เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - บทที่ 871 อะไรที่เรียกว่าหาเรื่องใส่ตัว
เมื่อใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหลังเล็กคนเดียวท่ามกลางหุบเขามานับเป็นวันที่ 6 แล้วนั้น พลันเริ่มมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น
ซูย้าวเห็นชายชราผู้หนึ่ง มีอายุมาก ผมหงอกขาวโพลนไปทั่วศีรษะ ซึ่งแสดงถึงลูกครึ่งเอเชียอย่างชัดเจน ดวงตาสีฟ้าคราม ทว่ากลับมีลักษณะคนผิวเหลืองแสดงให้เห็นจนเด่นชัด
ชายชราใส่สูทอย่างเป็นทางการ พลันมีเสื้อโค้ทแคชเมียร์ตัวหนาพาดอยู่บนตัว ตัดเย็บอย่างประณีต ประเด็นสำคัญที่สุดคือ อากัปกิริยาของคนอื่นเมื่อเห็นชายชราคนนั้น พลันแสดงความเคารพยำเกรง และเกรงใจเป็นอย่างมาก
ซึ่งแสดงให้เห็นอย่างชัดเจน ชายชราท่านนี้ ฐานะไม่ธรรมดาเลย
ทว่า คนที่อยู่ข้างกายอานเจียเย้น อายุอานามเยอะขนาดนี้แล้ว แถมยังเป็นลูกน้องภายใต้อาณัติของเขา ซูย้าวพลันครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จึงคิดออก
น่าจะเป็นช่วงวัยเด็กที่เพ้ยหยู่เจี๋ยไปเอาตัวอานเจียเย้นมา จึงได้จัดพ่อบ้านให้ดูแลอยู่ข้างกาย ความสัมพันธ์เจ้านายกับลูกน้อง เนื่องจากการได้ใช้ชีวิตร่วมด้วยช่วยกันมานานหลายปี จึงมีความเอ็นดูดั่งพ่อลูก อีกอย่างแม้ว่าจะเป็นเพียงพ่อบ้านก็ตาม แต่รู้เรื่องของอานเจียเย้นทุกซอกทุกมุม ความสัมพันธ์ฉันเจ้านายกับลูกน้อง ถึงได้แสดงความมีมารยาทตอบสนองเช่นนี้อย่างชัดเจน
แล้วทำไมก่อนหน้านี้ซูย้าวถึงไม่ได้เจอหน้ามาก่อนเล่า เรื่องเหล่านี้เธอไม่อยากคำนึงถึงเลย แค่เหลือบมองชายชราชั่วแวบเดียว พลันเกิดความรู้สึกว่ารับรู้เท่านั้นเอง
ชายชราแสดงอากัปกิริยาเย็นชากับคนอื่น กระทั่งมีท่าทางตอบสนองได้น้อยมาก ในทางกลับกันทว่าเมื่อเดินมาอยู่ด้านข้างเธอ พลันโค้งตัวลงและก้มศีรษะเล็กน้อย และกล่าวทักทาย “คุณหนู”
“คุณอาจจะไม่รู้จักผม แต่ผมรู้จักคุณ ผมชื่อไชลด์ คุณเรียกผมว่าลุงไชลด์ก็ได้ครับ” ชายชราเป็นคนแนะนำตนเองก่อน
ซูย้าวพยักหน้าตอบแสดงความเกรงใจ “สวัสดีค่ะ ลุงไชลด์”
“คุณหนูครับ นายท่านเรียนเชิญ ถ้าเป็นไปได้ รบกวนเปลี่ยนเสื้อผ้าและออกไปพร้อมผมครับ!” ลุงไชลด์กล่าว
ซูย้าวเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งในทันที พลันหันตัวเดินขึ้นชั้นบ้าน เพื่อทำการเปลี่ยนเสื้อผ้า และเพิ่มเสื้อโค้ทอีกตัว พร้อมทั้งพาดไว้บนตัวจากนั้นจึงเดินตามลุงไชลด์ไปทางด้านนอกทันที
เนื่องจากถนนหนทางของที่นี่ไม่สะดวกในการใช้รถในการเดินทาง ถ้าต้องการลงจากภูเขาจำต้องเดินด้วยเท้าสักระยะ และถือว่าเสียเวลานานมาก
ดังนั้นเมื่อซูย้าวออกจากประตูบ้านนั้น ยังเปลี่ยนเป็นรองเท้ากีฬาอันนุ่มใส่สบาย แต่สิ่งที่ทำให้เธอคาดไม่ถึงก็คือ เพิ่งเดินได้เพียงไม่กี่ก้าว ก็ไม่มีความจำเป็นต้องโดยสารรถยนต์แล้ว เพราะบริเวณบนท้องฟ้าด้านนอก มีเฮลิคอปเตอร์ที่กำลังบินลอยตัวอยู่บนท้องฟ้าโปร่ง และบินต่ำอยู่นานมากแล้ว
สภาพอากาศขณะเฮเลิคอปเตอร์กำลังหมุนใบพัดอยู่นั้น ความเย็นเฉียบตีกระแทกใบหน้าเข้ามา และยังพัดเส้นผมยาวของเธอปลิวไสวจนยุ่งเหยิง
ชายชราดูแลซูย้าวตามสัญชาตญาณ และทางด้านข้างยังมีคนดูแลลุงไชลด์อีกทอด จากนั้น ทั้งสองจึงขึ้นเครื่อง และเฮลิคอปเตอร์จึงเริ่มยกตัวขึ้น ทั้งสองคนจึงเดินทางออกจากพื้นที่อันปกคลุมดั่งทะเลหิมะ
อย่างไรก็ตามเพียงเวลาชั่วครู่ ประมาณครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ เฮลิคอปเตอร์จึงค่อย ๆ ลดระดับลงจอดบนยอดตึกอันสูงตระหง่านระฟ้า ซูย้าวลงจากเฮลิคอปเตอร์พร้อมกับลุงไชลด์ ทางนี้ได้จัดเตรียมรอต้อนรับเอาไว้ก่อนแล้ว พลันมีคนจำนวนหลายคนเดินนำหน้าเพื่อเป็นการต้อนรับ ท่ามกลางแรงลมขนาดรุนแรงจากใบพัด และดูแลลุงไชลด์กับซูย้าวให้ลงไปชั้นล่างด้วยกัน
เมื่อลงมาจากดาดฟ้า ถือเป็นสำนักงานชั้นสูงสุดของตึกทั้งหมดลุงไชลด์ จัดระเบียบเสื้อผ้าเล็กน้อย และถอดเสื้อโค้ทแคชเมียร์ออก จึงเคาะประตูห้อง หนึ่งในนั้น
ไม่มีเสียงใดๆ ตอบรับมาจากด้านใน แต่ลุงไชลด์รับรู้แก่ใจดี พลันหมุนลูกบิด และเดินเข้าไป และยังหันตัวด้านข้างเพื่อส่งสัญญาณให้ซูย้าวเข้าไปด้วย ในเวลาเดียวกัน
เธอไม่ลังเลสักนิด พลันเดินตามลุงไชลด์เข้าไปในห้องทำงานพร้อมกัน
ภายในห้องมีขนาดใหญ่มาก จัดว่าหรูหราเป็นอย่างยิ่ง ทว่ากลับไม่มีใครอยู่สักคน
ลุงไชลด์ใช้สายตากวาดตามองภายในห้อง จากนั้นจึงหันกลับมามองซูย้าว “คุณชายน่าจะพักผ่อนอยู่ กรุณารอสักครู่ครับ”
ซูย้าวพยักหน้า ลุงไชลด์เดินออกไปแล้ว
เธออยู่ในห้องขนาดใหญ่โตโอ่อ่าเพียงคนเดียว พลันค่อยๆ เดินทีละก้าว จากนั้นจึงนั่งลงบนโซฟา และถอดเสื้อขนเป็ดบนตัวออก เหลือแค่เสื้อสเวตเตอร์คอเต่าสีขาวอ่อนเพียงตัวเดียว ยิ่งขับลำคอระหงของเธอให้งดงามเหลือเกิน ใบหน้าอันหวานละมุน ความงดงามอันเป็นธรรมชาติ ซึ่งไม่ได้แต่งแต้มเครื่องสำอางแต่อย่างใด ทว่าท่ามกลางแสงสะท้อนภาพมัวจากกระจกนอกหน้าต่าง ราวกับเทพธิดานางฟ้า
สักพัก เธอจึงได้ยินเสียงบางอย่างดังขึ้นมาเล็กน้อย
ช่างเบามาก ราวกับมีอะไรสักอย่างถูกเปิดออก จนมีเสียง ‘แก๊ก’ ซูย้าวย่นคิ้วเล็กน้อย และกำลังอยากมองไปตามเสียงนั้น ทว่าหลังจากนั้นจึงมีเสียงผู้ชายดังขึ้นมาจากด้านหลัง “รอเดี๋ยวนะ”
เธอตะลึงชั่วครู่ เมื่อหันไปมอง จึงเห็นว่าอานเจียเย้นเดินออกมาจากห้องลึกลับที่ซ่อนเอาไว้ และกดอะไรสักอย่างที่ชั้นวางหนังสือ จากนั้นชั้นวางหนังสือจึงค่อยๆ เคลื่อนย้าย และกลับคืนรูปตามเดิม ทว่าห้องที่อยู่ในนั้น พลันหายวับไปกับตาอย่างไร้ร่องรอย
เขาใช้มือติดกระดุมตรงชายแขนข้อมือเสื้อเชิ้ต และเดินอ้อมมายังโต๊ะทำงานอย่างรวดเร็ว พลางหยิบรีโมทที่อยู่บนโต๊ะอย่างคล่องมือ พลันหันไปกดปุ่มเพื่อเปิดหน้าจอ LCD ที่อยู่ในระยะไกล
หน้าจอสว่างทันที และปรากฏภาพให้เห็นอีกครั้ง พลางดึงดูดความสนใจซูย้าวทันที
ในภาพนั้น พลันปรากฏภาพบนเกาะเดี่ยวแห่งหนึ่งที่เพิ่งผ่านมาไม่นานนักให้เห็นเป็นสิ่งแรก ในนั้นเป็นคลิปวิดีโอซึ่งลี่เฉินซีเดินนำหน้าพร้อมทั้งมีคนอีกหลายคน และกำลังทำธุรกิจอะไรสักอย่างกับคนอีกกลุ่มหนึ่ง แม้ว่าคลิปนั้นไร้เสียง อาจจะเป็นเพราะว่าถ่ายอยู่ในระยะไกลมาก จึงได้ยินอะไรไม่ถนัดนัก แต่การมองจากสถานการณ์ของทั้งสองฝ่ายแล้ว บวกกับภาพที่เกิดการลงมือกันที่ปรากฏให้เห็นอยู่ถัดมา แถมยังแสดงความรุนแรง และดูไม่ประสบผลสำเร็จ
แต่สิ่งเหล่านี้มันไม่ใช่ประเด็นสำคัญ สิ่งที่สำคัญคือ พวกเรากำลังทำธุรกิจเรื่องอะไรอยู่
หลังจากซูย้าวมองกล่องหนังของทั้งสองฝ่ายอย่างชัดเจนแล้ว ดวงตางดงามพลันหม่นหมองลงทันที และมิสามารถควบคุมอารมณ์ได้อีกแล้ว พลันระเบิดอยู่ในก้นบึ้งหัวใจ ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วคือโกรธเคือง หรือว่าขุ่นเคืองใจกันแน่ หรือสะพรึงกลัวจนเกินเหตุ ชั่วพริบตาเดียว เธอหาเสียงตนเองไม่เจอ ราวกับลำคอเธอแห้งผากจนไม่สามารถเปล่งเสียงใดออกมา
เธอเอาแต่จับจ้องมองภาพเคลื่อนไหวนั้นต่อไปเรื่อย ๆ กระทั่งวิดีโอถูกตัดไป เธอยังมิสามารถละสายตาได้ และสงบความคิดของเธอลงได้เลย
อานเจียเย้นขอให้ลี่เฉินซีไปทำธุรกิจพรรค์นี้เหรอ?!
นี่มันหมายความว่าอะไร หรือว่าลี่เฉินซีไม่รู้เห็นเรื่องนี้ด้วยเหรอ?
อานเจียเย้นต้องใช้วิธีการบางอย่างมาบีบบังคับเขาอยู่แน่ แต่ว่าเป็นเรื่องอะไรเล่า? หรือเป็นเพราะว่าตัวเธองั้นเหรอ?
ไม่นะ ไม่น่าจะใช่อย่างแน่นอน
ถ้าใช้ตัวเธอเองมาบีบบังคับ ลี่เฉินซี..
บางทีเขาถึงขั้นทำถึงขั้นนี้จริงๆ แล้วก็ได้…
ซูย้าวมิอาจหลบซ่อนกระแสน้ำไหลเชี่ยวกรากที่กำลังแยกแยะไม่ออกอันซ้อนเร้นอยู่ บริเวณตำแหน่งข้างตัว อานเจียเย้นพลันนั่งลง เขาเอียงตัวและนำมือวางพาดบนไหล่ของเธออย่างแผ่วเบา และดึงตัวเธอเข้ามากอดอยู่ข้างกายของตนเอง พลันใช้อีกมือหนึ่งจับแก้มเธอเอาไว้ “พวกเรามาคุยกันดีๆ นะ!”
“ชิงชิง พูดกันแล้วนะ คุณเป็นคนที่ผมฝึกฝนมาเองกับมือ จะทำอะไร หรือคิดจะทำอะไร คุณคิดจริงๆ หรือว่าผมจะไม่รู้?”
นัยน์ตาอานเจียเย้นแสดงความเย็นชาไร้สึกความอบอุ่นแต่อย่างใด ทั้งเย็นชา และนิ่งเฉย ราวกับแสงเลเซอร์ที่ยิงออกมา พลันทะลุเข้านัยน์ตาของเธออย่างแรงกล้า “คุณไม่ใช่แค่กลับไปหลงรักลี่เฉินซีซ้ำอีกรอบ แถมยังไปท้องลูกของเขาอีก คุณยังคิดเสียสละตัวเอง เพื่อเป็นการปกป้องให้เขากับลูกๆ ปลอดภัยด้วยกันทั้งคู่”
“กระทั่งก่อนที่ผมจะไปรับคุณกลับมา คุณยังไปแจ้งความที่สถานีตำรวจด้วยตนเอง เพื่อเอาหลักฐานในชื่อของอานหว่านชิงทั้งหมด แก้ไขเป็นชื่อของลี่เฉินซี จุดประสงค์ที่ทำเช่นนี้ก็เพื่ออะไรกัน?”
อานเจียเย้นใช้นิ้วที่บีบปลายคางของเธอนั้น เริ่มลงแรงบีบแน่นเล็กน้อย และพยายามเชิดใบหน้าของเธอขึ้น “คุณหวังให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการตรวจสอบคดีนี้ เพราะคุณรู้ว่า ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้นได้จับตามองผมอยู่ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว …”
เขาจงใจลากเสียงยาว “หรือจะพูดว่าไม่ได้จับตามองมาที่ผม แต่กลับเป็น joke แทน”
กระทั่งถึงทุกวันนี้ บุคคลยังโลกภายนอกอีกมากมายต่างเคยได้ยินชื่อjoke มาก่อน แต่กลับไม่รู้ว่าภายใต้ฉายานามนี้ คือบุคคลใดที่หลบซ่อนตัวอยู่
Joke เป็นเพียงบุรุษสรรพนามชื่อ ที่ซ่อนตัวอยู่ระหว่างสายขาวสายดำ เป็นราชาที่ใช้ชีวิตอยู่ในโลกสีเทา ธุรกิจผิดกฎหมาย สิ่งเลวทรามต่างๆ นานา ความลับในสังคมชนชั้นสูงทั้งหมดทุกอย่าง ต่างตกอยู่ภายใต้การควบคุมของเขาทั้งสิ้น
ราวกับไม่มีตัวตน ทำตัวลึกลับหาตัวจับได้ยากและไม่เปิดเผยตัวตน
อาจจะเป็นคนคนหนึ่ง หรืออาจจะเป็นคนกลุ่มหนึ่ง บ้างเป็นชื่อขององค์กรหรือคำเรียกอะไรสักอย่าง
ส่วนเรื่องรายละเอียดนั้น ยังไม่มีใครรู้เป็นที่แน่ชัด
และมิสามารถตรวจสอบต้นตอได้ เพราะว่าไม่มีหลักฐานชี้ชัดโดยตรง จึงไม่มีการตั้งคำร้องจัดตั้งคดีได้ และไม่สามารถตรวจสอบได้ทุกด้าน
“คุณหวังใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ เพื่อให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าร่วมการตรวจสอบ โดยการเอาชื่อของลี่เฉินซีเขียนลงในนั้น ก็เพื่อให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจสอบเรื่องนี้ให้ชัดเจนก่อน ซึ่งเขาไม่มีส่วนใดเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้สักนิด และหลุดพ้นข้อกล่าวหาได้ทันที จากนั้น จึงเบนเข็มหันมาชี้เป้าที่ผมทั้งหมด”
อานเจียเย้นพูดถึงตรงนี้ จึงหรี่ตาลงเล็กน้อย แรงที่อยู่ในมือพลันลงแรงหนักกว่าเดิมเล็กน้อย จนกระดูกข้อนิ้วเริ่มขาว บริเวณกรามของซูย้าว รู้สึกเหมือนถูกเขาบีบให้หัก ทว่ากลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด เมื่อเอามาเปรียบเทียบกับความตื่นตระหนกที่อยู่ในหัวสมองแล้ว ความเจ็บปวดแค่นี้ มันจะสักแค่ไหนกันเชียว?
“แต่ว่า ถ้าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นเพียงการหาเรื่องใส่ตัวเองล่ะ?”
อานเจียเย้นลดแรงลง และเหวี่ยงเธอทันที “คุณจงใจวางแผนมานาน กระทั่งไม่เสียดายถึงขั้นเสียสละตนเอง โดยการวางแผนซ้อนกลับ ไม่สนใจในการหลักหลังผม และใช้การหักมุมต่างๆ เพื่อต้องการปกป้องผู้ชายเอาไว้ทุกด้าน ถ้า สุดท้ายแล้วมันก็แค่สูญเปล่า!”