เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - บทที่ 836 พบพิรุธ
ซูย้าวได้นัดกับประธานหลี่ไว้จริงๆ ตอนไปซื้อเครื่องดื่มที่ซุปเปอมาร์เก็ต ก็ได้โทรหาฝ่ายตรงข้ามและนัดเวลาไว้เรียบร้อยแล้ว
กับเรื่องที่เธอจะไปเจอหน้ากับประธานหลี่ โม่หว่านหว่านไม่ได้เป็นห่วงหรือข้องใจอะไร นอกจากออกไปพร้อมกับเธอ ก็ไม่ได้มีอากัปกิริยาที่แปลกประหลาด หรือพูดคำพูดที่แปลกประหลาดอีก
ช่วงใกล้เที่ยง ทั้งสองได้ไปที่ออฟฟิศของประธานหลี่ ในออฟฟิศมีกลิ่นไอของความโบราณคลาสสิก สิ่งอำนวยความสะดวกสวยงามประณีตมาก เรียบง่ายและมีความเก่าแก่อยู่มาก ได้เผยความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ด้านในและรสนิยมของเจ้าของออกมา
ประธานหลี่ต้อนรับอย่างเป็นกันเองมาก คำพูดที่พูดคุยสนทนากันก็มีมารยาทมาก ควบคุมความเหมาะสมได้ดีมาก
ซูย้าวก็ไม่ได้ทำให้เขาลำบากใจ แค่พูดคุยเรื่องที่ไม่ค่อยเกี่ยวข้อง เพราะยังไงก่อนหน้านี้ฝ่ายตรงข้ามได้ให้ความร่วมมือในการตรวจบัญชีขนาดนี้ ตอนนี้ไม่มีปัญหาให้จับผิดเลย ก็จะต้องสื่อสารชื่นชมกับคนรับผิดชอบดูแลของที่นี่สักรอบหนึ่ง
เป็นคำพูดที่ภาพรวมทั้งนั้น ในสนามธุรกิจ เหตุการณ์แบบนี้ซูย้าวประสบพบเจอมาเยอะมากแล้ว ส่วนโม่หว่านหว่านเนื่องด้วยสาเหตุของลู่ส้าวหลิง ก็เคยเจอมาไม่น้อยเหมือนกัน จากการที่ได้พูดคุยกันมา โดยภาพใหญ่แล้วถือว่าไม่เลวเลย
ตอนเที่ยง ประธานหลี่ตั้งใจจะชวนทั้งสองอยู่ทานข้าวต่อ แต่ได้ถูกซูย้าวหาเหตุผลปฏิเสธอย่างอ้อมค้อม ต่อมาประธานหลี่ได้ส่งทั้งสองเข้าลิฟต์ ถึงหยุดฝีเท้าพร้อมคำนับพยักหน้า “ประธานอาน มีเรื่องอะไรก็สั่งมาเลยนะครับ”
“ขอบคุณค่ะ ประธานหลี่”
ตามด้วยประตูลิฟต์ที่ค่อยๆ ปิดสนิท ใบหน้าที่ซูย้าวแสร้งทำเป็นตึงเครียดก็ได้ผ่อนคลายลงมาอย่างสิ้นเชิง เธอรู้สึกโล่งอกไปที จากนั้นได้หันไปมองโม่หว่านหว่าน “เดี๋ยวเธอจะไปทานข้าวเที่ยง หรือว่าไปเล่นสกี?”
“ฉันคนเดียวที่ไหน เราไปด้วยกันไม่ใช่เหรอ?”โม่หว่านหว่านตกใจจนไม่รู้จะรับมือยังไง เธอยกมือควงแขนของซูย้าวไว้ หน้าตาท่าทางเหมือนจะฉุดดึงซูย้าวไว้ ให้เธอต้องมัดกับตัวเองไว้ด้วยกัน อย่าคิดจะสลัดตัวเองทิ้ง
ซูย้าวยิ้มอ่อนๆ อย่างหมดคำพูด เธอรู้ว่าโม่หว่านหว่านมีใจจะปิดบังตัวเองอะไร ส่วนรายละเอียดเกี่ยวข้องกับเรื่องอะไร เธอไม่ต้องถามก็สามารถเดาได้ แต่พวกเขาต่างก็สิ้นเปลืองสมองปิดบังตัวเอง แล้วเธอจะไปเปิดโปงทำไมล่ะ?
บางที คำโกหกที่แฝงด้วยความหวังดีคือเรื่องดี
ซูย้าวก็ไม่อยากทำให้เสียบรรยากาศ โม่หว่านหว่านสามารถเจียดเวลาอยู่เป็นเพื่อนตัวเองก็ถือว่าดีแล้ว จึงเห็นด้วยอย่างมีความสุขกับคำเชิญชวนก่อนหน้านี้ของเธอ เลยพูดว่า “เราไปเล่นสกีกันเถอะ!”
โม่หว่านหว่านตกใจ “เธอ……เธอไปกับฉัน?”
เธอพยักหน้า “อืม เล่นสกีด้วยกัน เทคนิคของเธอแย่เกินไป ฉันกลัวเธอตัวคนเดียวจะล้มหรือไปโขกกับอะไร กลับไปลู่ส้าวหลิงจะต้องถามหาความผิดกับฉันแน่!”
โม่หว่านหว่านหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ “ฉันแย่ตรงไหน เห็นๆ อยู่ว่าเล่นได้ดีมาก……”
ตลอดทางทั้งสองพูดคุยไปหัวเราะไป ตอนที่ออกจากลิฟต์มาถึงที่ห้องโถง เพราะถึงเวลาพักเที่ยงแล้ว พนักงานของที่นี่ก็เลยใกล้จะพักเที่ยงและเตรียมไปทานข้าวเที่ยงกันแล้ว
พนักงานสองสามคนเกาะกลุ่มกันเดินออกไปข้างนอก มีพนักงานหญิงสองคนที่ยังเยาว์วัยเดินไปที่หน้าเคาน์เตอร์ “เสี่ยวซี ยังยุ่งอยู่เหรอ พักก่อนเถอะ ไปทานข้าวกันก่อน!”
“เดี๋ยวนะ ฉันเอาใบค้างชำระค่าไฟที่ได้รับมาเมื่อกี๊ไปให้ฝ่ายบัญชีก่อน……”พนักงานหน้าเคาน์เตอร์ที่ชื่อเสี่ยวซีคนนั้นตอบ
เป็นแค่สนทนาที่ปกติ ไม่ได้ก่อให้เกิดความสนใจ แม้แต่ซูย้าวกับโม่หว่านหว่านที่เดินผ่านข้างๆ ก็เดินออกไปข้างนอกอย่างชิวๆ ไม่ได้ใส่ใจอะไร
แต่ต่อจากนี้ ห่างออกไปไม่ไกลก็มีคนพูดคำหนึ่งว่า “ใบค้างชำระของเวินย่วนอีกแล้วเหรอ?นี่คงเป็นครั้งที่สามของสัปดาห์นี้แล้วมั้ง เป็นเพราะคราวก่อนไม่ได้จ่าย หรือเรื่องมันยังไงกันแน่?”
“ฝ่ายบัญชีทำงานยังไงกันเนี่ย เรื่องแค่นี้ก็ยังทำไม่ได้เรื่อง เธอเอาให้ฉัน ฉันไปรายงานประธานหลี่หน่อย”มีผู้หญิงคนหนึ่งที่เหมือนจะเป็นเลขาของประธานหลี่ ได้เป็นฝ่ายมาพูดคุยด้วยเอง
เสี่ยวซีรีบยิ้มอ่อนๆ “ไม่ใช่ปัญหาของฝ่ายบัญชีค่ะ คือทางเวินย่วนได้ค้างค่าไฟอีกแล้ว ไม่รู้เพราะอะไร จะมีใบแจ้งหนี้แบบนี้ทุกอาทิตย์เลย ก็ไม่รู้เรื่องมันยังไงกันแน่ แค่ศูนย์เพาะพันธุ์ห้องดอกไม้ธรรมดาศูนย์หนึ่งเฉยๆ จะใช้ไฟเยอะขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“อ๋อ เธอพูดแบบนี้เหมือนมันก็จริงนะ ฉันจำได้ว่าค่าไฟหนึ่งสัปดาห์ตั้งหลายพันหยวน จนเกือบหมื่นเลย!เป็นตัวเลขที่น่าตกใจมาก”
“ก็ใช่น่ะสิ บริษัทเราใหญ่ขนาดนี้ยังไม่ใช้ไฟเยอะขนาดนั้นเลย ไม่รู้จริงๆ ว่าทางโน้นมันยังไงกัน ฉันหาเวลาไปรายงานประธานหลี่หน่อยดีกว่า!”ดูเหมือนว่าเลขาจะเป็นคนที่ทำงานระมัดระวังมาก เหมือนเธอเองก็มีความคิดเห็นกับเรื่องนี้มาก
แต่บังเอิญ คำพูดเพียงไม่กี่คำของพนักงานพวกนี้ กลับได้ทะลุเข้าไปในหูของซูย้าว เธอได้หยุดฝีเท้าลงด้วยจิตใต้สำนึก
โม่หว่านหว่านอึ้งเล็กน้อย ได้ควงแขนเธอไว้ “เป็นอะไรไป?”
ซูย้าวได้เก็บความลับที่ซ่อนอยู่ในแววตาไว้อย่างไว พร้อมยิ้มกว้างๆ “ไม่มีอะไร พวกเราออกไปกันเถอะ!”
ทั้งสองเดินไปข้างนอกต่อ เพราะเดี๋ยวจะไปเล่นสกี จะต้องเปลี่ยนชุดเล่นสกีล่วงหน้า เมื่อวานทั้งสองได้ซื้อไว้แล้ว นาทีนี้จะกลับไปเปลี่ยนชุดที่โรงแรม
ระหว่างทาง ซูย้าวกลับห้องปุ๊บก็รีบใช้มือถือตรวจสอบที่อยู่ของละแวกนี้ ที่ที่ห่างจากสกีรีสอร์ทแฟลส์ไม่ไกล มีฐานเพาะพันธุ์ห้องดอกไม้ที่ชื่อว่า‘เวินย่วน’จริงๆ ด้วย ดูจากแผนที่แล้วยึดครองพื้นที่ไม่ใหญ่
เธอพลิกอ่านเอกสารที่ประธานหลี่ส่งมาในก่อนหน้านี้ ยังได้หารายละเอียดข้อมูลของเวินย่วนเจอ ก็อยู่ใต้สังกัดของบริษัทDouble Aceกรุ๊ป เพราะเป็นแค่ธุรกิจอำนวยความสะดวกที่เล็กมากธุรกิจหนึ่ง โดยรวมแล้วไม่ค่อยต่างจากร้านอาหารและซุปเปอมาร์เก็ตของละแวกเท่าไหร่ ก่อนหน้านี้เธอก็เลยไม่ได้ใส่ใจขนาดนี้
แต่ตอนนี้พอมาดูปุ๊บ สามารถก่อตั้งฐานเพาะปลูกดอกไม้ในที่หนาวเย็นแบบนี้ ดูน่าสงสัยไปหน่อยหรือเปล่า?
ยังมีอีก การสนทนาของพนักงานพวกนั้น ได้พูดถึงว่าใช้ไฟมหาศาล ถ้าเป็นแค่โรงเรือนเพาะปลูกดอกไม้ ถึงขั้นต้องใช้ค่าไฟเดือนละเกือบหมื่นเลยเหรอ?
พอมาคิดดูอย่างละเอียด เหมือนจะมีปัญหานิดหน่อยจริงๆ ด้วย
เอกสารในมือของเธอ เป็นเอกสารที่แนะนำเกี่ยวกับห้องเพาะปลูกดอกไม้เวินย่วนคร่าวๆ เฉยๆ ส่วนพวกบัญชีรายรับและรายจ่ายไม่ได้บันทึกไว้อย่างละเอียดเลย ซูย้าวค่อนข้างลังเล เวลานี้ ถ้าไหว้วานให้โม่หว่านหว่านช่วยตรวจสอบ เธอจะต้องหาข้ออ้างบ่ายเบี่ยงอีกแน่นอน เพราะฉะนั้น……
‘ก๊อกๆๆ ’ด้านนอกมีเสียงเคาะประตูก้องมา ได้ทำลายสมาธิของซูย้าวพอดี
ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าใครอยู่ข้างนอก ซูย้าวพยายามปิดมือถืออย่างไว จากนั้นได้เปลี่ยนชุดเล่นสกี และไปลานสกีพร้อมกับโม่หว่านหว่าน
ลานสกีใหญ่มาก นักท่องเที่ยวสองสามคนเกาะกลุ่มอยู่ด้วยกัน ใส่ชุดเล่นสกีที่หลากหลายสีสัน ได้เติมแต่งให้โลกที่หิมะขาวโพลนนี้เป็นสีสันตระการตา
คนที่อยู่รอบๆ ต่างก็กำลังเล่นสกีอยู่ ไม่นานซูย้าวก็ได้หลอมรวมเข้าไปในนั้น เธอเล่นกับโม่หว่านหว่านไปหลายรอบอย่างมีความสุข และเล่นได้ค่อนข้างเหนื่อย นาทีนี้เธอได้เหลือบมองทิศทางสักแห่งที่อยู่ไม่ไกล จากนั้นได้หันไปมองโม่หว่านหว่านที่ยังจมปลักอยู่กับการเล่นสกีที่อยู่ไกลๆ ฉวยโอกาสตอนที่โม่หว่านหว่านไม่ระวังตัว เธอได้หยิบมือถือออกมาตรวจดูแผนที่อีก
จากทางนี้สามารถไปที่ห้องเพาะปลูกดอกไม้เวินย่วนจริงๆ ด้วย เพราะยังไงก็ล้วนเป็นแฟรนไชส์ของบริษัทเดียวกัน เพราะฉะนั้นบนถนนก็มีการเชื่อมต่อถึงกันอยู่ไม่มากก็น้อย ซูย้าวเหยียบกระดานมุ่งหน้าไปตลอดทาง สุดท้ายได้ถูกแผงกั้นเป็นแถวๆ ขวางทางไปไว้
เห็นทางไกลมีบ้านหลังเล็กสีน้ำเงินเทาอยู่หนึ่งแถว ตรงนั้นก็คงจะเป็นห้องเพาะดอกไม้แล้วสินะ เธอคิดพิจารณาไปครู่หนึ่ง พอมองดูรอบๆ ไม่มีคน เธอได้โยนกระดานสกีไว้แล้วพลิกตัวข้ามแผงกั้นไป
จากนั้นได้ถือกระดานสกีไว้พร้อมเดินไปข้างหน้า พอเดินไปประมาณครึ่งชั่วโมงกว่าๆ ในที่สุดก็ถึงห้องเพาะปลูกดอกไม้เวินย่วนเสียที
ป้ายใหญ่ๆ ด้านบนเขียนได้ชัดเจนเด่นสะดุดตา ละแวกประตูมีรถจอดอยู่สองคัน คันหนึ่งคือรถขนส่งขนาดกลางที่ค่อนข้างใหญ่ ส่วนอีกคันคือรถยนต์ธรรมดา
บ้านหลังคาทรงเตี้ยใหญ่ๆ หลายหลังของละแวก ดูท่าก็น่าจะเป็นสถานที่ที่เพาะปลูกดอกไม้แล้ว เธอดูคร่าวๆ มีประมาณหลายสิบห้อง แถวแล้วแถวเล่า เหมือนทหารที่เตรียมพร้อมไว้เต็มที่เพื่อต้อนรับภารกิจที่ใหญ่หลวง เคร่งขรึมและน่าเกรงขาม
ซูย้าวได้มองดูรอบๆ อีก ฝั่งตรงข้ามของห้องเพาะดอกไม้คือแม่น้ำที่ก่อตัวเป็นน้ำแข็งแล้ว สาเหตุเนื่องด้วยจาก
ฤดูกาลของทางนี้ ได้ก่อตัวเป็นน้ำแข็งตลอดทั้งปี ด้านบนปกคลุมด้วยหิมะ อีกสามด้านที่เหลือว่างเปล่า เหมือนกับว่าที่นี่เป็นดินแดนในอุดมคติที่ถูกหิมะตัดขาด
ถ้าทำอะไรอยู่ที่นี่ น่าจะเป็นที่ที่หลบซ่อนได้ดีมาก เพราะ เธอได้มองดูอีกที ไม่เห็นจุดไหนมีกล้องวงจรปิดเลย
อ้อมมาถึงตึกหลักของห้องเพาะปลูกดอกไม้ เป็นตึกเล็กๆ ที่มีขนาดสองชั้น ไม่ได้ถือว่าใหญ่มาก เหมือนเป็นที่ที่ให้คนงานของที่นี่พักอาศัยอยู่ ปล่องไฟที่สูงเหนือหลังคามีควันสีขาวฟุ้งออกมา
ซูย้าวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ได้เดินไปที่หน้าห้องแล้วเคาะประตู เธอเคาะครั้งละสามที ระหว่างเคาะได้หยุดหนึ่งนาที แต่เคาะซ้ำไปสี่ห้าครั้ง ก็ไม่ได้ยินเสียงตอบรับของใคร หรือว่าออกมาประตูเลย
ในขณะที่เธอประหลาดใจและสงสัยอยู่ บังเอิญที่ห่างออกไปไม่ไกล ประตูของเรือนเพาะปลูกดอกไม้ห้องหนึ่งได้ผลักออกมาพอดี หญิงสาวคนหนึ่งเดินออกมาจากด้านใน