เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - บทที่ 839 ฉันรู้ว่าตรงไหนมีปัญหาแล้ว
ห้องเพาะปลูกหลายสิบห้อง ลั่วซีไม่ได้พาซูย้าวชมหมดทีละห้อง แค่เลือกมาเจ็ดแปดห้องแล้วพาเธอเยี่ยมชมรอบหนึ่ง
แต่แค่นี้ก็กินเวลาไปหลายชั่วโมงแล้ว แค่พริบตาเดียวก็ได้เปลี่ยนจากกลางวันมาเป็นกลางคืนแล้ว แสงไฟเริ่มส่องสว่าง นี่ก็ดึกแล้ว ตอนที่เวลาประมาณหนึ่งทุ่ม ลั่วซีเชิญชวนเธออยู่ทานข้าวเย็นต่อ เพราะในใจของซูย้าวยังมีความข้องใจมากมาย จึงได้ตอบตกลงด้วยความดีใจ
เธอสังเกตเห็นตอนที่ลั่วซีพาเธอเยี่ยมชมห้องเพาะปลูกดอกไม้ แทบจะพาเยี่ยมชมแต่ละห้องเรียงกันมาเป็นแถวอย่างเป็นระเบียบ แต่ดันมีอยู่ห้องหนึ่งที่ยกเว้น
ไม่ใช่ว่าโครงสร้างของห้องมีอะไรพิเศษ แต่เป็นท่าทีของลั่วซี
เธอแกล้งอ้อมผ่านห้องนั้นไป อีกอย่างซูย้าวได้สังเกตเห็นว่าประตูบานนั้นได้ติดตั้งกลอนประตูดิจิตอลไว้ ดูท่าในห้องเหมือนจะมีอะไรผิดปกติ
ลั่วซีไม่ได้ทำการอธิบายที่มากกว่า แค่บอกว่านั่นเป็นห้องว่างห้องหนึ่ง ด้านในเป็นพวกของจิปาถะ ซูย้าวก็เลยแสร้งเป็นไม่แคร์ และไม่พูดถึงคำถามนี้อีก
อาหารเย็นลั่วปินเป็นคนทำ ถึงแม้เป็นอาหารธรรมดาทั่วไปที่กินกันบ่อยๆ แต่ฝีมือการทำอาหารยอดเยี่ยม รสชาติก็ค่อนข้างดี
ทั้งสามคนนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารด้วยกัน แทบจะใช้มือสื่อสารหมด ดังนั้นเลยเงียบสงบมาก พอทานข้าวเสร็จ ลั่วซียังมีใจอยากจะรั้งซูย้าวไว้พูดคุยต่ออีกสักพัก แต่เห็นได้ชัดว่าท่าทีของลั่วปินตรงกันข้ามกับท่าทีของเธอเลย
“คุณซูครับ ที่นี่ไกลจากโรงแรมค่อนข้างเยอะ ท้องฟ้ามืดถนนลื่น แถมเดินทางลำบาก พวกเราก็ไม่รั้งคุณไว้แล้วครับ ถ้าเต็มใจ พรุ่งนี้ค่อยมาอีกก็ได้ครับ”ลั่วปินได้สื่อความหมายของการไล่แขกออกมาอย่างอ้อมๆ แล้ว
พอพูดแบบนี้ ซูย้าวก็ได้แสดงให้เห็นว่าตัวเองเข้าใจแล้ว พูดคุยกับลั่วซีไปอีกสองคำ ถึงจากไปอย่างอาลัยอาวรณ์
หลังจากส่งซูย้าวไปแล้ว ลั่วซีกลับมาด้วยสีหน้าเศร้าหมองพร้อมกับถอนหายใจ เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ไม่ดี แม้กระทั่งยังรู้สึกไม่มีอารมณ์ด้วย
ลั่วปินเห็นแล้วได้เดินไปแตะหน้าผากเธอเบาๆ แล้วใช้ภาษามือสอบถาม “เธอชอบคุณซูมาก?”
ลั่วซีพยักหน้าอย่างไว พร้อมกับใช้ภาษามือพูดว่า “เธอดีมาก หน้าตาสวยและอ่อนโยน ที่สำคัญคือเธอยังเป็นภาษามือด้วย นอกจากพี่ นานมากแล้วที่ไม่มีคนพูดคุยกับฉันมานานขนาดนี้……”
ลั่วปินก็ได้ก้มหน้าอย่างเข้าอกเข้าใจ แต่เขาจนปัญญากับคำสั่งของเจ้านาย ได้แค่พยายามปลอบโยนภรรยาตัวเอง โอบเธอไว้แน่นพร้อมจูบเธอเบาๆ “ต่อไปพี่จะอยู่เคียงข้างเธอเอง ไม่เป็นไรหนิ กลางคืนเรายังมีงานต้องทำอีก ไปทำงานก่อนเถอะ!”
ลั่วซีถอนหายใจยาวๆ จากนั้นได้ออกมาจากอ้อมกอดเขาด้วยและหยิบเสื้อคลุมขึ้นมาอย่างเอื่อยเฉื่อยด้วย ตอนที่เตรียมจะออกไป ดวงตาคู่สวยระยิบระยับเล็กน้อย พร้อมใช้ภาษามือพูดว่า “ฉันเปลี่ยนใจแล้ว ฉันชอบผู้หญิงอย่างเธอมาก เก็บสะสมเอาไว้แบบนี้ถึงจะสนุกกว่า”
“หยุดโวยวายได้แล้ว เธอเป็นผู้หญิงของเจ้านาย ห้ามคิดฟุ้งซ่าน ถ้าเธออยากจะเก็บสะสม เดี๋ยวรอให้เราเปลี่ยนสถานที่แล้ว พี่ค่อยช่วยเธอหาใหม่”
ลั่วปินได้กล่อมเธออย่างเรียบง่าย จากนั้นได้ถือโอกาสหยิบเสื้อคลุมขึ้นมา และออกไปที่ห้องเพาะปลูกดอกไม้พร้อมกับเธอ
ส่วนด้านนอก ข้างถนนที่ห่างจากเวินย่วนประมาณเจ็ดแปดร้อยเมตร ได้มีรถยนต์สีดำคันหนึ่งจอดอยู่ตั้งนานแล้ว คนสามคนที่อยู่ด้านในก็เงียบสงบมาเป็นเวลานานแล้ว
น่าจะสองชั่วโมงก่อนก็มาถึงที่นี่แล้ว
เหตุที่ไม่ได้เข้าไปในทันที อันดับแรกคือ พวกเขาไม่ค่อยแน่ใจว่าซูย้าวอยู่ในนั้นจริงหรือเปล่า รองลงมา พวกเขาก็ไม่ค่อยมั่นใจเหมือนกันว่าซูย้าวได้สงสัยที่นี่แล้ว ขืนทำอะไรบุ่มบ่าม มีแต่จะทำให้เรื่องยิ่งแย่ขึ้นไปเรื่อยๆ เฝ้ารอเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดและได้ผลที่สุด
แต่ก็ไม่ใช่ว่ารอคอยอย่างอย่างไร้จุดหมายนะ ระหว่างนั้น โม่หว่านหว่านได้ใช้ความสามารถพิเศษของตัวเอง ถือโน๊ตบุ๊คของลี่เฉินซีไว้ ใส่โปรแกรมของตัวเองเข้าไปอย่างง่ายดาย ได้ตรวจสอบทั้งเวินย่วนจนชัดเจนและทั่วถึงอย่างชิวๆ
แต่ถึงจะชัดเจนและทั่วถึงแค่ไหน มันก็แค่ผิวเผินและคร่าวๆ เท่านั้น ส่วนรายละเอียดเฉพาะเจาะจงที่ว่าที่นี่นอกจากเพาะปลูกดอกไม้แล้ว ยังประกอบกิจการอะไรอยู่ แล้วค่าไฟที่แต่ละสัปดาห์แพงจนหูฉี่ เกิดเนื่องจากสาเหตุอะไร พวกเขาไม่รู้เลย
ในระหว่างนี้ซูย้าวก็ได้ออกมาจากเวินย่วน เพราะตอนมาคือมาด้วยเท้าเปล่า เพราะฉะนั้นตอนขากลับ เธอก็ได้หอบกระดานสกีไว้ และเดินอยู่บนถนนคนเดียวอย่างช้าๆ
เดินอยู่ดีๆ เธอได้สังเกตเห็นรถยนต์สีดำที่จอดอยู่ข้างถนน ไม่ถือว่าโดดเด่น ไม่ว่าป้ายทะเบียนหรือว่ารุ่นรถ แต่อยู่ในโลกที่หิมะขาวโพลนปกคลุมไปทั่วนี้ โดยเฉพาะถนนเส้นเล็กที่เปลี่ยวแบบนี้ การปรากฏตัวของมัน เป็นเรื่องคาดไม่ถึงโดยที่ไม่มีต้องสงสัยเลย
ซูย้าวมองดูรถหลายทีตั้งแต่ไกล ในใจคอยไตร่ตรองอยู่ จากนั้นได้เดินไปตามทางต่อ ตอนที่ใกล้จะเดินผ่านรถ จู่ๆ ได้หยุดฝีเท้าลง
ส่วนลี่เฉินซีกับเจียงจี้เซิงที่อยู่ในรถกำลังดูข้อมูลในโน๊ตบุ๊คอยู่ ทั้งสองกำลังหารืออะไรอยู่ สมาธิของโม่หว่านหว่านก็ล้วนจดจ่ออยู่ที่โน๊ตบุ๊ค ดังนั้นจึงไม่ได้สังเกตและไม่เห็นซูย้าวที่เดินอยู่ข้างนอกเลย
ซูย้าวย้อนกลับมาที่นี่อีกครั้ง เธอพิงอยู่ที่ข้างประตูของเบาะนั่งข้างคนขับ พร้อมยื่นมือเคาะกระจกรถ
เสียงที่ดังขึ้นกะทันกัน ทำเอาทั้งคนสามคนที่อยู่ในรถเกือบตกใจหมด เจียงจี้เซิงที่นั่งรออยู่เบาะนั่งข้างคนขับได้มองดูดีๆ นี่ถึงโล่งอกลงไปที จากนั้นเขารีบผลักประตูออก “คุณซู”
ซูย้าวโน้มตัวเล็กน้อย ก็เห็นผู้ชายคุ้นเคยที่นั่งอยู่เบาะนั่งฝั่งคนขับ เธอได้ทักทายกับเจียงจี้เซิงด้วยรอยยิ้ม จากนั้นได้เปิดประตูเข้าไปนั่งที่เบาะนั่งหลัง
โม่หว่านหว่านเห็นการมาเยือนของเธอปุ๊บ ได้รีบปิดโน๊ตบุ๊คด้วยจิตใต้สำนึก แถมยังมีความกระวนกระวายและความอึดอัด เธอแค่พูดว่า “เอ่อคือ พวกเราเดาว่าเธออาจจะมาที่นี่ ก็เลยมาหาเธอ แต่ซูย้าว ทำไมเธอไปก็ไม่บอกฉันสักคำเลย?”
“ยังมีอีก ฉันโทรหาเธอ ทำไมเธอก็ไม่รับสายเลย?”
เผชิญกับการซักถาม ซูย้าวไม่มีความกังวลที่มากเกินไป แค่พูดคำเดียวว่า “ก่อนหน้านี้ยุ่งเกินไป เลยไม่มีเวลารับสาย”
ระหว่างที่เธอพูด ก็ได้ยื่นมือเคาะโน๊ตบุ๊คที่อยู่อ้อมกอดของโม่หว่านหว่าน “นี่คืออะไร?”
“ห๊ะ อันนี้……”โม่หว่านหว่านอ้ำๆ อึ้งๆ ค่อนข้างไม่รู้ว่าควรจะตอบยังไง
ซูย้าวหันมายิ้มอย่างเรียบเฉย แต่คำพูดกลับทำคนตกตะลึงมาก “คือข้อมูลของเวินย่วนเหรอ?ให้ฉันดูหน่อยได้มั้ย?”
“อันนี้……”ถึงแม้โม่หว่านหว่านรู้ว่าปิดบังเธอไม่ได้ แต่ก็ไม่อยากพูดออกมาหมดเปลือกเร็วขนาดนี้ แต่พอคำหนึ่งถึงว่าก็ไม่ได้ตรวจสอบเจอข้อมูลที่มีประโยชน์อะไร จึงได้หันไปมองลี่เฉินซีที่อยู่ด้านหน้า
ลี่เฉินซีได้ควบคุมรถเตรียมย้อนกลับไปยังทิศทางของโรงแรม จึงย่อมไม่ได้ตอบสนองต่อสายตาที่ขอความช่วยเหลือของโม่หว่านหว่าน แต่เหมือนก็ได้ให้คำตอบจากอีกด้านหนึ่ง
พอแบบนี้ โม่หว่านหว่านได้แต่ตัดสินใจเปิดโน๊ตบุ๊คขึ้นมาใหม่อีกครั้ง แล้วยื่นให้กับซูย้าว”ใช่ มีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเวินย่วน เพราะเธอวิ่งมาคนเดียว ฉันกลัวว่าเธอจะเกิดเรื่อง จะไม่ตรวจสอบได้เหรอ!”
ซูย้าวไม่มีทีท่าว่าจะกล่าวโทษเธอ เธอก็แค่ค่อนข้างสงสัยเวินย่วน ถึงแม้ยังรู้สึกว่าปัญหามากมายไม่ใช่ว่าจะสามารถตรวจสอบชัดเจนในวันเดียว เพราะฉะนั้นจึงอยากกลับโรงแรมก่อนแล้วค่อยว่ากัน แต่นาทีนี้ก็แค่มีอารมณ์ที่ว่าอยากจะลองดู จึงสไลด์ดูข้อมูลในโน๊ตบุ๊คขึ้นมา
โม่หว่านหว่านยังคอยพูดอยู่ข้างๆ “เวินย่วนเป็นฐานเพาะปลูกดอกไม้ เพราะสภาพแวดล้อมพิเศษ ตำแหน่งที่ตั้งก็พิเศษมาก เพราะฉะนั้นจึงสามารถเพาะปลูกพืชและดอกไม้ไม่น้อยที่เหมาะสมกับอุณหภูมิหนาวเย็นของภาคเหนือ……”
“ไม่รู้ว่าศูนย์เพาะปลูกของพวกเขาอาศัยอะไรมาประทังชีวิตกันแน่ แทบจะรายรับไม่พอรายจ่าย แค่อาศัยขายดอกไม้แค่นี้ ก็สามารถเลี้ยงดูห้องเพาะปลูกดอกไม้เยอะขนาดนี้ ไม่ใช่ธุรกิจที่สุจริตอะไรจริงๆ ”
โม่หว่านหว่านแค่พูดเรื่อยเปื่อย ยืนอยู่ในมุมของบุคคลที่สาม แถมยังแฝงด้วยน้ำเสียงที่แขวะ
ซูย้าวก็รู้สึกว่าพวกนี้ล้วนมีปัญหาทั้งนั้น คนฉลาดล้วนสามารถดูออกทั้งนั้น ที่นี่ไม่ใช่ฐานที่เหมาะสมกับการเพาะปลูกดอกไม้ที่สุด รักษาสภาพการค้าไว้ ก็เป็นเรื่องน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ แต่ห้องเพาะปลูกดอกไม้หลายสิบห้อง ยังสามารถดำเนินงานได้ปกติ มันไม่ธรรมดาจริงๆ
โม่หว่านหว่านเห็นเธอมักแต่ลุ่มหลงอยู่กับการสไลด์ดูโน๊ตบุ๊ค ไม่สนใจตัวเองเลยสักนิด จึงได้ชะโงกศีรษะไปดูด้วยความแปลกใจ เห็นเธอกำลังดูรูปถ่ายที่ผ่านมาของพนักงานเวินย่วน เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้อีก จึงรีบพูดว่า “ยังมีอีก คนรับผิดชอบดูแลของที่นี่ ล้วนเป็นผู้พิการทั้งนั้น หรือว่าที่นี่จะเป็นหน่วยงานสถานสงเคราะห์?”
“เจ้านายเป็นสามีภรรยากัน แถมยังเป็นพี่น้องกันด้วย ฉันดูแล้วแซ่ลั่วกันทั้งสองคน……”
พูดถึงอันนี้ ซูย้าวก็ได้สไลด์ดูรูปถ่ายของด้านในด้วยความแปลกใจ ได้สไลด์เจอรูปถ่ายหนึ่งในนั้นโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ จากนั้นเธอได้กดปุ่มขยาย คอนเฟิร์มแล้วคอนเฟิร์มอีก แต่ก็ยังยากที่จะอำพรางความประหลาดใจและความตะลึงของแววตา
“ฉันรู้ว่าปัญหาเกิดจากตรงไหนแล้ว!”ทันใดนั้นซูย้าวได้ส่งเสียง จากนั้นได้รีบปิดโน๊ตบุ๊คพร้อมกับพูดว่า “เฉินซี จอดรถ จอดชิดข้างๆ เดี๋ยวนี้!”