้งชะงักอีกก่อน จากนั้นเงยหน้าจ้องมองไปยังซูย้าว ได้ยินเธอพูดอีกว่า “ลุกขึ้นก่อน”
นี่เขาจึงฝืนใจค่อยๆ ลุกขึ้นมา
ซูย้าวกวาดผ่านโซฟาที่อยู่ฝั่งตรงข้ามหนึ่งที ให้สัญญาณเขานั่งลงก่อน แต่ประธานหลี่กลับเนิ่นช้าไม่ยอม ดื้อรั้นยืนอยู่ข้างๆ เคารพอย่างยิ่งก้มหัวหมดอาลัยตายอยากอยู่
ใบหน้าที่หงุดหงิดของเธอขึงลับลงหลายส่วน แต่ก็ไม่ได้ดื้อรั้นเอาแต่ใจอีก เพียงพูดว่า “เรื่องที่รับซื้อสกีรีสอร์ท ฉันรู้ว่าไม่ได้เกี่ยวกับคุณ ย่อมจะไม่โทษคุณอะไรอยู่แล้ว เพียงแค่เมื่อกี้คุณแอบอ้างในนามของฉันโทรหาใครแล้วล่ะ?”
“อานเจียเย้นเหรอ? เธอถามเสริมอีกคำ”
ประธานหลี่ส่ายหัวต่อๆ กันอย่างอืดอาด “ไม่ ไม่ใช่ประธานอานอีกคนหนึ่ง โทรหาเลขาของผมล่ะ……”
น้ำเสียงที่เขาพูดต่ำมาก ดูเหมือนสำนึกผิดแล้วจริงๆ ด้วย ดังนั้นไม่มีความมั่นใจอะไร
ซูย้าวคลายคิ้วออกเล็กน้อย “งั้นเป็นใครให้คุณแอบอ้างในนามฉันล่ะ?”
ถ้าหากไม่ใช่มีคนบอกกล่าวล่วงหน้า คิดว่าประธานหลี่ก็จะไม่มีความกล้าหาญมากขนาดนี้เช่นกัน
ประธานหลี่อิดออดและลังเล ครุ่นคิดนานมาก จึงก้มตัวรายงานตามความจริง “ผมได้รับอีเมลส่วนตัวที่ส่งมาจากสำนักงานใหญ่ ข้างในกำชับว่าเรื่องทั้งหมดที่อยู่ทางนี้ ไม่ต้องผ่านท่าน ให้ผมตัดสินใจเองก็ได้แล้ว”
กังวลว่าซูย้าวจะไม่เชื่อ เขารีบพูดอีกว่า “อีเมลผมยังเก็บไว้อยู่ อีกสักครู่ผมจะเอาให้ท่านดู”
ซูย้าวพยักหน้าแล้วพยักหน้าอีกเล็กน้อย ประธานหลี่คนนี้ที่อยู่ต่อหน้า ดูจากลักษณะท่าทีก็เป็นเพียงแค่บทบาทเล็กๆ คนหนึ่ง ทั้งยังเป็นหมากรุกเล็กๆ เม็ดหนึ่งที่ถูกลูกน้องของอานเจียเย้นควบคุมไว้เป็นชั้นๆ เท่านั้น ไม่จำเป็นต้องสืบหาในเชิงลึก แต่ในเมื่อสถานะเปิดเผยแล้ว ลองสืบหาในเชิงลึกดูสักหน่อย ก็ไม่เสียหาย
เธอครุ่นคิดอยู่ พูดอีกว่า “ฉันจะดูอีเมล คุณไปที่การเงินทางโน้นจัดเก็บสักหน่อย เอารายละเอียดของบัญชีเดินสะพัดทั้งทางการเงินที่หลังจากคุณรับต่อในช่วงหลายเดือนนี้มาให้ฉันอีก”
“……ได้ ผมเข้าใจแล้ว!” ท่าทีที่ต่ำต้อยของประธานหลี่ต่ำจนแทบเตะฝุ่นละออง นอกจากตกปากรับคำด้วยการพยักหน้า ก็ไม่มีอย่างอื่นอีกแล้วด้วย
หลังจากล้วนเจรจาต่อรองเสร็จไปพอสมควร ประธานหลี่ก็เชิญเธอเคลื่อนที่ไปยังออฟฟิศข้างบน เพราะว่าต้องตรวจสอบบัญชีอย่างละเอียด ให้เวลาฝ่ายตรงข้ามเตรียมตัวมากเกินไป ให้เวลายิ่งยาวนานจะต้องมีอุปสรรคยิ่งมาก จัดการเร็วหน่อยก็จะดีเช่นกัน
ซูย้าวคิดอยู่เช่นนี้ และหันข้างมองไปยังลี่เฉินซี ลองทดสอบหยั่งเชิงซักถามไปคำหนึ่งว่า “ขึ้นข้างบนไหม?”
เขาอมยิ้มหนึ่งที รู้ว่าเธออยู่ข้างนอกชอบไว้หน้าให้แก่ตนเองเต็มเปี่ยม การรู้จักความพอดีจุดนี้ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาเธอล้วนควบคุมได้ดีสุดขีด ก็เลยยิ้มอยู่ประคองไหล่ของเธอไว้ “อืม”
ทั้งสองคนเพิ่งลุกขึ้น กำลังจะมาถึงลิฟต์ทางนี้ มือถือของลี่เฉินซี อยู่ดีๆ ก็ดังขึ้นเลย
เป็นหวางอี้โทรมา ดูเหมือนเป็นเรื่องงาน เขาให้สัญญาณเธอสักหน่อย เคลื่อนที่ไปรับสายที่อื่น ซูย้าวก็เลยขึ้นข้างบนพร้อมกันกับประธานหลี่
เธอนั่งอยู่ในออฟฟิศดื่มกาแฟที่เลขาส่งเข้ามาอยู่ แต่ผ่านไปไม่นาน ประธานหลี่ก็พาผู้อำนวยการฝ่ายการเงินเข้ามาพร้อมกัน
นอกจากเอกสารที่เป็นลายลักษณ์อักษรมากมาย ยังมีรายละเอียดบัญชีบ้างเล็กน้อยเก็บไว้อยู่ในคอมพิวเตอร์ หลังจากกำชับทีละอย่างให้ชัดเจน ซูย้าวก็ให้ประธานหลี่กับผู้อำนวยการออกไป ตนเองอยู่สืบให้ละเอียดต่อ
พอทำการตรวจสอบนี้ก็ย่อมจะเกือบถึงหลังเที่ยงคืน ระหว่างนั้นประธานหลี่กับผู้อำนวยการและลูกน้องคนอื่นๆ ทั้งหลายล้วนรออยู่ข้างนอก ซูย้าวรู้สึกว่าระดมกำลังมากเกินไป ก็เลยให้พวกเขาล้วนเลิกงานไปเลย
อยู่ในเวลาเดียวกันที่เธอยุ่งอยู่ ลี่เฉินซีก็ยุ่งมากเช่นกัน โทรศัพท์ซ้ายหนึ่งอันขวาหนึ่งอัน สุดท้ายได้แต่จนใจไปเปิดทำการประชุมทางไกลผ่านระบบวิดีโอที่ออฟฟิศว่างข้างๆ
ตอนที่รอเขายุ่งจนพอสมควร ค่อยเข้ามาดูซูย้าว ทางนี้เธอยังไม่ได้ตรวจสอบอีกมากมาย
เขาอ้อมผ่านโต๊ะทำงาน ยืนอยู่ข้างหลังเก้าอี้หนังของเธอ นวดไหล่ให้เธอ นวดแล้วนวดอีก “หลังเที่ยงคืนแล้ว ไม่หิวเหรอ?”
ลี่เฉินซียุ่งอยู่ตลอด ทั้งพลาดเวลามื้อเย็นไปด้วย ทำให้เขานึกไม่ถึงเธอ ซูย้าวก็เป็นเช่นนี้ ตอนก่อนที่ประธานหลี่จะออกไปยกอาหารจากร้านอาหารข้างล่างขึ้นมาไม่น้อย กลับล้วนถูกซูย้าววางไว้อยู่ไกลๆ ไม่สนใจ
เขาจ้องมองอาหารที่ยังไม่ได้กินสักคำ และเย็นไปนานแล้วเหล่านั้น ตาที่ลึกล้ำเข้มมืดลงอย่างไม่หยุดยั้ง “ไม่หิวจริงๆ เหรอ?”
เธอเงยหน้าขึ้นอย่างจนใจ ถอดแว่นตากรอบบางที่อยู่บนสันจมูกออก และถือโอกาสนวดระหว่างคิ้วนวดแล้วนวดอีก “คุณหิวแล้วเหรอ?”
แม้พูดเช่นนี้อยู่ในปาก แต่ยุ่งไปหลายชั่วโมง เป็นไปได้ยังไงจะไม่เหนื่อยไม่หิวสักนิดล่ะ? ซูย้าวลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายหนึ่งที ทั้งพูดว่า “สั่งอาหารเถอะ! สั่งสะเปะสะปะอะไรสักหน่อยก็ได้”
ลี่เฉินซีโทรหาร้านอาหารที่เปิดทำการทั้งวันที่ชั้นล่าง หลังจากวางสาย จ้องมองไปยังเธออีกครั้ง หางตาก็ได้กวาดผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์หนึ่งที “ปัญหาเยอะมากเหรอ?”
ซูย้าวหมุนตัวไป พิงโต๊ะทำงานที่อยู่ข้างหลังไว้ ส่ายหัวแล้วส่ายหัวอีกนิดๆ “พอกันกับสิ่งที่ฉันคาดเอาไว้”
“หมายความว่าอะไร? เขาถามกลับ”
เธอยักไหล่แกล้งทำเป็นอมยิ้มอย่างสบายหนึ่งที “ก็คือล้วนไม่มีปัญหาอะไรล่ะ”
“โอ๊ะ?”
เขามีความยากที่จะเชื่อเล็กน้อย ตอนที่ตาลึกล้ำสลับซับซ้อนกำลังคิดอะไรอยู่ อยู่ดีๆ ซูย้าวเกาะแขนของเขาไว้ “ก่อนหน้านี้คุณคุยโวโอ้อวดอย่างไร้ยางอายให้ฉันมอบหมายทุกอย่างแก่คุณ คุณวางแผนเรียบร้อยแล้ว แต่คุณลี่ การวางแผนของคุณก็คือเปิดเผยสถานะโดยตรง รับซื้อที่นี่เหรอ?”