เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - บทที่ 879 เซอร์ไพรส์เล็กๆ
“คุณสำหรับผมแล้ว ไม่ได้เป็นเพียงของเล่นที่อยู่ในมือเท่านั้น แต่เป็นหมากที่สามารถควบคุมไว้ใช้งานได้อีก แต่ไม่สนว่าอะไร ก็ไม่มีสิ่งใดที่ได้สิทธิ์เป็นพิเศษ จนสุดท้าย มันก็จะผิดพลาดซ้ำรอยเฉกเช่นหญิงสาวพวกนั้น”
ซูย้าวมองอานเจียเย้นคนนี้ออก ไม่ว่าความทรงจำจะกลับคืนมาหรือไม่ เธอก็มองออกจนทะลุปรุโปร่ง
เขาไม่ใช่แค่สงสัยจนเกินเหตุ กระทั่งไม่เชื่อใจใครสักคนอย่างแน่นอน นอกจากคุณค่าจากใช้ประโยชน์แล้ว เขาก็ทำให้คนคนนั้นหายวับไปกับตาตลอดไป
ส่วนเรื่องผู้หญิงนั้น สำหรับเขาแล้ว เป็นเพียงของเล่นคั่นเวลาไปแบบนี้ตลอดเท่านั้นเอง
มีผู้หญิงที่ฉลาดเฉลียวเกินคาด ต้องการจะหนีให้หลุดรอด การทำเช่นนี้มันยิ่งเป็นการกระตุกต่อมปรารถนาจนอยากจะควบคุมเอาไว้ มีผู้หญิงบางคนที่กล้าหาญและช่างเจ้าเล่ห์แสนกล เขาก็จะใช้แผนตอบโต้เช่นเดียวกัน มีความสุนทรีย์มากขึ้น มีผู้หญิงบางคนเป็นคนจิตใจแสนดี เขาก็จะทำตัวดีมากขึ้น โดยทำให้เธอล่องลอยอยู่บนเหนือเมฆ ถลำลึกสู่ความหวานชื่น แต่พริบตาเดียว ในจุดสูงสุดของความสุขอันเปี่ยมล้น ก็จะเผชิญหน้ากับยมทูตทันที
เขาเป็นแบบนี้ ไม่เพียงแต่ชอบควบคุมคนอื่น แต่ชื่นชมเหมือนทำตัวสนิทชิดเชื้อในมวลหมู่เพื่อนฝูง กระทั่งเกมในความรักใคร่ จนได้รับความสุขของคนคุมเกมอย่างหนึ่ง
พลันครุ่นคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว มันคือความผิดปกติ
ทั้งหมดนั่นมันคือความผิดปกติทางจิตใจ
ซูย้าวเองก็ไม่ใช่คนที่มีชีวิตอยู่ด้วยความรู้สึกพิเศษที่สุด อย่างมากเธอก็สามารถทำให้เขารู้สึกแปลกใหม่ได้ไม่กี่ปี เรื่องการทำร้าย เรื่องการไม่ได้ใช้ผลประโยชน์ มันก็เป็นคำพูดหลอกลวงทั้งเพ รอวันที่ความรู้สึกเช่นนี้ผ่านพ้นไปแล้ว เธอก็เป็นเพียงผู้หญิงแสนธรรมดาที่สุดคนหนึ่ง กระทั่งในสายตาของเขานั้น ไม่คุ้มค่าในการให้เอ่ยถึงด้วยซ้ำ
ขนาดเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเองแท้ๆ ยังวางแผนใส่ร้ายได้อย่างโหดเหี้ยม ขนาดผู้หญิงที่ตนเองเคยรักมาก่อนก็ยังสามารถลงมือได้อย่างเหี้ยมโหด ผู้ชายเช่นนี้ ยังสามารถใช้คำว่า ‘มนุษย์’ ในการขาดเรียกอยู่หรือไม่?
เขาไม่ใช่คน และไม่ใช่สัตว์เดรัจฉาน กระทั่งไม่สามารถใช้คำใดสรรพนามใดมาเปรียบเทียบได้!
คำพูดอันแสนเฉียบแหลมอยู่บ้างของเธอ เต็มไปด้วยความโกรธเคือง และอัดแน่นด้วยอารมณ์ที่เปลี่ยนไปมากขึ้น แต่อานเจียเย้นยังใช้นัยน์ตาเย็นชาหม่นหมองดั่งนกอินทรีจ้องมองเธอ ราวกับเป็นการชูธงรบขึ้นเสา กระทั่งยังควักปืนพกพาออกมา และล้มเลิกความคิดในการฆ่าเธอให้ตายไปในเวลานี้อีกด้วย
“บางทีคุณอาจจะพูดถูกแล้ว” เขาเก็บปืน พลันหันตัว “แต่ถ้าฆ่าคุณตอนนี้ มันก็ไม่มีความหมายอะไรอยู่ดี”
น่าจะรอสักสักหน่อย เขาเพิ่งจะแค้นเคืองจนเกินเหตุ จนขาดสติไปบ้าง
เนื่องจากใช้ความมุมานะอุตสาหะในการวางแผนตั้งมากมายขนาดนี้ จู่ๆ ระหว่างทันดันทำให้เธอตายไป งั้นมันก็ช่างน่าเสียดายเหลือเกินใช่ไหมล่ะ?
ทั้งหมดนี่ร้าวกับเป็นการแสดงอย่างหนึ่ง จำต้องคอยสอดส่องคนดูด้วย เช่นนั้นมันจะทำให้ตื่นเต้นมากขึ้น ยิ่งทำให้มีความหมายมากขึ้น ไม่ใช่เหรอ?
อานเจียเย้นครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ พลันขยับมือเพื่อหยิบเสื้อโค้ตที่อยู่ข้างโซฟาขึ้นมา จึงพาดลงบนตัว จากนั้นจึงเดินจ้ำอ้าว มุ่งหน้าเดินออกไปทางด้านนอก
ซูย้าวจ้องมองแผ่นหลังของชายหนุ่ม จึงเอ่ยปากพูดซ้ำขึ้นมาทันที “ปล่อยโม่หว่านหว่านไป เธอไม่มีประโยชน์กับคุณแล้ว!”
ฝีเท้าของชายหนุ่มชะงักทันที แต่ยังไม่หยุดพัก และยิ่งไม่ได้หยุดเท้า ในทางกลับกันเขายิ่งเร่งฝีเท้าให้เร็วมากขึ้น เมื่อออกจากประตูบ้านไปแล้ว ร่างกายก็หายวับไปทันที
บอดี้การ์ดที่เหลืออยู่อีกสองคนยกศพของเจี่ยงเวินอี๋ขึ้นมา เรื่องรายละเอียดในการจัดการศพนั้น ซูย้าวไม่รู้สักนิด เธออยากจะถาม แต่อีกฝ่ายกลับไม่ปล่อยโอกาสให้เธอเลย
เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว เธอยังคงเป็นนักโทษที่อยู่ใต้อาณัติของเขา ชีวิตตัวเอายังเอาตัวไม่รอด แล้วจะไปปกป้องคนอื่นได้อย่างไรกัน?
แต่ว่า ความเป็นอยู่ของโม่หว่านหว่าน มันทำให้เธอรู้สึกวิตกกังวล
ถ้าหว่านหว่านเกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆ แล้วเธอควรจะทำอย่างไรดี?!
เรื่องราวทั้งหมดทั้งมวล สามารถพูดได้ว่าอานเจียเย้นต้องการโจมตีเธอกับลี่เฉินซีมาตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงทุกวันนี้ ส่วนลู่ส้าวหลิงกับโม่หว่านหว่านนั้น ถึงดึงมาเกี่ยวพันถึงเรื่องนี้ด้วย แต่ด้วยสถานการณ์ที่เห็นกันอยู่นั้น เธอเกรงว่า…
มีความเป็นไปได้ยากมากนักในการเป็นคิดถึงคนอื่นแล้ว
……
ณ สถานที่แห่งหนึ่งต่างบ้านต่างเมืองที่อยู่ไกล ในช่วงเวลาเดียวกัน
ลี่เฉินซีได้ส่งอาตงกับเซียวหยางมาถึงตรงหน้าสถานีตำรวจด้วยตนเอง เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงความยุ่งยากในระยะนี้ ดังนั้นเขาจึงรีบออกไปในเช้าวันนี้เลย
รายละเอียดหลังจากนั้นมันเกิดอะไรขึ้น เขาก็ไม่ได้เห็นเองกับตา ตอนที่เขาเดินออกจากเครื่องบินนั้น เขาพลันเห็นข่าวจากท้องที่ มีข่าวผู้ชายชาวเอเชียสองคนเกิดอุบัติเหตุรถชนบริเวณข้างถนน และเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ
เขาเหลือบมองหน้าจอที่ปรากฏภาพอาตงกับเซียวหยาง ชั่ววินาทีนั้น โลหิตที่หมุนเวียนในร่างกายมันย้อนกลับ ใบหน้าอันหล่อเหลาหม่นหมองลงถนัดตา
ยังไงเสียอานเจียเย้นลงมือแล้ว!
แต่ว่า เขาเป็นคนไปส่งอาตงกับเซียวหยางที่สถานีตำรวจด้วยตนเอง เรื่องระหว่างนั้นมันเกิดเรื่องอะไรขึ้น ที่ให้ทั้งสองคนประสบอุบัติเหตุโดนรถชนอยู่ข้างถนน…
จังหวะที่เขากำลังสงสัยอยู่นั้น โทรศัพท์จึงดังขึ้นทันที
ลู่ส้าวหลิงเป็นคนโทรศัพท์เข้ามาหา หลังจากรับสายแล้ว พลันได้ยินเสียงเอะอะเอ็ดตะโรทางฝั่งนั้น แต่แสดงให้เห็นความรีบร้อนมาก “เฉินซี ฉันกลัวว่ามันไม่ไหวแล้ว ลูกชายฉันอยู่กับพ่อแม่ฉัน สภาพของหว่านหว่านพวกเขาไม่รู้เรื่องเลย ช่วยหว่านหว่านให้ออกมาให้ฉันที ดูแลแม่ลูกของพวกเขาด้วย ขอร้องแล้วกัน!”
น้ำเสียงสลดเล็กน้อย ลี่เฉินซียังไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ โทรศัพท์ทางฝั่งนั้นพลันมีเสียงดังลั่น ‘ปึง’
ลี่เฉินซีคิ้วเรียวฉงนเล็กน้อย และเรียกออกไปตามสัญชาตญาณ “ส้าวหลิง?”
แต่โทรศัพท์ทางนั้นไม่มีเสียงตอบรับหรือลมหายใจของลู่ส้าวหลิงเลย ราวกับโทรศัพท์หล่นลงพื้นแล้วมีใครสักคนเก็บขึ้นมาได้ แต่กลับไม่ยอมพูดอะไรสักประโยค และตัดสายทิ้งทันที
ลี่เฉินซีโทรกลับไปหลายครั้ง ตอนแรกโทรศัพท์ของลู่ส้าวหลิงก็ไม่มีคนรับสายก่อน จากนั้นจึงทำการปิดเครื่อง เขาค้นหาตำแหน่งของโทรศัพท์ แต่ปรากฏว่า ไม่มีผลแต่อย่างใด
ดูเหมือนว่า ทางลู่ส้าวหลิงต้องเกิดเรื่องขึ้นอะไรอย่างแน่นอน!
ลี่เฉินซีระงับความสงสัยในหัวสมองเอาไว้ ไม่ง่ายดายเลยที่รอให้เครื่องบินแลนดิ้งได้อย่างเรียบร้อยก่อน เขาเพิ่งกลับมาถึงเมือง A ยังไม่ทันแตะพื้นสนามบินด้วยซ้ำ หวางอี้ก็กระหืดกระหอบมาต้อนรับเขาแล้ว “ประธานลี่ครับ ท่าไม่ดีแล้วครับ ผมติดต่อประธานลู่ไม่ได้ อีกอย่างทางฝั่งประธานเจียง…”
หวางอี้พลันลากเสียงยาวอย่างไม่ทันตั้งใจ พลันสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อย่างหมดหนทาง ช่วงเริ่มพูดต่อ สีหน้าแสดงอาการหนักใจอยู่มาก “ท่านประธานเจียงถูกจับเมื่อช่วงเช้าวันนี้ที่หรู่โจว เป็นผู้ต้องหาในการลักลอบสินค้าเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายและการบงการฆ่าคนโดยเจตนาไว้ก่อน”
ลี่เฉินซีรีบเดินจ้ำอ้าวอย่างร้อนรน และหันตัวไปทางหวางอี้ “นายพูดว่าอะไรนะ?”
“ท่านประธานลี่ คุณอย่าเพิ่งรีบร้อนไป เหมือนว่าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจมีหลักฐานสรุปอย่างชัดเจนแล้ว มิเช่นนั้นพวกเขาก็คงไม่จับกุมคนหรอก แต่ทางประธานเจียงน่าจะถูกคนใส่ร้าย”
หวางอี้พูดไป พร้อมทั้งหยิบFlash Driveขึ้นมาอันหนึ่ง ตอนที่ส่งให้ลี่เฉินซีนั้น เขาได้เชื่อมต่อFlash Driveกับโทรศัพท์ของตนเอง เมื่อรอให้ลี่เฉินซีดูอย่างคร่าวๆ แล้ว ทั้งหมดนี่เป็นบันทึกการเดินทางในช่วงหลายวันมานี้ของเจียงจี้เซิง ในเวลาเดียวกัน ยังมีวิดีโอที่เขาถูกบีบให้ไปรับสินค้าแทนคนอื่น และบันทึกการถูกอีกฝ่ายข่มขู่กลับมาด้วย
“ทั้งหมดนี่คือท่านประธานเจียงได้ฝากคนอื่นโอนมาให้ผม ผมคิดว่าท่านประธานเจียงอาจจะเดาออกว่าตนเองคงถูกคนอื่นใส่ร้าย ดังนั้นเลยเก็บหลักฐานอันนี้เอาไว้”
ลี่เฉินซีดึงFlash Driveอันนี้ออก มืออันเรียวยาวดุจแท่งหยกข้างหนึ่งจับอยู่ในนั้น ใบหน้าอันแสนเย็นชา นัยน์ตาอันหม่นหมอง เจียงจี้เซิงถูกจับกุม ลู่ส้าวหลิงเกิดเรื่องขึ้น เรื่องราวเหล่านี้ต่างอยู่ไกลเกินความคาดคิดของเขาก่อนหน้านี้
แต่ใช่ว่าจะไม่อยู่ในแผนการ พวกเขายังมีแผนสำรองอยู่ แต่ว่า เอาไว้ใช้ในยามคับขันเท่านั้น ไม่ใช่การไปแก้ตัวให้เจียงจี้เซิง อาศัยหลักฐานจำพวกนี้ มันยังไม่เพียงพอ ยังต้องรอคอยต่อไป
ส่วนทางลู่ส้าวหลิงนั้น ตกลงว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?!
“ไปหาประธานลู่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต้องหาเขาให้พบให้ได้!” ลี่เฉินซีออกคำสั่งทันที
หวางอี้หยักหน้า “ครับ ผมจะให้คนไปจัดการเดี๋ยวนี้ครับ”
ลี่เฉินซีไม่ได้พูดอะไรต่อ พลันเดินจ้ำอ้าวไปทางด้านนอกทันที รถโรลส์-รอยซ์จอดอยู่ริมถนน เมื่อเขาก้าวเท้าขึ้นรถ พลันโทรศัพท์สั่นอยู่หลายครั้งขณะขึ้นรถ
สั่นเพียงสามครั้ง เขาหยิบขึ้นมาดู กลับไม่มีข้อความใดๆ แสดงให้เห็น และไม่มีโทรศัพท์เรียกสายมา โทรศัพท์เป็นปกติดี แต่ว่า ไม่กี่วินาทีต่อมา จู่ๆ หน้าจอจึงดำมืดกะทันหัน จากนั้น พลันมีโค้ตอักษรภาษาอังกฤษกระโดดออกมา หลังจากผ่านไปชั่วครู่ พลันปรากฏเป็นภาพอีกภาพหนึ่ง ราวกับกำลังเข้าสู่ระบบที่ติดตั้งไว้พิเศษเฉพาะตัว หน้าจอดำ พลันปรากฏตัวอักษรภาษาอังกฤษ ซึ่งเห็นเต็มตา
เริ่มด้วยเป็นตัวเลขเป็นชุดก่อน เมื่อเอามารวมกันจึงเป็นละติจูด
จากนั้น ทางนั้นส่งข้อความมาหนึ่งประโยค “ไปช่วยคนที่นี่ครับ”
ลี่เฉินซีมองข้อความในโทรศัพท์ ด้วยสีหน้าเงียบขรึมและเย็นชา และเริ่มตัวแข็งทันที หลังจากนั้นชั่วพริบตา พลันปรากฏรอยยิ้มโล่งใจ จนทำให้ยิ้มบริเวณมุมปากเล็กน้อย
ในเวลาเดียวกัน พลันมีตัวเลขออกมา และอีกฝ่ายส่งเพิ่มเติมมาอีกประโยค “ไปช่วยคุณแม่ที่นี่ รักนะครับ คุณพ่อ!”
ลี่เฉินซีถอนหายใจอย่างอ่อนแรง พลันตอบกลับอีกฝ่ายไปอย่างทันควัน ‘ok’ จากนั้นจึงครุ่นคิดชั่วครู่เดียว และพิมพ์กลับไปหนึ่งประโยค “ลูกเป็นไงบ้าง?”
“ผมสบายดีครับ รีบไปช่วยคุณแม่เร็ว คุณย่าถูกพวกเขาฆ่าไปแล้ว”
ตัวอักษรไม่กี่ตัว แต่กลับทำให้ลี่เฉินซีใจเต้นแรง ไม่อยากจะเชื่อกับความเจ็บปวดที่ตามมาเพิ่มทีละเล็กละน้อย จนลามไปทั่วทั้งตัว….