เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1012 ข้ากลับมาแล้ว
ตอนที่ 1,012 ข้ากลับมาแล้ว
ทูตสวรรค์เหยาเหลียนเดินเข้ามาด้วยท่าทางปลอดโปร่ง
แต่แล้วตัวคนกลับหยุดชะงัก
ก่อนล้มลงไปนอนตายบนพื้นดินเสียอย่างนั้น
“เอ่อ คือว่า…”
หลินเป่ยเฉินมองซากศพของบุรุษผู้เดินออกมาจากตึกสมาคมด้วยความมึนงง เมื่อสักครู่นี้ เขาเพียงชักกระบี่ออกจากฝัก ตวัดทักทายไปเพียงกระบวนท่าเดียว ร่างของทูตสวรรค์เหยาเหลียนก็ขาดครึ่งอย่างไม่ทันตั้งตัว
ตายแล้วหรือ?
เขายังไม่ทันเอาจริงเลยนะ?
อ่อนแอมากเกินไปแล้ว
พวกเขายังไม่ได้ปะทะฝีมือกันสักกระบวนท่าเลยด้วยซ้ำ
ถ้านี่เป็นการเล่นเกม หลินเป่ยเฉินก็สามารถกวาดล้างมอนสเตอร์ระดับสามัญได้แล้ว จากนี้ไปก็คงได้เผชิญหน้ากับตัวบอสประจำด่านแล้วสินะ?
โดยเฉพาะหอกสี่เล่มนั้น หลินเป่ยเฉินพยายามใช้พลังปราณธาตุทองคำควบคุมพวกมัน แต่เด็กหนุ่มกลับพบว่าตนเองทำไม่สำเร็จ พวกมันแต่ละเล่มเป็นตัวแทนของความหมดหวัง ความเศร้าโศก ความเสียใจและความสุข แต่ละเล่มล้วนมีความโดดเด่นเฉพาะตัว…
ไม่ว่าใครก็ตามที่เขากำลังจะได้พบหลังจากนี้
ก็น่าจะมีสถานะไม่ต่างไปจากตัวบอสแล้วจริง ๆ
นั่นหมายความว่าคงได้เวลาเอาจริงแล้วใช่ไหม?
หลินเป่ยเฉินมองซากศพที่นอนขาดครึ่งอยู่เบื้องหน้า จากนั้นจึงมองกระบี่เงินธรรมดาที่อยู่ในมือของตนเอง
เขายังไม่ทันได้ใช้อาวุธขั้นสูงเลย
แค่กระบี่ธรรมดาก็สามารถกวาดล้างศัตรูได้แล้ว
อ้า นี่สินะ ความน่ากลัวที่แท้จริงของขั้นเซียนระดับสาม ผู้มีพลังปราณธาตุอยู่ในตัวถึงห้าชนิด?
ช่างน่าเกรงขามจริง ๆ
ในระหว่างที่นึกชื่นชมความแข็งแกร่งของตนเองอยู่นี้ เด็กหนุ่มก็นึกขึ้นมาได้ว่าตนเองยังไม่ได้ถามชื่อเสียงเรียงนามของฝ่ายตรงข้ามเลยสักคำ
หากเจอหน้าแล้วเอาแต่ฆ่าฟันกันเฉย ๆ มันคงเป็นการไร้มารยาทเกินไปหน่อยกระมัง?
ถามสักหน่อยดีกว่า
“นี่ เจ้าพอทราบไหมว่าคนที่ข้าเพิ่งสังหารไปเมื่อสักครู่เป็นผู้ใด?”
หลินเป่ยเฉินถามชายหนุ่มผู้ยืนตัวสั่นงันงกอยู่ข้างทางด้วยท่วงท่าสบายอารมณ์ ชายหนุ่มผู้นั้นแต่งกายละม้ายคล้ายกับศพที่นอนขาดครึ่งอยู่ตรงหน้า
“ขะ… ขะ… ข้า…”
ชายหนุ่มผู้นี้หวาดกลัวจนตัวสั่นไม่หยุดยั้ง
มันมีนามว่าปู้เซียงฉือ เป็นหลานชายและลูกศิษย์ของทูตสวรรค์เหยาเหลียน
มันคิดไม่ถึงเลยว่าผู้ที่มีพลังขั้นเซียนระดับสี่เช่นอาจารย์ของมันนั้น เมื่อเผชิญหน้ากับเด็กหนุ่มปริศนาผู้นี้ ยังไม่ทันได้พูดคำใดก็ต้องมอดม้วยไปเสียแล้ว
ความแตกต่างของฝีมือมีมากเกินไป
ไม่ใช่สิ
ต้องบอกว่าเด็กหนุ่มตาบอดผู้นี้น่ากลัวมากเกินไปต่างหาก
หลากหลายความคิดปรากฏขึ้นในจิตใจ เมื่อหลินเป่ยเฉินเห็นอีกฝ่ายมีท่าทีหวาดกลัวถึงเพียงนี้ ความคิดที่เขาจะใช้ไม้แข็งกับฝ่ายตรงข้ามก็สลายหายวับไป
เด็กหนุ่มชื่นชอบการไล่ต้อนกระต่ายน้อยให้ไปจนมุม ส่วนเขาเองเป็นหมาป่าผู้กระหายเลือด ยิ่งอีกฝ่ายตัวสั่นเทามากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งชอบใจมากเท่านั้น
“เขาเป็นทูตสวรรค์ขอรับ มีนามว่าเหยาเหลียน…”
“ทูตสวรรค์เหยาเหลียน?”
บนหน้าผากหลินเป่ยเฉินปรากฏเม็ดเหงื่อผุดซึมออกมา
“เจ้าจะบอกว่าเขาเป็นทูตสวรรค์… อย่างนั้นหรือ”
หลินเป่ยเฉินก้มมองเสื้อผ้าที่ศพของทูตสวรรค์เหยาเหลียนสวมใส่ แต่แล้วก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงถามว่า “เขาคงไม่ได้เป็นทูตสวรรค์ของวิหารเฉียนเกาหรอกกระมัง?”
เขาได้ยินมาว่าตระกูลเว่ยได้ก่อสร้างวิหารเฉียนเกาขึ้นมาเพื่อเป็นคู่แข่งโดยตรงของวิหารเทพกระบี่
“คือว่า… เรื่องนั้น… เรื่องนั้น…”
ปู้เซียงฉือตัวสั่นเทาราวกับลูกนกตกน้ำ
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นทำท่าดันแว่น
“ไม่ต้องกลัวหรอก” เขายิ้มอย่างใจดี “ข้าจะเก็บเจ้าไว้ฆ่าทีหลัง เจ้ายังมีเวลาได้หายใจอยู่อีกพอสมควร”
ระหว่างที่พูด หลินเป่ยเฉินก็เดินไปที่ศพของทูตสวรรค์เหยาเหลียนก่อนย่อกายลงใช้กระบี่ทิ่มแทงอีกหลายครั้ง หลังจากนั้นจึงฉีกเสื้อผ้าของอีกฝ่ายออก และตรวจค้นร่างกายโดยละเอียดทุกซอกทุกมุม
พร้อมกันนั้น เขาก็ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ในเมืองยังเหลือทูตสวรรค์เช่นท่านเหยาเหลียนผู้นี้อยู่อีกมากเท่าไหร่?”
นี่คือประเพณีการตบทรัพย์คนตายของคุณชายหลิน
ทว่า ภาพที่เห็นนี้ทำให้ปู้เซียงฉือแทบหัวใจวายตายแล้ว
ตุบ!
มันถึงกับคุกเข่าลงไปโขกศีรษะคำนับพื้นดินด้วยความหมดหวัง “นายท่านได้โปรดละเว้นข้าน้อยด้วย”
หลินเป่ยเฉินหันหน้ากลับไปถามด้วยความสนใจ “เจ้าชื่ออะไร?”
“ข้าน้อย… ผู้ต่ำต้อย… มีนามว่าปู้เซียงฉือขอรับ”
“อ้อ? เจ้าไม่อยากตายใช่ไหม? ประเสริฐ เพื่อเห็นแก่ความจริงใจของเจ้า ข้าจะไม่ฆ่าเจ้าก็ได้”
“หืม จริงหรือขอรับ?”
“ทำไม? หรือว่าเจ้าอยากตาย?”
“เปล่าขอรับ หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ผู้ต่ำต้อยขอบคุณนายท่านมากแล้ว”
“แต่เจ้ายังไม่ได้ตอบคำถามของข้าเลยนะ”
“อ้อ จริงด้วยขอรับ ในเมืองไม่มีฑูตสวรรค์เช่นท่านเหยาเหลียนอีกแล้ว แต่บัดนี้ มีทูตสวรรค์อีกสามท่านกำลังเดินทางมา…”
“ล้วนเป็นผู้มีพลังขั้นเซียนของวิหารเฉียนเกาใช่หรือไม่?”
“ใช่แล้วขอรับ ก่อนหน้านี้ มณฑลเฉียนเกาของพวกเราหาได้มีขั้นเซียนไม่ แต่เมื่อองค์เทพเจ้าประทานพรให้แก่สาวกผู้ซื่อสัตย์ เพียงคืนเดียวเท่านั้น ผู้มีพลังขั้นเซียนกลับปรากฏตัวออกมาถึงแปดคน…”
“แหม ถือว่าทำงานได้รวดเร็วนัก”
หลินเป่ยเฉินลอบพยักหน้าด้วยความชื่นชม
เขาไม่แปลกใจเลย
ตระกูลเว่ยสะสมทรัพยากรมานานหลายปี เลี้ยงดูยอดฝีมือเป็นจำนวนมาก แต่หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกของเผ่าเทพพงไพร การสร้างผู้มีพลังขั้นเซียนขึ้นมาแปดคนในชั่วข้ามคืน จึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด
มิเช่นนั้น ตระกูลเว่ยก็คงก่อกบฏไปนานแล้ว เพราะผู้มีพลังระดับเซียนแปดคน ย่อมสามารถโค่นล้มราชวงศ์หลี่ได้โดยไม่ลำบากแม้แต่น้อย
หืม?
ทำไมเขาถึงเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดแล้วล่ะ?
ไม่เหมาะกับตัวเขาเลยสักนิด
นี่เขาฉลาดขึ้นใช่หรือไม่?
หลินเป่ยเฉินยกมือลูบคลำหน้าผากตนเอง หรือว่าเมื่อเขาเลื่อนระดับพลังขึ้นมาได้ รอยหยักในสมองก็จะเพิ่มขึ้นมาด้วย?
“บัดนี้ บุคคลสำคัญในนครหลวงมีใครบ้าง?”
เขาถามออกมาอีกครั้ง
นับว่าปู้เซียงฉือยังไม่อยากตายจริง ๆ
ทุกสิ่งที่ปู้เซียงฉือรู้ล้วนสารภาพออกมาหมดสิ้น
ปรากฏว่าศัตรูตัวฉกาจของหลินเป่ยเฉินอย่างเว่ยหมิงเฉินไม่ได้อยู่ในนครหลวง
ส่วนบุคคลสำคัญในนครหลวงขณะนี้ นอกจากประมุขตระกูลเว่ยคนปัจจุบันนามว่าเว่ยอู๋จี ซึ่งกำลังจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นจักรพรรดิองค์ต่อไปนั้น ก็ยังมีผู้อาวุโสประจำตระกูลเว่ยและแม่ทัพขุนศึกผู้กล้า รวมไปถึงขุนนางใหญ่อีกหลายสิบคน บางส่วนเป็นกองกำลังเสริมที่ว่าจ้างมาจากจักรวรรดิต้าเกี๋ยน เช่นเดียวกับผู้มีพลังขั้นเซียนจากต่างแดน
ด้วยขุมกำลังที่แข็งแกร่งเช่นนี้ ตระกูลเว่ยคงสามารถยึดครองจักรวรรดิเป่ยไห่ทั้งหมดได้ไม่ยาก
แต่บัดนี้เล่า?
หลินเป่ยเฉินคิดคำนวณดูความแข็งแกร่งแล้ว ก็พบว่าขุมกำลังของตระกูลเว่ย ยังมีความน่ากลัวไม่เท่ากับกองกำลังเผ่าคนแคระเขียวที่เขาเคยทำลายกับมือมาแล้ว
ความคิดบางอย่างจึงผุดขึ้นในสมอง
หลังจากค้นซากศพอยู่พักใหญ่ หลินเป่ยเฉินก็พบแหวนเก็บสมบัติจากตัวเหยาเหลียน
“เก็บไปก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวค่อยดูทีหลังว่าข้างในมีอะไรอยู่บ้าง”
เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืน เก็บหอกทั้งสี่เล่ม และหันไปจ้องมองชายหนุ่มผู้นั่งคุกเข่าตัวสั่นเทาอยู่บนพื้นดิน ก่อนถามว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าคือผู้ใด?”
“ฮื่อ ข้าน้อยไม่รู้ขอรับ ข้าน้อยไม่คู่ควรที่จะได้รู้นามอันสูงส่งของท่าน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ ข้าน้อยไม่มีทางปริปากบอกใครเด็ดขาด นายท่านได้โปรดให้อภัยข้าน้อยด้วย ข้าน้อยจะปิดปากเงียบไปตลอดชีวิตเลยขอรับ”
โป๊ก! โป๊ก! โป๊ก!
ปู้เซียงฉือโขกหน้าผากกับพื้นดินอย่างแรง
ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินก็ขมวดคิ้วมุ่น
เจ้าหมอนี่มีพรสวรรค์ในด้านการเอาตัวรอดเหมือนกันนี่นา
“เจ้าจงจำไว้ ชื่อของข้าก็คือ…”
หลินเป่ยเฉินเอียงหน้าวางมาดเท่ ตัดสินใจแนะนำตัวเองอย่างเป็นทางการ
“อ้า ไม่นะขอรับ”
ปู้เซียงฉือยกมือปิดหู ขยับถอยหลังไปด้วยความหวาดกลัว “ข้าน้อยไม่อยากฟัง ข้าน้อยไม่อยากฟัง ข้าน้อยไม่อยากฟัง…”
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
หมอนี่มันจะกลัวชื่อเขาอะไรขนาดนี้
เพี๊ยะ!
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นตบใบหน้าอีกฝ่ายและกล่าวว่า “เจ้าจงฟังที่ข้ากำลังจะพูดให้ดี”
ใบหน้าครึ่งหนึ่งของปู้เซียงฉือบวมแดง เลือดกำเดาไหลทะลักออกจากจมูก มันไม่กล้ายกมือขึ้นปิดหูอีกแล้ว
“กลับไปบอกวิหารเฉียนเกาของเจ้านะว่า ข้า ผู้แซ่หลิน เด็กหนุ่มผู้หล่อเหลาที่สุดในจักรวรรดิเป่ยไห่ สาวกผู้ซื่อสัตย์ที่สุดของเทพีกระบี่ ผู้มีพลังขั้นเซียนฉายาเซียนกระบี่รชตะ และมีตำแหน่งเป็นแม่ทัพใหญ่ผู้แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่เกรียงไกร เป็นเจ้าเมืองผู้ปกครองนครเจาฮุย และยังเป็นศิษย์ของเซียนกระบี่ติงซานฉือ นามเป่ยเฉิน บัดนี้ ข้ากลับมาแล้ว!”
“อะไรนะขอรับ?”
ปู้เซียงฉือเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง
มันจ้องมองหลินเป่ยเฉินราวกับเป็นบุคคลเสียสติ
เด็กหนุ่มผู้นี้รู้หรือไม่ว่ากำลังพูดอะไรออกมา?
แต่หลินเป่ยเฉินไม่ได้ให้ความสนใจมันเลย เพราะเขาหันไปบังคับนักรบเกราะเพลิงที่ยังรอดชีวิตอยู่ให้ปลดซากศพของอาจารย์เยวียนและพรรคพวกลงมาจากเสาหิน หลังจากนั้น เด็กหนุ่มก็จากไปโดยไม่ได้ฆ่าผู้ใดอีก
ปู้เซียงฉือและกลุ่มผู้รอดชีวิตหันมองหน้ากัน
พวกมันรอดตายมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ
“เมื่อสักครู่นี้ เด็กตาบอดกล่าวว่าอะไร?”
“เขาบอกว่าตนเองคือหลินเป่ยเฉิน…”
“แย่แล้วสิ!”
“หลินเป่ยเฉิน เป็นเขาผู้นั้นจริง ๆ หรือ?”
“เร็วเข้า พวกเรากลับไปรายงานกองทัพและกลับไปรายงานฝ่าบาท…”
บรรดานายทหารผู้สลัดหลุดจากความหวาดกลัวกลับมาได้สติอีกครั้ง และพวกมันก็เข้าใจถึงความหมายที่เด็กหนุ่มได้กล่าวทิ้งทวนเอาไว้ นายทหารเกราะเพลิงกลุ่มนี้รู้ดีว่ากำลังจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นแล้ว
ปู้เซียงฉือไม่ได้พูดคำใดออกมา แต่มันอาศัยวิชาตัวเบา เหินร่างพุ่งเป็นลำแสง มุ่งหน้าตรงไปยังทิศทางของวังหลวง
มันต้องเป็นคนแรกที่ไปรายงานเรื่องนี้ต่อองค์จักรพรรดิ
เพื่อไถ่บาปให้แก่อาจารย์ของมัน
เฮอะ หากว่าหลินเป่ยเฉินกลับมาแล้วจริง ๆ จะนับว่าเป็นอย่างไรได้?
บัดนี้ ตระกูลเว่ยขึ้นครองอำนาจ กำลังกวาดล้างศัตรูทั่วดินแดน
ความตายของอาจารย์มันเป็นอุบัติเหตุ
ในเมื่ออาจารย์ตายไปแล้ว บางทีนี่อาจเป็นโอกาสในการเลื่อนตำแหน่งของมันบ้างก็ได้
ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าใด ปู้เซียงฉือก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้นมากเท่านั้น
ในไม่ช้า มันก็มาถึงหน้าวังหลวง
แต่แล้วชายหนุ่มกลับต้องหยุดชะงัก
เพราะหน้าประตูวังหลวงมีแอ่งโลหิตไหลเนืองนองอยู่เต็มไปหมด