เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1030 ข้าจะคืนนางให้กับเจ้า ดีหรือไม่
ตอนที่ 1,030 ข้าจะคืนนางให้กับเจ้า ดีหรือไม่?
หากเป็นอาการบาดเจ็บจากการโจมตีของผู้มีพลังขั้นเซียน พลังวารีบำบัดของหลินเป่ยเฉินก็จะสามารถรักษาได้อย่างรวดเร็ว
แต่นี่เป็นอาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นจากการโจมตีของเทพเจ้า ประสิทธิภาพในการรักษาจึงเชื่องช้าลง
บาดแผลค่อย ๆ สมานตัว
ถึงกระนั้น มันก็ยังช่วยรักษาชีพจรให้สมดุล และทำให้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บนั้นไม่มีอาการทรุดลงจนถึงขั้นเสียชีวิต
เทพีกระบี่ผู้มีเลือดท่วมกายเพียงไม่นานก็มีรัศมีสีเขียวแผ่ออกมาจากตัวด้วยฝีมือของหลินเป่ยเฉิน
ตัวนางได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ก่อนหน้านี้ไม่ทันรู้ตัว เพราะมัวแต่เป็นกังวลกับการต่อสู้ของหลินเป่ยเฉิน ดังนั้น นางจึงถามออกมาด้วยความไม่อยากเชื่อ “เจ้าทำได้อย่างไร?”
หลินเป่ยเฉินยิ้มมุมปาก “ท่านก็รู้ ข้ามีกลอุบายมากมายขนาดไหน เทพแห่งวิหารเฉียนเกาถูกลากเข้าไปอยู่ในค่ายอาคมของข้า หลังจากโดนข้าอบรมสั่งสอนไปชุดใหญ่ เทพแห่งวิหารเฉียนเกาก็เกิดความรู้สึกผิดจนระเบิดตัวเองตายไปเลย”
เทพีกระบี่กลอกตามองบน
นางไม่ใช่คนโง่ที่จะเชื่อคำตอบเช่นนี้
แต่มันเป็นสิ่งที่หลินเป่ยเฉินเลือกจะตอบออกมา เพราะฉะนั้น สิ่งหนึ่งที่เทพีกระบี่สามารถมั่นใจได้เลยก็คือในขณะนี้เทพแห่งวิหารเฉียนเกาได้เสียชีวิตลงแล้วจริง ๆ
ในที่สุด ทุกอย่างก็จบแล้ว
นางถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
ความอ่อนล้าถาโถมเข้าใส่ร่างกายอย่างกะทันหัน สติสัมปชัญญะของเทพีกระบี่ดับวูบลง ร่างกายของนางอ่อนระทวย ตัวคนร่วงตกลงไปจากกลางอากาศ
ก่อนที่สติของนางจะดับวูบลงนั้น เทพีกระบี่ได้ยินเสียงอุทานของหลินเป่ยเฉินดังขึ้นข้างใบหู จากนั้นก็เป็นความรู้สึกของลมหายใจที่คุ้นเคย…
นี่คือครั้งแรกที่เทพีกระบี่ได้อิงแอบศีรษะของตนเองเข้ากับหน้าอกของหลินเป่ยเฉินในฐานะของสตรีนางหนึ่ง หูของนางได้ยินเสียงหัวใจของเขาเต้นอย่างอบอุ่น รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากของเทพีกระบี่ ก่อนที่นางจะหลับใหลไปโดยไม่รู้ตัว
…
นครหลวง วิหารประจำเมือง
ค่ำคืนที่ยาวนานผ่านพ้นไปแล้ว
รุ่งอรุณมาเยือน
ท้องฟ้ายังคงมืดมิด ดวงดาวยังคงปรากฏตัวอยู่บ้างประปราย
เมฆดำสลายตัวลงไปแล้ว หมายความว่าวันพรุ่งนี้จะมีแสงตะวันสดใส
ณ อารามด้านในวิหารหลวง
หลินเป่ยเฉินนั่งอยู่บนขอบเตียง หัวคิ้วขมวดมุ่นตลอดเวลา
เทพีกระบี่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียง ใบหน้าของนางขาวซีดปราศจากสีเลือด ลักษณะไม่ต่างไปจากเจ้าหญิงนิทรา บ่งบอกว่าสถานการณ์ค่อนข้างเลวร้าย
ตลอดหลายชั่วยามที่ผ่านมา นักบวชในวิหารได้พยายามใช้การรักษาหลากหลายวิธี แต่ก็ยังไม่มีผู้ใดสามารถปลุกเทพีกระบี่ให้ฟื้นตื่นขึ้นมาจากการหลับใหลได้เลยสักคน มิหนำซ้ำ พลังชีวิตในตัวนางยังอ่อนแอลงเรื่อย ๆ อีกด้วย…
เทพเจ้ากำลังหลับใหลไม่ยอมตื่น
นี่คือสิ่งที่มนุษย์ผู้ใดก็ไม่สามารถควบคุมได้
ฮวาชิงเหยียนผู้เป็นรักษาการหัวหน้านักบวชแห่งวิหารหลวง รวมถึงนักบวชคนอื่น ๆ ไม่สามารถควบคุมความวิตกกังวลของตนเองได้อีกต่อไป
แม้แต่ท่านป้านักพรตใหญ่หลงเยว่ก็ยังมีน้ำตานองใบหน้า
บรรดาสาวกผู้ซื่อสัตย์มาคุกเข่ารวมตัวกันอยู่หน้าวิหาร พวกเขาต่างสวดมนต์ภาวนาขอให้เทพีกระบี่ฟื้นคืนตื่นขึ้นมาด้วยพลังแห่งปาฏิหาริย์
หลินเป่ยเฉินพยายามใช้พลังวารีบำบัดของตนเองอยู่หลายครั้ง
แต่ก็ไม่เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นอีกแล้ว
เทพีกระบี่ได้รับบาดเจ็บสาหัสมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นการรักษาด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์หรืออิทธิฤทธิ์ของผลกวนเจี๋ย ก็ไม่สามารถทำให้อาการของเทพีกระบี่ดีขึ้นได้เลย
ความรู้สึกในใจของหลินเป่ยเฉินยิ่งวิตกกังวลมากกว่าผู้อื่นหลายพันเท่า
กาลเวลาค่อย ๆ ผ่านไป
ดวงตะวันปรากฏตัวที่เส้นขอบฟ้า
แสงแดดยามเช้าสาดส่องภูเขาใหญ่แม่น้ำกว้าง สะท้อนประกายกับวิหารบนยอดเขา แสงตะวันลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาลูบไล้ใบหน้าของเทพีกระบี่ผู้นอนอยู่บนเตียงแน่นิ่งไม่ไหวติง ยิ่งขับเน้นให้นางมีความสวยงามมากขึ้น
และด้วยความอบอุ่นของแสงแดดนี้เอง ขนตาของเทพีกระบี่ก็กระดิกเล็กน้อย และแล้ว นางก็ลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างแช่มช้า
ใบหน้าขาวราวหิมะของนางเริ่มมีสีเลือดฝาดขึ้นมาบ้างแล้ว
หลินเป่ยเฉินอุทานออกมาด้วยความดีใจว่า “ท่านฟื้นแล้วหรือ? รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง?”
เสียงอุทานของเด็กหนุ่มทำให้นักบวชทุกนางตื่นตระหนก
หัวหน้านักบวชรักษาการฮวาชิงเหยียนรีบก้าวเท้าเข้ามาตรวจสอบเทพีกระบี่ เมื่อพบว่าองค์เทพีฟื้นคืนสติขึ้นมาแล้ว นางก็พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “พระองค์ท่าน…”
เทพีกระบี่หันมามองหน้าฮวาชิงเหยียน และออกคำสั่งว่า “พวกเจ้า… ออกไปให้หมด”
ฮวาชิงเหยียนตื่นตกใจ แต่แล้วก็หันไปมองหน้าหลินเป่ยเฉิน ก่อนที่นางจะเข้าใจอะไรบางอย่าง จึงได้พานักบวชคนอื่น ๆ ออกไปจากอารามแต่โดยดี
สายตาของเทพีกระบี่หันกลับมาจับจ้องที่ใบหน้าหลินเป่ยเฉิน
ใบหน้านี้ นางไม่เคยคิดเลยว่ามันจะดูหล่อเหลาถึงเพียงนี้มาก่อน
คนมากมายกล่าวว่าหลินเป่ยเฉินเป็นบุรุษผู้หล่อเหลาที่สุดในจักรวรรดิ
แต่เทพีกระบี่ไม่เคยให้ความสนใจ
ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อเห็นหน้าเขาในยามนี้ นางกลับรู้สึกว่าหลินเป่ยเฉินช่างดูดีเหลือเกิน
เทพีกระบี่ครุ่นคิดอยู่ในใจว่า นับดูทั่วแผ่นดินตงเต้า หรือจะนับเหล่าเทพบุตรบนดินแดนทวยเทพด้วยก็ได้ ไม่มีผู้ใดเลยที่จะมีความหล่อเหลาเทียบเท่าหลินเป่ยเฉินผู้นี้ จมูกของเขาโด่งเป็นสัน แต่ก็ยังเทียบไม่ได้กับความสมบูรณ์แบบของคิ้วหนาเข้มเหนือดวงตาคมคาย และแก้มที่ขาวผ่องปราศจากราคี…
คำว่าบุรุษผู้หล่อเหลาที่สุดในใต้หล้ายังไม่สามารถบรรยายความหล่อเหลาของเขาออกมาได้ทั้งหมดเลยด้วยซ้ำ
“นี่เจ้า… เจ้า… เจ้ากำลังหว่านเสน่ห์ใส่ข้าอยู่หรือ?”
เทพีกระบี่กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหย
“ท่านว่าอะไรนะ?”
หลินเป่ยเฉินตอบกลับมาเหมือนไม่มีสิ่งใดผิดปกติ “หว่านเสน่ห์ใส่ท่านอย่างนั้นหรือ? สำหรับคนที่หล่อเหลาเช่นข้า คงไม่ต้องหว่านเสน่ห์ใส่ผู้ใดหรอกกระมัง?”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเทพีกระบี่
เจ้าเด็กคนนี้ลองได้พูดอะไรออกมา ล้วนแต่เป็นถ้อยคำที่ยกยอปอปั้นตนเองทั้งสิ้น
แต่ถึงจะเป็นถ้อยคำเช่นนั้น นางก็ยังอยากรับฟัง
“ตอนที่เจ้ามาวิหารหลวง เจ้าคงตั้งใจจะมาหาเยว่เว่ยหยางกระมัง?”
เทพีกระบี่ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
หลินเป่ยเฉินชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้า
ตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา เรื่องนี้คือสิ่งต้องห้ามระหว่างพวกเขาทั้งสองคน
ห้ามไม่ให้มีการพูดถึงเด็ดขาด
“เจ้าโกรธข้าหรือไม่ที่ยึดครองร่างของเยว่เว่ยหยาง?”
เทพีกระบี่ถามด้วยเสียงแผ่วเบา
หลินเป่ยเฉินเงียบไปเนิ่นนาน ก่อนจะพยักหน้าและตอบว่า “ก็คงโกรธอยู่บ้าง แต่บัดนี้ไม่โกรธแล้ว”
เมื่อได้ยินคำตอบของเขา สองแก้มของเทพีกระบี่ก็แดงระเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย ความหมองเศร้าในจิตใจหายไป และสีหน้าของนางก็ดูผ่อนคลายมากขึ้น
ก็คงโกรธอยู่บ้าง
แต่บัดนี้ไม่โกรธแล้ว
“งั้นข้าจะคืนนางให้กับเจ้า ดีหรือไม่?”
เทพีกระบี่คลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน ไม่ต่างจากวิญญาณของเยว่เว่ยหยางคนเดิมย้อนคืนสู่ร่างนี้อีกครั้ง
“พูดอะไรเช่นนี้ เรื่องนั้นมันกลายเป็นอดีตไปแล้ว”
หลินเป่ยเฉินพยายามลบภาพความทรงจำของเยว่เว่ยหยางออกจากใจและกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเพื่อความอยู่รอดของตนเองว่า “บัดนี้ ข้าต้องการเพียงท่านเท่านั้น”
“เฮอะ”
พลังชีวิตของเทพีกระบี่เพิ่มขึ้นสูงทันที นางกล่าวว่า “เจ้ากำลังโกหก”
หลินเป่ยเฉินรู้สึกอับอายขึ้นมาเล็กน้อย
เขาคิดว่าตนเองโกหกได้แนบเนียนแล้วนะ นางยังดูออกอีกหรือ?
“ท่านรู้หรือไม่ว่ายามที่ท่านแสดงสีหน้าเขินอาย โกรธแค้น เกรี้ยวกราด หรือเดือดดาลใจใด ๆ ก็ตาม มันยิ่งทำให้ข้ารู้สึกอยากจะใกล้ชิดท่านมากขึ้นไปอีก”
หลินเป่ยเฉินรีบเปลี่ยนเรื่องพูดอย่างรวดเร็ว
เทพีกระบี่ลุกขึ้นนั่งอย่างแช่มช้า ก่อนที่ร่างของนางจะเอนเข้ามาซบในอ้อมแขนของหลินเป่ยเฉินและแนบศีรษะเข้ากับหน้าอกของเขา “ถ้าอย่างนั้น การที่เจ้ามาอยู่ในหัวใจของข้า นั่นยังไม่ถือว่าใกล้ชิดอีกหรือ?”
นี่มันอะไรกันครับเนี่ย!
หลินเป่ยเฉินกะพริบตาปริบ ๆ
เทพีกระบี่ไปเอาคำพูดมุกเสี่ยวพวกนี้มาจากไหน
หรือว่าสมองของนางผิดปกติไปแล้ว
“เอ่อ… ก่อนหน้านี้ ท่านคือเทพเจ้าผู้สูงส่ง นอกจากมีความงดงามแล้วก็ยังมีพลังแกร่งกล้า มีความบริสุทธิ์ดุจดั่งบัวหิมะยอดภูเขาน้ำแข็ง ต่อให้ผู้คนจำนวนมากอยากจะเข้าไปชิดใกล้ ก็หาได้มีความกล้าหาญมากพอไม่ แต่ถึงกระนั้น ข้าก็ยังไม่สามารถหักห้ามใจตนเองได้เลยจริง ๆ”
เด็กหนุ่มพยายามเรียบเรียงคำพูดและแสดงสีหน้าออกมาให้ดูจริงใจมากที่สุด
“หึหึ…”
เทพีกระบี่หัวเราะในลำคอ “ต่อให้รู้ว่านี่คือคำโกหก ข้าก็ยังอยากฟังอยู่ดี”
นางยกมือขึ้นมาโอบกอดรอบลำคอหลินเป่ยเฉิน เส้นผมสีดำขลับแนบติดกับแก้มของเขา อาภรณ์เสียดสีกันแนบชิดติดใกล้
นางขยับศีรษะเล็กน้อย แนบใบหูลงไปที่หน้าอกฝั่งซ้ายของหลินเป่ยเฉิน เฝ้ารับฟังจังหวะการเต้นของหัวใจ และตระหนักชัดในความเป็นจริงว่า เขาและนางกำลังห่างไกลกันออกไปเรื่อย ๆ…
“ข้าจะคืนนางให้กับเจ้า…”
เทพีกระบี่กระซิบแผ่วเบา
แต่น้ำเสียงฟังดูหนักแน่น
คล้ายกับว่านางได้ตัดสินใจบางสิ่งบางอย่างเรียบร้อยแล้ว